ตอนที่ 3
จ๋ายจ๋ายงอนแล้ว
หลังจากไปออกทริปถ่ายทำหนังสั้นครั้งนั้น ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปได้เกือบครบหนึ่งอาทิตย์แล้ว...เหตุการณ์หลังจากที่เขาเผลอะเิตัวเองกลายเป็กระต่ายต่อหน้าอีกฝ่ายแล้ว มะนาวที่เริ่มเมามากแล้วก็ทำท่าจะเข้ามาในห้อง ไม่รู้ว่าแท็ปออกไปพูดอะไรด้วยอยู่นานสองนาน กว่ามะนาวบุกเข้าห้องมาได้ จ๋ายก็สามารถกลับมาอยู่ในร่างของคนได้ทันเวลาฉิวเฉียด
เมื่อกลับเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ทุกอย่างก็กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ แท็ปยังคงหาเื่กลั่นแกล้งกันเหมือนเคย ในขณะที่ตัวเขาก็ยังตอบโต้อะไรไม่ได้สักอย่าง ทว่าในวันนี้ดูจะเป็วันที่แอบแย่ไปเสียหน่อย เมื่อมะนาวดันป่วยกะทันหัน จ๋ายจึงต้องนั่งเรียนคนเดียว กินข้าวคนเดียว รวมถึงไปไหนมาไหนคนเดียว
พอไม่มีมะนาวคอยดูแล จ๋ายที่แม้จะแฝงตัวเป็มนุษย์ธรรมดาแล้ว ก็ยังไม่วายถูกใครหลายคนในคณะกลั่นแกล้งเพื่อความสนุกอยู่ดี…ไม่อยากจะนึกถึงตอนที่ความลับแตกเลย
ฉายา ‘ไอ้ติ๋มน้อย’ ของจ๋ายเป็ที่รู้จักไปทั่วคณะ วันนี้ทั้งวันไม่ว่าจะเดินไปที่ไหน ก็มักจะได้ยินฉายาของตัวเองดังเข้าหูตลอด บางคนก็ยังไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำไป หากมะนาวอยู่ด้วยเธอคงจะหันไปลับฝีปากด้วยสักครั้งตามนิสัย ทว่าเมื่อต้องอยู่คนเดียว จ๋ายจึงทำเป็ไม่ได้ยินไปเท่านั้น
“เฮ้ยไอ้แท็ป เล่นบาสเว้ย”
เสียงเรียกของเพื่อนคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าห้องดังขึ้น แท็ปที่กำลังจะเดินเข้าไปหาคนที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋าหลังจากจบคลาสสุดท้ายของวันได้แต่ชะงักไป เอ่ยตอบรับเพื่อนแล้วจึงผละออกไป โดยที่จ๋ายได้แต่มองตามอย่างสงสัยว่าอีกฝ่ายนึกจะแกล้งอะไรกันอีก
มะนาว: วันนี้โอเคหรือเปล่า ฉันคงต้องนอนพักอีกสักสองสามวันเลยอะ
อื้อ สบายมากเลย มะนาวต้องพักผ่อนเยอะ ๆ นะ : จ๋ายจ๋าย
แม้จะแอบรู้สึกเหงาไม่น้อยที่จะต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว แต่ถึงอย่างไรสุขภาพของเพื่อนก็ต้องมาก่อนอยู่แล้ว จ๋ายเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วจะเดินลงบันได ก่อนจะต้องรีบเกาะราวไว้แน่น เมื่อถูกชนจากด้านหลังเข้าอย่างจัง
“อ้ะ!”
“เฮ้ยหลบหน่อยได้ปะพี่”
“ขะ ขอโทษที...”
“แม่งเกะกะฉิบ”
เสียงสบถเบา ๆ ดังให้ได้ยินจนผู้ฟังใจเสีย แม้เพื่อนของรุ่นน้องคนดังกล่าวจะหันมาผงกหัวขอโทษขอโพยกันแต่ก็ไม่ได้ทำให้จ๋ายรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ยืนนิ่งอยู่นานก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วเลือกที่จะไม่ใส่ใจ อย่างน้อยเขาก็คงไม่ได้เจอรุ่นน้องคนนั้นอีกแล้ว ทว่าทันทีที่เดินมาถึงหน้าคณะ ก็ยังมีเื่อีกจนได้
ปัก!!
“เฮ้ยไอ้ติ๋มน้อย จะกลับบ้านแล้วเหรอวะ”
กระดาษที่ขยำจนเป็ก้อนถูกโยนมาโดนศีรษะพอดี พร้อมกับฉายาประจำตัวที่ถูกเอ่ยออกมาตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ จ๋ายก้มลงมองก้อนกระดาษที่ตกอยู่บนพื้น ก่อนจะหันไปมองกลุ่มนักศึกษาไฮบริดครึ่งสัตว์นักล่าจำนวนหนึ่งที่นั่งรวมตัวกันอยู่บริเวณโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตึกคณะ
แม้ว่าที่นี่จะเป็หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำที่รวบรวมบุคลากรที่เก่งระดับแนวหน้าของประเทศ ปะปนไปกับบรรดาลูกหลานของผู้มีอิทธิพลมากมาย แต่ระบบของที่นี่กลับทำให้จ๋ายใช้ชีวิตได้อย่างลำบาก เหล่าไฮบริดครึ่งสัตว์กินพืชมักจะตกเป็เหยื่อเพื่อระบายอารมณ์อยู่ร่ำไป...แม้จะแฝงตัวเป็มนุษย์ธรรมดา ทว่าหากมีอุปนิสัยที่อ่อนแอ ก็ไม่พ้นต้องถูกกลั่นแกล้งไปด้วย
“แม่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกแล้วว่ะ”
“อะไรวะไอ้ติ๋ม ทำตัวเป็พวกกินพืชไปได้ จะร้องไห้แง ๆ ไปฟ้องแม่ให้มาเอาเื่พวกกูไหมวะเนี่ย”
สิ้นประโยคก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังตามมาให้ได้ยินอยู่เป็ระลอก เพราะจ๋ายทั้งขี้กลัว ตระหนกง่าย พูดคุยไม่เก่ง จึงแทบไม่มีเพื่อนั้แ่สมัยปีหนึ่ง ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้น เมื่อรู้ตัวอีกที เขาก็กลายเป็คนที่ถูกกลั่นแกล้งจากหลายคนในคณะไปเสียแล้ว ทั้งเพื่อน รุ่นพี่ ไม่เว้นแม้แต่รุ่นน้องคนอื่น ๆ
เหนื่อยจัง อยากกลับบ้านไปนอนกอดแคร์รอตเงียบ ๆ คนเดียว
สำหรับจ๋ายแล้ว การร้องไห้คือสิ่งที่ทำให้เขาดูขี้แพ้ยิ่งกว่าเดิม เพราะงั้น เขาจึงทำเพียงแค่หยิบก้อนกระดาษดังกล่าวไปทิ้งที่ถังขยะเงียบ ๆ เท่านั้น ครั้นเมื่อเริ่มเดินออกมาไกล พลันมือน้อย ๆ เริ่มบีบสายสะพายกระเป๋าเป้เอาไว้แน่น ทั้งใบหน้าที่ฉายแววหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้ยไอ้แท็ป! โยนมาทางนี้!!”
ไฮบริดครึ่งกระต่ายหันมองไปตามเสียง ในระหว่างที่เดินผ่านสนามบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัย เห็นแท็ปในชุดเสื้อกีฬาและกางเกงขาสั้นอยู่ท่ามกลางหมู่เพื่อนที่ชื่นชอบกีฬาประเภทเดียวกัน เนื่องจากอีกฝ่ายเป็คนมีชื่อเสียงและจัดเป็คนในวงการบันเทิง วันนี้ที่ข้างสนามจึงค่อนข้างคึกคักมากกว่าปกติ
“น้ำค่ะพี่แท็ป”
เห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาคนหนึ่งวิ่งถือขวดน้ำไปให้ในระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังพักเหนื่อย เห็นหน้าตาที่คล้ายคลึงกันจึงพอจะคาดเดาได้ว่าคงจะเป็น้องสาวของเ้าตัวที่เพิ่งจะเข้ามาเรียนในปีนี้ นอกจากจะมีหน้าตาที่สวยเฉี่ยวคมแล้ว ยังเป็คนที่มีความมั่นใจสูงอีกด้วย...บางครั้งจ๋ายก็อยากจะเป็คนที่มีความมั่นใจแบบนั้นบ้างเหมือนกันนะ
“ขอบคุณค่ะ”
ร่างสูงเอ่ยพูดขอบคุณเสียงนุ่ม พลางยื่นมือไปลูบกลุ่มเส้นผมของน้องสาวอย่างถนอม จ๋ายยืนมองภาพนั้นอยู่นานก็อดจะเปรียบเทียบพฤติกรรมดังกล่าวกับสิ่งที่ทำกับตนไม่ได้ ทำไมต้องเอาแต่แกล้งจ๋ายอยู่แค่คนเดียวด้วยล่ะ เพราะเขาดูอ่อนแองั้นเหรอ หรือเพราะการแกล้งเขาคือเื่น่าสนุกสนานสำหรับอีกฝ่าย
แท็ปน่ะใจร้าย โดยเฉพาะกับจ๋าย
“...”
เพราะมัวแต่ยืนคิดอะไรอยู่นาน เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ถูกแท็ปมองเห็นเข้าเสียแล้ว ร่างเล็กหน้าเหลอหลา ทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นแล้วเดินจ้ำอ้าวหนีไปจากบริเวณนี้ ในขณะที่เ้าของดวงตาสีอำพันรีบส่งขวดน้ำคืนให้กับน้องสาวแล้ววิ่งตามไปในทันที เพียงไม่เท่าไรก็สามารถมาเดินขนาบข้างกันได้เสียแล้ว
“จะกลับแล้วเหรอ”
“...อื้อ”
จ๋ายส่งเสียงตอบในลำคอแ่เบา พยายามก้าวเท้าเดินให้เร็วเผื่อว่าอีกฝ่ายจะเบื่อที่จะเดินตามกันบ้าง ทว่าแท็ปกลับอาศัย่ขาที่ยาวกว่าเดินตีคู่กันได้ทุกครั้ง ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนข้างกายเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่พูดไม่จา ยื่นมือออกไปหมายจะบีบข้างแก้มนุ่มเพื่อหยอกเย้า ทว่าจ๋ายกลับทำเพียงแค่ขยับหนีกันเงียบ ๆ เท่านั้น พลันเรียวคิ้วเข้มแอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“เป็อะไร”
“...”
ไฮบริดครึ่งกระต่ายส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนจะกระชับสายกระเป๋าเป้ให้ถนัดมากยิ่งขึ้นแล้วเดินออกมา ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อถูกคนตรงหน้ามายืนขวางทางกันเอาไว้ บนใบหน้าหล่อเหลาฉายแววจริงจังขึ้นมาอีกหลายระดับ เช่นเดียวกับเสียงเรียกที่ไม่ได้ติดเล่นเหมือนคราวแรกแล้ว
“จ๋าย”
“...”
“จ๋าย กูคุยกับมึงอยู่”
คราวนี้จ๋ายหยุดเดินหนี แล้วยอมช้อนสายตาขึ้นมองกันเพียงชั่วครู่หนึ่ง...หากเป็วันอื่น ๆ ก็คงจะไม่ได้รู้สึกเหนื่อยและแย่ถึงขนาดนี้ ทว่าในวันนี้ที่ถูกใครหลายคนกลั่นแกล้งและล้อเลียนมาทั้งวัน เพียงแค่เดินให้พ้นรั้วมหาวิทยาลัยได้ก็นับว่าเหนื่อยแล้ว ทำไมแท็ปถึงเอาแต่ตามเซ้าซี้กันไม่เลิกเลยนะ
“จ๋ายอยากกลับบ้าน วันนี้จ๋ายไม่อยากโดนแกล้งอีกแล้ว”
“...”
พลันบรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบ ร่างสูงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทั้งดวงตาที่คอยสำรวจกันอย่างละเอียด จ๋ายที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น จึงไม่รู้ว่ากำลังถูกมองอยู่ด้วยสายตาแบบใด รู้เพียงว่าระยะห่างระหว่างพวกเขาค่อย ๆ ลดหลั่นลงไป เมื่อแท็ปเริ่มเดินเข้ามาใกล้ทีละน้อย
“...โกรธอะไรกู”
คราวนี้น้ำเสียงที่เอ่ยถามทั้งแ่เบาและนุ่มนวลลงอย่างเห็นได้ชัด หลายครั้งที่จะยื่นมือไปจับแต่ก็ถูกจ๋ายพยายามดันออกอยู่ร่ำไป ไฮบริดกระต่ายยังคงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการพูดคุยแล้วเดินหนี ทว่าก็ยังไม่พ้นเมื่อถูกยืนขวางอยู่ทุกก้าวที่เดิน ราวกับกำลังยั่วโมโหกันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ตอบกูก็จะยืนขวางอยู่แบบนี้แหละ”
“ทำไมทุกคนชอบใจร้ายกับจ๋ายอยู่เรื่อยเลย”
“...”
คราวนี้คนที่ถูกเซ้าซี้ชักจะเริ่มแอบรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมา อดจะเอ่ยพูดออกไปไม่ได้ด้วยความรู้สึกน้อยใจ อาจจะเพราะกำลังเหนื่อย จึงมองว่าการขัดขวางไม่ยอมให้กลับบ้านแบบนี้ก็เป็การใจร้ายใส่กันในรูปแบบหนึ่ง แท็ปเงียบไปอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เรียบเฉย จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่ากำลังมีความรู้สึกเป็อย่างไร
“กูดูใจร้ายกับมึงมากเลยเหรอจ๋าย”
“...”
จ๋ายไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายกำลังมีความคิดหรือความรู้สึกเป็อย่างไรในระหว่างที่เอ่ยคำถามนั้นออกมา แต่หากไม่ได้คิดไปเอง เหมือนน้ำเสียงที่ใช้จะดูโอนอ่อนลงไม่น้อยเลยหรือเปล่านะ...อย่างไรก็ตาม ตลอดเกือบสามปีที่ผ่านมา ภาพจำของแท็ปในสายตาเขาก็คือไฮบริดหมาป่าเ้าเล่ห์ที่ชอบรังแกกันอยู่ร่ำไป ยิ่งเห็นอีกฝ่ายใจดีกับคนอื่นก็ยิ่งไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาต้องกลายเป็คนที่ถูกแกล้งอยู่เรื่อยเลย
ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ดูหงอยเหงากว่าทุกวันเงยขึ้นมองสบกัน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแ่เบา
“ทำไมแท็ปใจดีกับทุกคน แต่ไม่ใจดีกับจ๋ายบ้างเลย”
“...”
“เพื่อนในคณะคนอื่น ๆ ก็ด้วย...ทำไมทุกคนไม่ใจดีกับจ๋ายบ้างเลย”
“...”
ไม่รอฟังคำตอบ คิดว่าหากอยู่นานกว่านี้แล้วแท็ปโกรธขึ้นมา เขาอาจจะถูกใจร้ายใส่ก็ได้ เพราะงั้นจึงอาศัย่เวลานี้รีบเดินจ้ำอ้าวหนีออกมาทันที ในขณะที่แท็ปยังคงมองตามเ้าของแผ่นหลังเล็กที่เดินคอตกออกไปไกลเรื่อย ๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะเดินกลับมายังอัฒจันทร์ข้างสนามบาสเพื่อเก็บของโดยไม่พูดไม่จากับใครจนเพื่อนคนหนึ่งที่เห็นเริ่มเอ่ยทัก
“อะไรวะไอ้แท็ป ไม่เล่นต่อแล้วเหรอ”
“เออ ไม่เล่นแล้ว”
“จะรีบไปไหนวะ”
“...”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำถาม เพียงสะพายเป้ข้างหนึ่งแล้วก้าวยาว ๆ ไปนั่งคร่อมรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจทันที ในขณะที่กลุ่มชายฉกรรจ์อีกนับหลายคนได้แต่มองตามรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ที่ถูกขับออกไปอย่างกะทันหันด้วยสีหน้างุนงง
…
จ๋ายเดินเตะฝุ่นไปตามข้างฟุตบาท พลางกวาดสายตามองกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่เดินสวนกันไปมาอยู่เป็ระยะ ทว่าพอพ้นจากเขตมหาวิทยาลัยมาได้พอสมควรผู้คนก็เริ่มบางตาลง...วันนี้หลายอย่างไม่เป็ใจั้แ่เช้า จักรยานที่ปั่นมาเรียนทุกวันก็ดันยางรั่วต้องหาเวลาไปซ่อม ก็เลยต้องเดินแบกกระเป๋ากลับบ้านอย่างที่เห็น
บ้านที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็บ้านเช่าหลังไม่ใหญ่มาก อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยพอสมควร ราคาค่าเช่าไม่ค่อยเป็มิตร โดยมีแม่ซึ่งอยู่ต่างจังหวัดคอยส่งเงินมาให้ใช้ทุกเดือน จ๋ายเริ่มมีความคิดที่จะย้ายมาอยู่ที่หอพักแถวนี้ แล้วหาเพื่อนร่วมห้องสักคนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย...แต่ไม่รู้ว่าจะมีคนอยากแชร์ห้องกับจ๋ายหรือเปล่านี่สิ
ปิ๊น!!
“!!!”
เดินใจลอยไปได้สักพัก ก่อนจะสะดุ้งใเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรดังขึ้นจากทางด้านหลัง ครั้นเมื่อหันไปก็ใยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นแท็ปจอดรถบิ๊กไบค์ขนาบข้างกัน ทั้งยังถือถุงอะไรบางอย่างติดมือมาด้วย พอเห็นว่าจ๋ายทำท่าจะเดินหนีก็เอ่ยดักขึ้นทันควันราวกับรู้ทัน
“ถ้าเดินหนีอีก กูบีบแตรลากยาวไปยันสุดถนนแน่”
กระต่ายขี้กลัวรีบปิดปากฉับแล้วยืนนิ่งเป็หุ่นปั้นอยู่อย่างนั้น ในหัวจินตนาการไปไกลถึงหลายร้อยเหตุการณ์ เมื่อคิดว่าแท็ปต้องไม่ชอบใจคำพูดของตนถึงขั้นตามกันมาถึงที่นี่เลยก็ได้ หันซ้ายหันขวาก็แทบจะมองไม่เห็นใคร สุดท้ายจึงได้แต่หลับตาปี๋ ร่ายคำขอโทษยาวเหยียดในใจโดยอัตโนมัติ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบเจอเหตุการณ์ใดจนต้องแอบหรี่ตาขึ้นมาดู
“...”
“เอาไปดิ ชอบกินไม่ใช่หรือไง”
กระปุกขนาดไม่ใหญ่มากอันหนึ่งถูกหยิบออกมาจากถุงผ้าแล้วยื่นให้ ครั้นเมื่อลองเพ่งมองดูดี ๆ จึงเห็นซุปแคร์รอตอยู่ในนั้น พลันดวงตากลมใสเป็ประกายเมื่อได้เห็นของกินที่โปรดปรานในระยะใกล้ แต่ก็ยังไม่วายแอบช้อนสายตาขึ้นมองสบกันแล้วเอ่ยถามอุบอิบ
“แท็ปซื้อมาผิดอีกแล้วเหรอ”
“เออ”
ตอบรับเสียงห้วนสั้น พลางสั่นกระปุกในมือแล้วพยักเพยิดหน้า เป็เชิงบอกว่าให้รีบรับมันไปเสียที จ๋ายที่มีท่าทีลังเลอยู่นาน พอเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังจะเก็บกระปุกกลับไปก็รีบคว้ามันมากอดเอาไว้ทันที เอ่ยพึมพำขอบคุณเสียงเบาแล้วเดินไปยังสวนสาธารณะแถวนั้น โดยมีแท็ปรีบเดินตามกันมาติด ๆ
จ๋ายมีนิสัยติดตัวอย่างหนึ่ง คือเมื่อได้ของกินที่ชอบมาอยู่ในมือแล้วก็จะรีบกินทันทีโดยไม่รีรอ ร่างเล็กหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ยังว่าง พลางเปิดกระปุกซุปแคร์รอตแล้วจ้วงกินทันที แอบเตะขาไปมาเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีเมื่ออาหารรสชาติถูกปากเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ยิ่งภายในสวนสาธารณะทั้งร่มรื่นและไม่ค่อยมีผู้คนแบบนี้ ไฮบริดตัวน้อยก็ลืมความรู้สึกหงอยเหงาเมื่อครู่ไปจนหมด
“ขอบคุณนะ...”
จ๋ายเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยขอบคุณทั้ง ๆ ที่ของกินเต็มปาก ในขณะที่แท็ปไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เพียงทอดสายตามองหูกระต่ายสีน้ำตาลที่ค่อย ๆ เด้งออกมาทั้งสองข้างแล้วกระดิกไปมาน้อย ๆ อย่างอารมณ์ดี อาศัยจังหวะที่จ๋ายยังคงให้ความสนใจกับของกิน ยื่นมือไปจับปลายหูกระต่ายแล้วเกลี่ยนิ้วลูบแ่เบา กระนั้นก็ทำให้คนที่นั่งอยู่สะดุ้งใเสียจนหูตั้ง
!!!
“แค่จับ ไม่ทำอะไรหรอก”
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดฟังดูราบเรียบ ไม่ได้แอบแฝงไปด้วยเจตนาที่้าจะกลั่นแกล้งแต่อย่างใด ร่างขาวขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันครู่หนึ่งอย่างลังเล ทว่าผ่านไปสักพักหนึ่งก็ยอมผ่อนคลายตัวเองลงแล้วตักซุปแคร์รอตเข้าปากอีกหนึ่งคำ ข้างแก้มนวลเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อยด้วยความรู้สึกประหลาดจากััที่แปลกใหม่
จั๊กจี้...
เพราะไม่เคยถูกลูบหูนาน ๆ อย่างนี้ ครั้นเมื่อถูกัันานเข้าก็ยิ่งรู้สึกประหลาด ทั้งจั๊กจี้ และชวนให้แอบรู้สึกวูบโหวงภายในช่องท้องแปลก ๆ ช้อนพลาสติกในมือถูกปล่อยออก ฝ่ามือขาวเปลี่ยนตำแหน่งไปบีบที่ชายเสื้อนักศึกษาของตนแน่นจนมันเริ่มยับยู่
แท็ปค่อย ๆ ผละมือออกแล้วนั่งยองลงพลางเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ในขณะที่จ๋ายแอบลู่หูกระต่ายลงเล็กน้อย เพราะดันรู้สึกเสียดายััเคลิบเคลิ้มแปลก ๆ เมื่อครู่เสียอย่างนั้น ก่อนจะชะงักไปเมื่อได้ฟังคำถาม
“...ดีขึ้นบ้างไหม”
“...”
“แบบนี้...กูดูเป็คนใจดีขึ้นมาบ้างไหม?”
“...”
พลันบรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบทันที ทั้งน้ำเสียงที่สีหน้าของผู้พูดเรียบนิ่ง ราวกับกำลังถามเื่ทั่วไป ในขณะที่จ๋ายทั้งสงสัยและคิดคำพูดไม่ออกอยู่นาน...ทว่าเมื่อทำท่าจะให้คำตอบ ไฮบริดครึ่งหมาป่าก็ลุกขึ้นยืนกะทันหันพลางสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เอ่ยพูดประโยคที่ทำเอาร่างเล็กได้แต่นั่งอ้าปากค้าง ลืมความรู้สึกแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ไปเสียหมด เพราะเอาแต่งุนงงว่าอีกฝ่ายเป็อะไร
“แต่ก็อย่างว่า กูมันพวกแบ๊ดบอย...กระต่ายแดกซุปแคร์รอตอย่างมึงไม่เข้าใจวิถีคนเท่แบบกูหรอก”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้