หลังจากฟังความเห็นของพี่ชายและน้องชายที่มีต่อคนทั้งสี่ หมี่หลันเยว่ก็ถามต่อว่า
“แล้วพวกพี่คิดว่าควรเก็บใครไว้บ้างล่ะ”
หมี่หลันเยว่เคยบอกแค่กับพี่ชายว่าอยากรับคนเพิ่ม แต่ไม่ได้คุยเื่นี้กับน้องชาย
หมี่หลันหยางไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองน้องชายตามหมี่หลันเยว่
“ผมว่านะ ทั้งสี่คนดูขยันขันแข็งดี แค่ท่าทางต่างกันนิดหน่อย ถ้าพี่สาวอยากขยายกิจการต่อไปเรื่อยๆ ก็เก็บไว้ทั้งหมดเลยสิครับ”
“โอ้ หลันซิงอยากเก็บไว้ทั้งหมดเลยเหรอ นายว่าจำเป็ไหม ตอนนี้เราขาดแค่คนคุมคลังสินค้า พี่แค่เห็นว่าพี่เผิงเฟยเหนื่อยเกินไป ก็เลยคิดจะรับคนเข้ามา ถ้าจะเพิ่มอีกคนก็พอว่า แต่ถ้าจะเก็บไว้ทั้งสี่คน มันจะเปลืองเงินเดือนเราไปหน่อยรึเปล่า”
หมี่หลันเยว่อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมน้องชายถึงอยากเก็บคนทั้งสี่ไว้
“พี่สาว ตอนนี้โรงงานเราใหญ่โต มีคนงานตั้งห้าสิบคนแล้ว โรงงานใหญ่ขนาดนี้ เสื้อผ้าก็ต้องผลิตออกมาเยอะ แล้วพี่ว่าแค่ร้านค้าของเราจะขายเสื้อผ้าที่โรงงานผลิตได้หมดเหรอครับ”
“ผมเคยได้ยินพี่คุยกับพี่หย่งจิ้นกับพี่เผิงเฟยว่า ตอนที่โรงงานเรามีเครื่องจักรแค่สิบห้าเครื่อง ก็ยังส่งสินค้าให้ร้านค้าส่งและลูกค้าประจำได้ทัน แล้วเครื่องจักรที่เพิ่มมาอีกสามสิบห้าเครื่องนี่ พี่จะเอาไว้ขายแค่ในร้านค้าของห้างเฉียนคุนเหรอครับ มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยนะ”
หมี่หลันเยว่ไม่นึกว่าน้องชายจะมองการณ์ไกลขนาดนี้ เขารู้ว่าเธอซื้อเครื่องจักรเพิ่มเพื่อขยายการผลิต ไม่ได้คิดจะขายแค่ในร้านค้าปลีกไม่กี่ห้อง ต่อให้ร้านค้าขายดีแค่ไหน ก็ยังสู้ยอดขายส่งให้ลูกค้ารายใหญ่สองสามรายไม่ได้
“แล้วนายหมายความว่า...?”
หมี่หลันเยว่อยากให้น้องชายพูดต่อ แต่หมี่หลันซิงกลับหยุด
“พี่ไม่ต้องมาทดสอบผมหรอก ผมรู้ว่าพี่มีแผนอยู่แล้ว”
หมี่หลันเยว่ถึงกับยอมแพ้ให้น้องชายคนนี้ ช่างเป็เด็กฉลาดจริงๆ ชาติก่อน บ้านเธอมีคนที่มีหัวการค้าแบบนี้แค่คนเดียว แต่น้องชายกลับไม่ประสบความสำเร็จ ครั้งนี้ไม่ว่ายังไง หมี่หลันเยว่ก็อยากช่วยให้น้องชายทำตามความฝันให้สำเร็จ เขาเก่งกว่าเธอในการเป็นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
“ถ้างั้นนายลองว่ามาสิ ถ้านายเป็คนตัดสินใจ นายจะจัดงานให้คนทั้งสี่คนนี้ยังไง”
หมี่หลันเยว่ให้คนน้องชายจัดงานให้คนทั้งสี่คน เพื่อดูว่าความคิดของเขาจะตรงกับเธอหรือไม่
“ถ้าผมเป็แบ่งงานนะ ผมจะให้คนที่พูดน้อยหน่อยสองคน คนหนึ่งดูแลคลังสินค้า อีกคนดูแลคลังวัสดุ พี่สาวอย่ามองแค่ว่าคลังสินค้า้าคนดูแล จริงๆ แล้วคลังวัสดุ้าคนที่ไว้ใจได้มากกว่า”
“ลองคิดดูสิครับ สินค้าเป็ชุดๆ อยู่แล้ว โอกาสหายมีน้อยมาก แค่ของหายไปชิ้นเดียว แค่เทียบกับบันทึกการส่งของจากโรงงาน กับบันทึกการเบิกของจากห้าง ก็รู้แล้ว นอกจากจะยุ่งยากเื่การขนย้ายไปมา กับเื่บันทึกที่ไม่ชัดเจนแล้ว เื่อื่นแทบไม่มีทางเกิดขึ้น”
“แต่คลังวัสดุไม่เหมือนกัน ที่นั่นมีทั้งผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บต่างๆ จะหยิบเข็มกลัดไปอันหนึ่ง หรือตัดผ้าขาดเกินไปสองเมตร ความเสียหายมันเห็นๆ อยู่ แต่เราจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เพราะคนงานเป็คนไปหยิบของที่้าเอง นี่คือข้อเสียเปรียบที่ใหญ่มาก”
ดวงตาของหมี่หลันหยางแทบจะเบิกโพลง นี่น้องชายเขาเหรอ นี่คือเด็กเก้าขวบที่เขาคิดว่ายังเป็เด็กน้อยอยู่เหรอเนี่ย เขาใมาก ปัญหาพวกนี้เขาไม่เคยคิดถึงเลย แต่เด็กเก้าขวบคนนี้กลับคิดเื่พวกนี้ได้อย่างชัดเจน
หมี่หลันเยว่ก็ใไม่แพ้กัน เธอรู้ว่าน้องชายฉลาด โดยเฉพาะเื่การค้าขาย เขามีความคิดที่เฉียบคม แต่เธอไม่นึกว่าเขาจะคิดไปได้ไกลขนาดนี้ ปัญหานี้เป็ปัญหาที่หมี่หลันเยว่ตั้งใจจะพิจารณาในการรับคนครั้งนี้ น้องชายกลับคิดถึงวิธีแก้ไขปัญหาแล้ว
“นายพูดต่อสิ”
หมี่หลันเยว่ไม่อยากขัดจังหวะ อยากฟังน้องชายพูดให้จบ บางทีเขาอาจจะทำให้เธอประหลาดใจอีกก็ได้ ยังมีคนงานอีกสองคนที่ยังไม่ได้มอบหมายงานนี่นา
“ส่วนอีกสองคนที่ดูร่าเริงกว่า ผมว่าเพราะเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก แล้วเราอาจจะเป็เ้านายของพวกเขา พวกเขาเลยเกร็งๆ กันไปหน่อย ถ้าสนิทกันแล้ว สองคนนี้น่าจะเป็พวกพูดเก่ง แต่ฟังจากที่พวกเขาพูดแล้ว พวกเขาเป็คนดี”
“ถ้าเป็ไปได้ พี่สาวอยากหาคนออกไปช่วยพี่โฆษณาสินค้าไหมครับ ที่ผมพูดถึงไม่ใช่การขายปลีก แต่เป็การขายส่งแบบลุงหนิว ลุงหนิวมาซื้อเสื้อผ้าส่งที่นี่ก็เพราะพี่เถียจู้เป็คนติดต่อ สองคนนี้ก็ทำหน้าที่เป็คนติดต่อแบบนั้นได้นะ”
หมี่หลันเยว่ถึงกับปรบมือให้น้องชาย
“หลันซิง นายเก่งมาก ไม่บอกก็รู้ว่านายไม่ได้เพิ่งคิดเื่พวกนี้ นายคงคิดมานานแล้ว ขอบใจนะที่ตอนนี้ถึงกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมา”
หมี่หลันซิงเขินอายเล็กน้อยเมื่อถูกพี่สาวชม
หมี่หลันหยางก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“หลันซิง นายคิดเื่พวกนี้มานานแล้วจริงๆ เหรอ”
เขาใกับความสามารถของน้องชายมาก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าน้องชายจะเก่งขนาดนี้
“ครับ หลังจากที่พวกพี่ตัดสินใจเปิดร้านใหม่ แล้วพี่สาวก็ยุ่งกับการขยายโรงงาน ผมก็คิดเื่พวกนี้แล้วครับ แต่พี่กับพี่สาวยุ่งมาก ผมเลยไม่กล้ารบกวน แค่คิดว่าถ้าผมมีความคิดแบบนี้ ผมจะรอดูว่าพี่สาวจะทำตามที่ผมคิดรึเปล่า”
“ถ้าตรงกับที่ผมคิด ครั้งหน้าผมมีความคิดอะไร ผมก็จะกล้าคุยกับพี่สาวแล้ว ครั้งนี้ถือเป็การพิสูจน์ตัวเอง แต่ไม่นึกว่าผมจะยังไม่ได้พิสูจน์ พี่สาวก็ให้โอกาสผมก่อนแล้ว ขอบคุณนะครับพี่สาว!”
หมี่หลันซิงตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้หลงระเริงไปกับความสำเร็จ นี่ทำให้หมี่หลันเยว่ภูมิใจในตัวน้องชายมาก
“หลันซิง นายเก่งมาก ไม่หยิ่งไม่จองหอง พี่มองนายต่ำไป นายต้องรักษานิสัยแบบนี้ไว้ พี่รับรองว่านายต้องประสบความสำเร็จในอนาคตแน่นอน”
“ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับพี่สาว ผมจะพยายามให้มากขึ้น”
หมี่หลันหยางก็จับมือน้องชาย เขาชื่นชมสายตาของน้องสาวมาก ตอนนั้นที่น้องสาวบอกว่าน้องชายอาจจะเก่งเื่ธุรกิจมากกว่าตัวเอง เขายังไม่ยอมรับ ตอนนี้ดูเหมือนว่าน้องสาวจะพูดถูกอีกแล้ว
แต่เขาไม่อยากยอมแพ้ เพราะตัวเองอายุมากกว่าน้องชายห้าปี นั่นหมายความว่าตัวเองมีประสบการณ์มากกว่าน้องชายห้าปี แม้ว่าเขาจะสู้ความสำเร็จของน้องชายในอนาคตไม่ได้ ก็ต้องไม่แพ้มากนัก อย่างน้อยเขาก็เป็พี่ชาย
ทุกอย่างเป็ไปตามที่ตกลงกันไว้ วันรุ่งขึ้นหลังเลิกเรียน สามพี่น้องกลับไปที่ร้านค้าหลัก หลิวชิงเวยยังคงมาถึงก่อนพวกเขา แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง หมี่หลันเยว่ไม่กล้าละเลยพี่หลิว เพราะพี่หลิวช่วยเธอจัดหาคน
“พี่หลิว ลำบากพี่อีกแล้ว”
“พูดอะไรแบบนั้น นี่เป็หน้าที่ของฉัน เื่ของประชาชนในเขตของฉันก็คือเื่ของฉัน ถ้าช่วยได้ฉันก็ต้องช่วยอยู่แล้ว ตอนนี้มีโอกาสดีๆ แบบนี้ ฉันก็ต้องไม่พลาด”
เขาดันเด็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ให้มาข้างหน้า
“พวกเด็กๆ เป็เด็กดี เรียนก็เก่ง ฉันเห็นพวกเขามาั้แ่เด็ก รู้ไส้รู้พุง รับรองว่าไว้ใจได้ แต่ฉันก็รู้ว่ามันยากที่จะเก็บไว้ทั้งหมด”
หลิวชิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย ก่อนจะพูดต่อ
“แล้วแต่เธอเลย จะเก็บใครไว้ ไม่เก็บใครไว้ ก็แล้วแต่เธอ พวกเราไม่มีปัญหา ถ้าที่นี่ไม่ได้ผล ฉันจะหาทางหางานอื่นให้พวกเขา จะปล่อยให้พวกเขาอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก”
หลิวชิงเวยเป็ห่วงจริงๆ เด็กพวกนี้เป็เด็กดี ไม่เหมือนเด็กที่ต่อให้ดุด่าว่าตีก็ไม่อยากเรียนรู้ พวกนั้นช่วยยังไงก็ช่วยไม่ได้ เด็กพวกนี้ถ้าต้องอยู่เฉยๆ แล้วกลายเป็พวกอันธพาล มันน่าเสียใจมาก
แต่ความจริงมันโหดร้าย เขาก็บังคับให้หมี่หลันเยว่เก็บทุกคนไว้ไม่ได้ อย่างน้อยก็เก็บได้กี่คนก็เอาก่อน อย่างน้อยเขาก็พยายามสุดความสามารถแล้ว ที่เหลือเขาจะหาทางอื่น เมืองเล็กๆ นี้ ไม่น่าจะหางานไม่ได้
“ขอฉันคุยกับพวกเขาก่อนได้ไหมคะ”
หมี่หลันเยว่รู้สึกซาบซึ้งที่เห็นหลิวชิงเวยทะนุถนอมเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาไม่กี่ปีเหมือนลูกในไส้ ตำรวจแบบนี้สิที่สมควรได้รับความเคารพ
“ได้ๆ ไปคุยกับสหายหมี่หลันเยว่เลย พวกเขาอยากรู้ว่าที่นี่้าคนแบบไหน”
หลิวชิงเวยอยากให้หมี่หลันเยว่เก็บทุกคนไว้ ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น แต่เพราะเขาเชื่อใจในตัวหมี่หลันเยว่ ดังนั้นเขาจึงวางใจที่จะให้เด็กๆ อยู่กับเธอ อย่างน้อยก็จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
เขารู้ว่ามีโรงงานหลายแห่งที่เอาเปรียบพนักงานเด็กแบบนี้ พวกเขาทำงานไม่น้อยไปกว่าผู้ใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับค่าตอบแทนเท่ากัน หรือไม่ก็ถูกกดขี่ข่มเหง นี่เป็สิ่งที่เขายอมรับไม่ได้ เขาไม่อยากให้เด็กๆ ที่อยู่ข้างกายต้องเจอเื่ไม่ยุติธรรมแบบนี้
“ตอนนี้ที่นี่ขาดคนงาน ฉันจะบอกพวกพี่ไว้ก่อน ตอนนี้ฉันขาดคนดูแลคลังสินค้าหนึ่งคน คนดูแลคลังวัสดุหนึ่งคน นอกจากนี้ฉัน้าพนักงานขายอีกสองคน หน้าที่ของพวกเขาคือ...”
หมี่หลันเยว่อธิบายลักษณะงานของแต่ละตำแหน่งให้พวกเขาฟัง แล้วถามว่า
“งานที่ฉันบอกไป พวกพี่คิดว่าตัวเองเหมาะกับงานไหนคะ”
ทั้งสี่คนไม่นึกว่าที่นี่จะ้าคนงานถึงสี่คน ต่างมองหน้ากัน แววตาที่แสดงออกถึงความปรารถนาเป็ที่สังเกตได้ชัดเจน แม้แต่หลิวชิงเวยยังตั้งใจฟัง
“เถ้าแก่เนี้ยหมี่...”
เด็กหนุ่มแซ่หร่วนคนหนึ่งพูดขึ้นก่อน หมี่หลันเยว่รีบห้ามเขา
“ไม่ต้องเรียกฉันว่าเถ้าแก่เนี้ย เรียกฉันว่าหลันเยว่ก็ได้ค่ะ ต่อให้ไม่ได้เป็เพื่อนร่วมงาน เราก็เป็เพื่อนกันได้”
คำพูดของหมี่หลันเยว่ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสี่คนผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“หลัน...สหายหลันเยว่ คืออย่างนี้ ฉันว่างานคุมคลังสินค้า ฉันก็ทำได้ แต่ว่างานนี้เหมาะกับเสี่ยวหวู่กับเสี่ยวจือมากกว่า ฉันเลยอยากทำงานขายข้างนอก ฉันว่างานนี้ฉันก็ทำได้ดีเหมือนกัน”
สุดท้ายหลังจากปรึกษากันแล้ว ก็เป็ไปตามที่หมี่หลันซิงคิดไว้ หร่วนิอี้และเมิ่งเสี่ยวเฟยรับงานขายข้างนอก ส่วนอันเสี่ยวหวู่และตานจือรับหน้าที่เป็ผู้ดูแลคลังสินค้าและคลังวัสดุตามลำดับ ผลลัพธ์เป็ที่น่าพอใจ หลิวชิงเวยดีใจจนพูดไม่ออก เด็กๆ ได้งานทำแล้ว
