รายละเอียดของเขาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาทีละหน้า ซึ่งพ่อแม่ต่างก็เป็แพทย์ ครอบครัวที่เต็มไปด้วยคนในสายอาชีพเดียวกัน และด้วยพื้นฐานที่มั่นคงนั้น เขาจึงได้เรียนในโรงเรียนชั้นนำมาั้แ่เด็ก ภาพในวัยเยาว์ของเขาที่แนบอยู่ในเอกสารดูสะดุดตา ผมเผลอมองมันอยู่นาน ราวกับมีบางอย่างที่ดึงดูด หรือไม่ก็เพราะในแววตาเด็กคนนั้น มีอะไรบางอย่างที่ยังหลงเหลืออยู่จนถึงตอนนี้...
จากข้อมูลที่ได้มา เขาไม่เคยมีแฟนมาก่อน อาจเพราะภาระงานที่หนักหน่วง
จนไม่มีเวลาคิดเื่อื่น และเมื่อเปิดอ่านต่อไปเรื่อย ๆ ก็พบว่าเขาเคยมีปัญหากับบิดา จนต้องแยกตัวมาอยู่คนเดียวเกือบห้าปี ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพรรณีก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันนัก แม้เธอจะเป็ลูกสาวของ ส.ส.พิชัย คนสนิทของพ่อเขา แต่ดูเหมือนเขาจะพยายามเว้นระยะห่างและค่อนข้างเก็บตัว
‘ที่เขาบอกว่าพรรณีไม่ใช่คนของเขา ก็เป็เื่จริง เขาไม่ได้โกหก’ ผมก้มลงอ่านรายละเอียดต่อ ใน่เรียนแพทย์ เขาเป็นักศึกษาที่ทุ่มเทอย่างมาก ได้รับคำชมจากอาจารย์แพทย์หลายท่าน รวมถึง่เวลาเป็หมอก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เคยมีข่าวเสียหายเกิดขึ้น เป็ที่รักของพยาบาลและคนไข้มาเสมอ
‘ได้เป็ที่รักของคนในครอบครัวผมด้วยสินะ’ดังนั้นแล้วอาจเป็กรรมของเขาก็ได้ ที่ผมได้ย้อนอดีตกลับไปเห็นสิ่งที่เขาทำไว้ อาชีพหมอเป็อาชีพที่เขารัก งั้นผมจะทำให้เขาไม่เหลืออะไร....
1 เดือนต่อมา...
ผมออกจากโรงพยาบาล และได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ คิดถึงเตียงนอนนุ่ม ๆ กลิ่นหมอนและผ้าห่มที่คุ้นเคย ไม่ต้องนอนดมกลิ่นยาของโรงพยาบาลตลอดเวลา ไม่มีอะไรสุขสบายกว่านี้อีกแล้ว ผมเอื้อมไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลเก็บไว้ในลิ้นชักอย่างดี แล้วจำอย่างขึ้นใจว่าใครทำอะไรกับผมไว้บ้าง
เป็วันแรกที่ผมกลับมาใส่ชุดนักศึกษาอีกครั้ง มันอาจจะหลวมไปหน่อย แต่ก็ยังใส่ได้ปกติ ไม่ลืมฉีดน้ำหอมประจำตัว แล้วหยิบกุญแจรถหรูคู่ใจออกจากห้อง พบกับคุณปู่ธลากรนั่งจิบชาอยู่ ผมไม่ลืมแวะไปหอมท่าน
“วันนี้ไปกินเหล้ากับเพื่อนอีกไหม”
“ผมไม่กินเหล้าแล้วครับ ่นี้คุณหมอห้าม คุณปู่ต้องกินข้าวเยอะ ๆ ตัวจะได้อ้วน ๆ ผอมหมดแล้ว” ผมจับที่พุงของคุณปู่แล้วบ่นพึมพำ ก่อนคุณปู่จะยิ้มแล้วตอบกลับ
“พูดแล้วก็หิว วันนี้ยังไม่ได้กินข้าวเลย” ผมหันมองไปยังจานข้าวที่เหลือเพียงเศษอาหารวางอยู่ ไม่ได้นึกใเพราะเป็อาการปกติของอัลไซเมอร์
“เดือน” ผมหันไปเรียกชื่อแม่บ้าน ไม่นานนักเธอก็วิ่งเข้ามาพร้อมไม้กวาดในมือ
“คะคุณคีย์”
“หาขนมหรือของว่างให้คุณปู่กินที”
“ได้ค่ะ” เธอรับปากพลางหมุนตัวกลับไปทันที ผมจึงย่อตัวลงแล้วหอมคุณปู่เป็ครั้งสุดท้าย
“เดือนกำลังไปเอามาให้นะครับ ผมต้องไปเรียนแล้ว เย็น ๆ จะกลับ”
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณคีย์ วันนี้เดี๋ยวคุณหมอจะเข้ามาตรวจอาการคุณปู่ค่ะ” เสียงของเดือนลอดเข้ามา พร้อมถือจานขนมว่างมาวางไว้บนโต๊ะด้วยรอยยิ้มสดใส ผมได้แค่ยิ้ม แล้วเบี่ยงตัวเดินออกมาโดยไม่พูดอะไร
เมื่อผมไปถึงมหาวิทยาลัย เพียงแค่รถจอดสนิท ไอริสกับเจย์ก็เดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม นี่แหละคือชีวิตที่แท้จริงของผม ไม่ใช่เอาแต่นอนสงบอยู่ในโรงพยาบาล ก่อนธันน์เดินเข้ามาใช้มือตบไหล่ผมเบา ๆ
“ยินดีต้อนรับกลับสู่มหาลัยเพื่อน!” พูดจบ เจย์มันก็เดินเข้ามา แล้วใช้สายตาสะกิดให้ผมมองไปด้านหลัง ก่อนจะพบกับน้องรูแปง กะเทยที่แต่งตัวสวยโดดเด่น แต่ชอบทำตัวประหลาด
“เขาถามหามึงเกือบทุกวัน ไม่ทักทายหน่อยเหรอวะ” เจย์ถามด้วยท่าทางกวน ๆ ก่อนผมจะส่ายศีรษะ
“ถ้าไม่ทักทาย ได้ตามมึงทั้งวันแน่ ๆ” ธันน์เอ่ยขึ้นเบา ๆ ทำให้ผมจำใจหันมองไปยังน้องรูแปง กะเทยสาว ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าชอบอะไรในตัวผมหนักหนา เพียงแค่ส่งยิ้มให้หนึ่งครั้ง เธอก็หน้าแดงแล้วเอามือปิดปากวิ่งหายไปอย่างที่ธันน์บอกไว้จริง ๆ ให้ตายเถอะ เพิ่งถึงมหาวิทยาลัยแท้ ๆ ต้องเจอกับเื่ตื่นเต้นซะแล้ว
“ไป! ขึ้นตึกเรียนกันเถอะ” เสียงของไอริสเอ่ยชวน ทำให้ทุกคนเบี่ยงตัวมุ่งตรงไปยังตึก ผมยกแก้วกาแฟที่ถืออยู่ขึ้นมอง แล้วกวาดสายตามองหาถังขยะที่เคยอยู่แถวนั้น แต่ไม่พบก็เลยหันไปยังท้ายรถอีกคัน ที่จอดอยู่ใกล้ ๆ แล้ววางแก้วกาแฟทิ้งไว้ ก่อนจะเดินตามเพื่อนไปโดยไม่หันกลับมามอง
ปกติผมจะเดินติดกับไอริส คอยช่วยเธอถือของที่หนัก ๆ ไม่รู้จะแบกอะไรมาให้หนักกระเป๋านัก เคยบ่นหลายครั้งแต่ก็ยังทำเหมือนเดิม ทว่าครั้งนี้แปลกไป เธอมีเพียงกระเป๋าหนังสือไม่หอบพะลุงพะลังเหมือนครั้งก่อน ทำให้ผมไม่ได้ช่วยเธอถือของเหมือนก่อน ระหว่างที่เดินขึ้นตึก ผมสังเกตความรู้สึกตัวเองจากที่เคยแอบชอบและรู้สึกหวั่นไหวเมื่ออยู่ใกล้ ตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว มองเธอเป็เพียงเพื่อนคนหนึ่งที่หวังดีเสมอ
“วันนี้นั่งคู่กับเรานะ” อยู่ ๆ เธอก็หันมาหาผม แล้วส่งยิ้มให้ หากเป็เมื่อก่อนผมคงหัวใจละลายกองอยู่กับพื้น ผมเพียงแค่พยักหน้ารับ แล้วเข้าไปนั่งคู่กับเธอ ระหว่างที่อาจารย์เริ่มสอน ผมพยายามตั้งใจฟัง แต่ในหัวกลับแว่วเสียงของเดือนที่บอกไว้ก่อนออกจากบ้าน
‘วันนี้คุณหมอนัดตรวจคุณปู่’ ผมหันไปมองไอริสอีกครั้งเธอยังคงตั้งใจฟังอย่างขะมักเขม้น ในแววตาไม่มีอะไรสั่นไหว แตกต่างจากผม ที่วนเวียนคิดถึงแต่เื่ของหมอนาวิน
“อาคิราห์” เสียงเรียกของอาจารย์ทำให้ผมผงะ หัวใจสะดุ้งวูบ
“ครับ” ผมหันมองไปทั่วห้อง ทุกสายตาจับจ้องมา แล้วอาจารย์ก็ยิ้ม
“อาจารย์ดีใจนะ ที่เธอปลอดภัย และกลับมาเรียน” คำพูดอบอุ่นของอาจารย์ทำให้ผมปล่อยยิ้ม แล้วยกมือขอบคุณ
เมื่อจบวิชานั้น พวกเราก็เดินลงจากตึก พร้อมสายลมอ่อนพัดมาปะทะกาย ผมพยายามทำตัวให้เหมือนเดิม ยังคงยืนเคียงข้างไอริส เสมือนว่ายังรู้สึกกับเธอ ทั้งที่จริงแล้วหัวใจผมกำลังเปลี่ยนไป
“กินไรกันดี” เจย์เอ่ยถามความเห็นจากทุกคน
“ถามคีย์ดีกว่า ว่ามันจะกินไร” ธันน์เบี่ยงหน้ามาทางผม และขณะนั้น ปากผมก็ปฏิเสธขึ้นในทันที
“กูต้องกลับบ้านก่อนว่ะ วันนี้คุณปู่ไม่มีคนดูแล”
“อ้าว อะไรของมึงวะ แม่บ้านก็ตั้งหลายคน ยังไม่จบวันเลยมึงจะโดดแล้วเหรอ?”
“เออ ฝากหน่อยแล้วกัน กูไปก่อน” ในเมื่อใจผม ไม่ยอมปล่อยคุณหมอนาวิน ผมก็ต้องกลับไปให้ทัน ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เข้าไปในชีวิตเขา ระหว่างที่สองเท้าก้าวตรงไปยังรถ สายตาเหลือบไปเห็นแก้วกาแฟ ที่ยังวางอยู่ท้ายรถของอีกคันไม่หายไปไหน ผมไม่ได้สนใจมากนัก ขึ้นรถแล้วขับออกมาในทันที
เมื่อขับรถมาถึงบ้าน สายตาผมก็ทอดมองไปยังรถหรูอีกคันที่จอดอยู่ก่อน ทันทีผมก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก มาทันเวลาอย่างที่หวังไว้ ไม่ทันเก็บรถเข้าซอง ผมก้าวลงอย่างรวดเร็วไม่ทันปิดประตูให้สนิทด้วยซ้ำ ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ไม่เจอกัน หัวผมมีแต่เื่ของเขาเต็มไปหมด เสียงหัวใจเต้นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“เดือน! คุณปู่อยู่ไหน” ผมถามแม่บ้าน ขณะที่เธอเองก็มองผมด้วยความแปลกใจ ทั้งยังอึกอักแล้วชี้มือไปยังสวนหลังบ้าน
“อยู่ที่สวนค่ะ คุณหมอก็อยู่ด้วยนะคะ เพิ่งถึงเมื่อกี๊เอง” ผมไม่ทันฟังจบดี ก็เบี่ยงตัวเดินไปหลังบ้านทันทีด้วยความรีบร้อน เสียงฝีเท้าของผมดังพอให้ใครบางคนหันมอง และเขาก็หันมาจริง ๆ คุณหมอนาวินในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพับถึงข้อศอก กำลังถือแก้วกาแฟ ใบหน้าของเขาแปลกใจเมื่อเห็นผม และนั่นทำให้ผมชะลอฝีเท้าลง พร้อมแสร้งปั้นหน้าเล็กน้อย
“ที่แท้เป็คุณหมอหรอกเหรอ ผมก็คิดว่าใคร” สองเท้าเดินตรงไปยังคุณปู่ธลากร
“ปกติ ผมไม่เคยเห็นคุณกลับบ้านในเวลานี้ ทำไมถึง...” ผมรู้ว่าเขากำลังสงสัย แต่นั่นไม่ทำให้คนเทา ๆ อย่างผมจนมุม ผมหันไปยังเขาแล้วตอบกลับ
“เวลาไม่มีเรียน ผมก็กลับบ้านตลอด คุณหมอมาเดือนละสองครั้ง จะรู้อะไร?” เขายกแก้วกาแฟขึ้นจิบแล้วพยักหน้า พลันย่อตัวลงนั่งตรงหน้าคุณปู่ แล้วยิ้มอบอุ่น พลางหยิบแท็บแล็ตออกมา ผมนั่งมองคุณหมอนาวินอย่างเงียบ ๆ โดยไม่วุ่นวาย ปล่อยให้เขาทำหน้าที่รักษาอาการคุณปู่อย่างเต็มที่ก่อน
“คุณปู่ลืมกินข้าว กินยาบ่อยไหม” อยู่ ๆ เขาก็หันถามผม เมื่อก่อนยอมรับว่าไม่ค่อยสนใจ แต่หลังกลับจากโรงพยาบาล ผมก็รู้ว่าคุณปู่สำคัญมากแค่ไหน เื่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยละเลยก็พยายามใส่ใจมากขึ้น
“ลืมบ่อย เมื่อเช้าก็ลืมว่ากินข้าวแล้ว” คุณหมอพยักหน้า
“ทุกมื้อไหมครับที่ลืม”
“ก็เกือบทุกมื้อ” เขาก้มลงใส่รายละเอียดลงในแท็บแล็ต ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเวลาตั้งใจทำอะไรนั้น ดึงดูดให้ผมเผลอมองไม่ละสายตา
“เดี๋ยวนี้ มีลืมหน้าคนในบ้านบ้างหรือยัง”
“ไม่นะ ยังจำทุกคนได้ ยังไม่เริ่มมีอาการลืมคนในบ้าน”
“ดีครับ” คุณหมอพยักหน้าเบา ๆ ก่อนเขาจะยิ้มอบอุ่น แล้วหันไปยังคุณปู่ธลากร
“คุณปู่ครับ ยังจำหมอได้อยู่ใช่ไหม”
“จำได้สิ คุณหมอนาวินไง” เสียงแหบพร่าตอบอย่างมั่นใจ ทำให้ผมเห็นรอยยิ้มของคุณหมอนาวิน เผยออกมาอย่างพอใจ
“ดีใจจัง คิดว่าจะลืมกันแล้ว งั้นหมอขอตรวจหน่อยนะครับ” พูดจบ เขาก็ใช้หูฟังวางที่หน้าอกคุณปู่อย่างเบามือ ขณะที่คุณปู่นั่งนิ่ง ๆ หายใจอย่างสม่ำเสมอ
“ปอดยังแข็งแรง ลมหายใจแน่นดี คุณปู่ไม่เหนื่อยใช่ไหมครับ”
“ไม่เหนื่อย” คุณปู่ตอบ พร้อมคุณหมอนาวินยิ้มเล็กน้อย
“งั้นหมอให้ยาเหมือนเดิมนะครับ ห้ามขาดนะ” เขาหยิบเอายาออกมา แล้วพูดคุยกับคุณปู่อย่างใจเย็น ท่ามกลางสายลมพัดมาปะทะกาย ผมมองเขาอย่างเงียบ ๆ ทว่าคุณหมอยังคงพูดคุยกับคุณปู่ต่ออีกพักใหญ่ ผมไม่แปลกใจว่าทำไมคุณปู่ธลากรถึงจำคุณหมอนาวินได้แม่นนัก แม้จะมาหาแค่เดือนละสองครั้ง
เมื่อเห็นรอยยิ้มของคุณปู่ ที่ยิ้มออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นทำให้ผมคิดว่าที่ผ่านมา ผมเป็หลานที่ละเลยท่านมากจริง ๆ รักแต่ไม่เคยใส่ใจท่านเท่าที่ควร กลับเป็หมอนาวินที่ใส่ใจทำให้คุณปู่ยิ้มแล้วยิ้มอีกหลายต่อหลายครั้ง
“คุณอาคิราห์… แล้วคุณล่ะ เป็ยังไงบ้าง” อยู่ ๆ เขาก็หันมาถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สายตาที่ทอดมามีความอบอุ่นแฝงอยู่ เป็สายตาที่...มยุราไม่เคยได้รับ และผมในชาตินี้... ก็ไม่ได้้ามันอีกแล้ว