เฉียวเยว่ทำแก้มป่องถลึงตาใส่คน ราวกับกบน้อยที่กำลังโกรธจัด
รัชทายาทรู้ดีว่าิ่จื้อรุ่ยรักเฉียวเยว่ แต่เด็กผู้ชายมักปากกับใจไม่ตรงกัน จึงเอ่ยขึ้นว่า "พี่ชายิ่ล้อเ้าเล่นหรอก เขาคิดจริงๆ เสียที่ไหน เฉียวเยว่น่ารักเพียงนี้ สวมชุดใดก็น่ามองทั้งสิ้น"
จะว่าไป ฮ่องเต้กับแม่ทัพิ่เป็เพียงลูกพี่ลูกน้องกัน รัชทายาทกับิ่จื้อรุ่ยยิ่งห่างชั้นกันหนึ่งระดับ แต่ถึงจะเป็เช่นนี้ รัชทายาทก็เอาใจใส่ดูแลิ่จื้อรุ่ยดียิ่ง ดีกับเขาเสมอต้นเสมอปลาย ิ่จื้อรุ่ยเองถึงแม้จะชอบยโสโอหังกับผู้อื่นแต่แทบไม่เคยทำให้รัชทายาทขัดเคืองใจ
หาใช่เพราะสถานะ แต่เพราะรัชทายาททรงมีพระทัยกว้างขวางและมักให้อภัยผู้อื่นเสมอ ถึงแม้ิ่จื้อรุ่ยจะเป็พวกดื้อด้านอย่างหนักก็ยังต้องเกรงพระทัย
รัชทายาทกล่าวเช่นนี้ ิ่จื้อรุ่ยเพียงแค่นเสียงหึ ไม่ต่อความอันใดอีก
เฉียวเยว่มิได้โกรธิ่จื้อรุ่ย แต่กลับเชิดคางขึ้นน้อยๆ พูดอย่างขึงขัง "หากท่านรังแกข้าอีก ข้าจะฟ้องท่านลุง ท่านลุงของข้ายอดเยี่ยมมาก เก่งที่สุด ร้ายกาจที่สุด ข้าจะให้ท่านลุงจัดการท่าน"
"เ้าไม่พูด ท่านลุงของเ้าจะมีความสุขมากกว่า" ซูซานหลางรู้สึกว่าชื่อเสียงพี่ภรรยาของตนเองถูกเด็กน้อยคนนี้ทำลายไปไม่น้อย แต่เฉียวเยว่กลับไม่เห็นว่าจะเป็อะไร
นางเอียงคอมองบิดา "ท่านพ่อคงมิได้อิจฉาที่ท่านลุงตำแหน่งสูงกว่า ซ้ำยังหล่อเหลากว่าท่านใช่หรือไม่?"
ซูซานหลายขบกรามกรอด "ยื่นก้นน้อยๆ ออกมาเดี๋ยวนี้!"
เฉียวเยว่กลอกตา "แขกยังอยู่ ท่านพ่อจะตีเด็กเพียงเพราะพูดความจริงได้อย่างไร นี่ไม่ดีเลย ข้าไม่อยากเป็บุตรของท่านแล้ว ไม่อยาก ไม่อยาก"
เฉียวเยว่เป็เด็กแสบระดับโกลด์ 24K สามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเื้ัคาของแท้
"ซูเฉียวเยว่ หากเ้าไม่เชื่อฟังอีก ข้าจะเอาเ้าไปทิ้ง หลังจากนั้นค่อยไปเก็บเด็กคนอื่นกลับมาเลี้ยงแทน"
ซูซานหลางพยายามสงบอารมณ์อย่างมาก เฝ้าบอกตนเองซ้ำๆ ว่าข้าเป็บิดาผู้อารี เป็บิดาผู้อารี
เฉียวเยว่หัวเราะเยาะ พูดเสียงดัง "เด็กที่ท่านเก็บก็เป็เด็กดื้อที่ผู้อื่นไม่้าเหมือนกันนั่นแหละ"
ิ่จื้อรุ่ยหลุดขำพรืด หลังจากนั้นก็หน้าแดง ก้มหน้างุด "อาจารย์ ท่าน... ท่าน..."
พูดอะไรไม่ออกจริงๆ
รัชทายาทเบือนศีรษะไปทางอื่น ราวกับกำลังมองชั้นวางหนังสืออย่างจริงจัง จริงจังมากๆ ด้วย
ซูซานหลางอยากตีบุตรสาวคนนี้สักยก แต่มาใคร่ครวญดีๆ ตรรกะนี้ก็ไม่มีอะไรผิด
ไม่มีอะไรผิด...
"ซูเฉียวเยว่ เ้าชอบพูดแต่เื่เหลวไหลไร้แก่นสารกับข้า สิ่งที่เป็ความรู้มีประโยชน์เ้าเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใด"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก แต่ตอบอย่างจริงจัง "ท่านพ่อ ท่านอย่าโกรธข้าเลย ถึงแม้ว่าข้าจะชอบท่านลุงมาก แต่ท่านลุงมิใช่บิดา ไหนเลยจะแทนท่านได้"
ถ้อยคำประโยคนี้สามารถเกลี้ยกล่อมซูซานหลางให้อารมณ์ดีขึ้นได้ในชั่วพริบตา เขาหยิกแก้มยุ้ยของนาง "เด็กน้อยอย่างเ้ารู้แต่จะซุกซนได้ทั้งวัน"
"ก็เพราะข้าน่ารัก ข้าคือโลลิมูน [1] ที่แสนจะงดงามและน่ารักที่สุดในเมืองหลวง" เฉียวเยว่กลิ้งเกลือกไปมา
ซูซานหลางยกมือนวดจุดไท่หยาง ระอาใจอย่างถึงที่สุด เขาอุ้มบุตรสาวขึ้นมาแล้วพูดว่า "รัชทายาทกับพี่ชายิ่ยังอยู่ เ้าไม่คำนึงถึงสถานะของตนเองบ้างเลยหรือ เป็เด็กผู้หญิงมากลิ้งเกลือกต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ เ้านึกว่าตนเองแค่ขวบสองขวบหรืออย่างไร?"
เฉียวเยว่พูดในใจ ตอนข้าขวบสองขวบยังปลดทุกข์ใส่รัชทายาทอยู่เลย ดังนั้นตอนนี้ย่อมสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาได้แล้ว แต่อย่าเพิ่งพูดมากเวลานี้เลยดีกว่า หากทำให้ท่านพ่อโมโห เดี๋ยวนางจะซวยจริงๆ
เฉียวเยว่ลูบพุงน้อยๆ ของตนเอง พลางเอ่ยถึงหลักการอย่างจริงจัง "สิ่งผิดจรรยาก็อย่าดูสิเ้าคะ เหตุใดต้องดูด้วยเล่า? เห็นสตรีทำเช่นนี้ พวกเขาก็ควรเป็ฝ่ายเบือนสายตาไปทางอื่นเอง แสร้งทำเป็ไม่เห็นไปเสีย"
ตรรกะนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ผิดเหมือนกัน
"เฉียวเยว่เป็บุตรที่คล้ายคลึงกับอาจารย์ที่สุด" คำพูดของิ่จื้อรุ่ยมีความนัยล้ำลึกแอบแฝง
กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
สายตาของสองพ่อลูกเริ่มชำเลืองมาที่ิ่จื้อรุ่ย
"ข้ารู้สึกว่าบทสนทนาที่พวกท่านโต้ตอบกันจะเป็จะตาย มีความกลิ้งกลอกเ้าเล่ห์อยู่มาก" ิ่จื้อรุ่ยพูดอย่างตรงไปตรงมา
เฉียวเยว่มองเขาอย่างเห็นใจ "ท่านนี่ไม่มีวัฒนธรรมเอาเสียเลย นี่เรียกว่าคารมคมคายจนผู้คนตกตะลึงต่างหากเล่า"
"..."
ถึงเวลามื้อเย็น ด้านหน้าของเฉียวเยว่มีแต่ผัก เนื้อเล็กๆ สักชิ้นก็ไม่มี
"นี่เป็อันใดไปอีกแล้วเล่า พระอาทิตย์ขึ้นทางประจิมหรือไร เฉียวเฉียวนึกอยากลดความอ้วนแล้วหรือ?"
เฉียวเยว่เงยหน้าดวงน้อยขึ้นจากชามข้าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้ากินเนื้อเ้าค่ะท่านแม่ เขาบอกว่าเย็นนี้ลงโทษให้ข้ากินแต่ผัก"
นางเขี่ยผักในชาม "ของที่ดูเหมือนหญ้าเช่นนี้ข้าจะไปชอบกินได้อย่างไร ข้าอยากกินเนื้อ เด็กๆ ต้องบำรุงถึงจะเจริญเติบโต ข้าไม่กินเนื้อไม่ได้"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าแทนที่จะไปเกลี้ยกล่อมบิดา มิสู้กล่อมมารดาจะง่ายกว่า
บิดาของนางเป็พวกยอมภรรยา ดังนั้นแผนการของตนเองต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
"มื้อเย็นกินเนื้อเยอะก็ย่อยยาก กินผักมากหน่อยไม่มีปัญหา เอาน่าเด็กดี เฉียวเยว่กินผักเถอะนะ" ไท่ไท่สามคีบผักใส่ชามใบน้อยให้นาง "กินซะ"
เฉียวเยว่เบะปากจ้องผักใบเขียวด้วยสีหน้าขมขื่น "ข้าไม่ใช่กระต่าย ต้องกินผักกินหญ้า"
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ยังคงคีบใส่ปาก
เห็นนางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ฉีอันก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
"วันนี้เ้าไปก่อเื่อะไรมาอีกล่ะ" ไท่ไท่สามถาม
เฉียวเยว่ทำสีหน้าน้อยใจ เถียงว่า "ข้าเปล่าสักหน่อย ไม่รู้เหตุใดท่านพ่อมักขุ่นเคืองใจเป็ประจำ จนข้าจะเปลี่ยนชื่อเรียกเขาว่า 'ไม่พอใจได้ทุกวัน' อยู่แล้ว"
ไท่ไท่สามถลึงตาใส่นาง "ห้ามพูดมากระหว่างกินข้าว"
เฉียวเยว่ทำแก้มป่อง
"ลมสารทเริ่มจะเย็นแล้ว ยามนี้เป็ฤดูกาลที่ปูแม่น้ำกำลังอ้วนพี ข้าให้คนไปสั่งซื้อไว้แล้ว พรุ่งนี้น่าจะมาถึง พรุ่งนี้ข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอก เ้ารับไว้ หลังจากนั้นก็จัดสรรปันส่วนส่งให้แต่ละเรือน" ซูซานหลางมอบหมาย
เฉียวเยว่หูผึ่งทันควัน ลืมความน้อยใจไปเสียสิ้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างมีความสุข "ข้าชอบปูแม่น้ำที่สุด ปูแม่น้ำอ้วนๆ มีแปดขา หล่า ลั้น ลา..."
"เ้ากับฉีอันช่วยมารดาเ้าส่งของไปให้แต่ละเรือน ห้ามก่อเื่เป็อันขาด ส่งแล้วก็กลับ เข้าใจหรือไม่?" สาเหตุที่ซูซานหลางให้เฉียวเยว่ตามไปด้วยก็เพื่อไท่ไท่สาม ระหว่างสะใภ้ด้วยกันนางมิอาจกล่าวสิ่งใดได้มากนัก ต่างจากเฉียวเยว่และฉีอัน แม้เด็กสองคนนี้จะชอบก่อเื่แต่สามารถปกป้องอาอิ่งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉียวเยว่ เห็นใสซื่อไร้พิษภัยเยี่ยงนี้ แต่แท้จริงแล้วมีความคิดมีแผนการอยู่เต็มท้อง ยากจะตกเป็เบี้ยล่างของผู้ใด
เฉียวเยว่ยิ้มแก้มปริ พยักหน้าอย่างหนักแน่น พลางตอบเสียงดังฟังชัด "ได้เ้าค่ะ"
ซูซานหลางลูบศีรษะบุตรสาว ใช้ความรู้สึกซาบซึ้งชี้เหตุผลให้เข้าใจ "ต้องปกป้องท่านแม่ เข้าใจหรือไม่?"
เฉียวเยว่ตบอกรับประกัน "มอบหมายให้ข้า ไม่มีผิดพลาด"
จวนซู่เฉิงโหวไม่แยกครอบครัว แต่ละเรือนล้วนมีกิจการเป็ของตัวเอง เช่นเรือนสามนอกจากจะมีร้านค้าที่เป็สินเดิมของไท่ไท่สามแล้ว ซูซานหลางก็ยังมีร้านค้าเป็ของตนเองอีกหลายแห่ง เป็ทรัพย์สินที่ฮูหยินมอบให้หลังจากเข้าพิธีก้าวสู่ความเป็ผู้ใหญ่ [2] สกุลซูมีบุตรชายสามคน แต่ละคนล้วนมีร้านค้าคนละสามสี่ร้าน ดังนั้นจึงไม่เคยฝืดเคืองเื่เงินทองและค่าใช้จ่าย
แต่อาจเป็เพราะบุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองล้วนเป็ขุนนาง ฮูหยินผู้เฒ่าลำเอียงรักบุตรชายคนเล็กมากกว่า ร้านค้าของเขาเหล่านี้จึงทำกำไรมากเป็พิเศษ
แน่นอนว่าการทำเงินมิใช่สิ่งที่จะเห็นได้จากภายนอก แต่ในใจซูซานหลางย่อมตระหนักได้ คนเช่นเขาหาใช่บัณฑิตทึ่มไร้สมอง แม้จะรู้เต็มอกว่ามารดาลำเอียงรักตนเองมากกว่าก็มิได้หลงลำพอง กลับส่งของกำนัลไปให้เรือนอื่นอย่างสม่ำเสมอ
แก้วแหวนเงินทองจับต้องไม่ได้ ซ้ำเป็การโอ้อวดเกินไป มิสู้มอบเป็อาหารสดใหม่ตามฤดูกาล
แม้ว่าซูซานหลางจะไม่รับราชการ ไร้เบี้ยหวัดรายเดือน ไม่ค่อยได้เข้าสังคม แต่เขากลับมั่งคั่งที่สุดในจวนสกุลซู
ยามเช้าตรู่ เฉียวเยว่กำชับสั่งการอวิ๋นเอ๋อร์ "ผูกแถบผ้าต่วนสีเขียวม้วนให้เป็วงกลม หลังจากถักเปียเสร็จแล้วก็มัดเข้าไปแบบนี้ เ้าทำเป็หรือไม่?"
นางเงยดวงหน้าน้อย แล้วทำท่าทำทางให้ดู ชวนให้คนรู้สึกเอ็นดูจับใจ
อวิ๋นเอ๋อร์อมยิ้ม "บ่าวจะลองมัดให้คุณหนูเจ็ดดูก่อนดีหรือไม่เ้าคะ"
เฉียวเยว่พยักหน้าทันควัน ไม่นานนักนางก็ปรบมือ "ดียิ่ง นี่ล่ะแบบที่ข้า้า ข้าจะปักปิ่นแมลงปอที่ท่านลุงมอบให้ด้วย"
เมื่อเฉียวเยว่เดินออกมา ไท่ไท่สามก็หัวเราะ "เ้าเด็กคนนี้ ไหนบอกว่าจะไปส่งปูแม่น้ำกับแม่ แล้วนี่แต่งตัวอะไรกัน?"
บนเปียเส้นเล็กผูกด้วยแถบผ้าต่วนสีเขียวแลดูน่ารัก ด้านซ้ายปักปิ่นทองรูปแมลงปอหนึ่งตัว ชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนคลุมทับด้วยเสื้อคลุมไหล่สีเขียวเข้ม แขวนกระพรวนเล็กสองชิ้นที่เอว ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งยามเคลื่อนไหว
เขียวั้แ่หัวจรดเท้าอย่างที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน!
เฉียวเยว่ยิ้มตาแก้มปริ "น่ารักหรือไม่? วันนี้ข้าคือกบน้อย เป็สหายคนสนิทของปูน้อย"
"ข้าจะเปลี่ยนด้วย ข้าจะเปลี่ยนด้วย"
เดิมทีฉีอันแต่งตัวเรียบร้อยดูเป็เด็กน้อยที่งามสง่าดุจพฤกษาหยอกล้อลม แต่ตอนนี้กลับงอแง ยืนกรานจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ไท่ไท่สามถูกรบเร้าจนต้องตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้ "แม่จะช่วยเ้าเอง"
ไท่ไท่สามจูงฝาแฝดชุดเขียวทั้งตัวมาที่เรือนหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าอดกลั้นไม่ไหวหัวเราะออกมา "โอ้โห เด็กน้อยคู่นี้ ภรรยาเ้าสาม พวกเ้าทำอะไรกันนี่"
ไท่ไท่สามผู้น่าสงสารหน้าแดงเถือก ได้แต่พูดอ้อมแอ้มว่าเด็กชอบ
เฉียวเยว่ประกาศเสียงดัง "ท่านย่า วันนี้พวกเรามาส่งปูแม่น้ำ ข้าคือกบผู้พิทักษ์ปูน้อย กบน้อย อ๊บ อ๊บ อ๊บ"
"อ๊บ อ๊บ อ๊บ" ฉีอันไม่พูดอย่างอื่น นอกจากร้องเสียงกบ
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มพลางกล่าวว่า "กบน้อยน่ารักเพียงนี้ ไหน มายืนให้ย่าดูซิ"
นางลูบดวงหน้าเล็กจ้อยของฝาแฝดพี่น้อง "ได้เห็นพวกเขาแล้ว เื่กลัดกลุ้มอันใดก็หายไปหมดจริงๆ"
"พวกเ้าอยู่กับย่าที่นี่ดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด "มิได้เ้าค่ะ ข้ายังต้องไปคุ้มกันสหายปูน้อยต่อ
มุมปากของฮูหยินผู้เฒ่าโค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม "ในเมื่อเป็สหายของเ้า ก็กินตามอำเภอใจไม่ได้แล้วสิ เราเลี้ยงพวกมันไว้ดีหรือไม่?"
ฮูหยินผู้เฒ่าแกล้งหยอกเฉียวเยว่
เฉียวเยว่หน้าแตกเพล้ง เอานิ้วชนกันพูดตะกุกตะกัก "คะ... ควรกิน ไม่สิ ต้องกินต่างหาก เมื่อพวกมันมาโลกนี้ในฐานะปูน้อย ก็ควรแสดงความทุ่มเทภายในลังถึงด้วยสิเ้าคะ"
รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งกว้างขึ้น
"ไม่ใช่สหายของเ้าแล้วหรือ?"
"ท่านย่าทราบหรือไม่ว่าถ้าจะแต่งงานควรแต่งกับผู้ใด?"
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ว่าคำถามเกี่ยวข้องกับเื่นี้อย่างไร หัวข้อสนทนาของเด็กน้อยมักจะะโข้ามไปข้ามมาเช่นนี้เสมอ จึงตอบไปว่า
"เช่นนั้นเ้าบอกย่ามา ว่าควรแต่งกับผู้ใด" เป็เด็กเป็เล็กคิดถึงเื่นี้แล้วหรือ
เฉียวเยว่สะกิดฉีอัน ฉีอันร้องตอบทันที "พระถังซัมจั๋ง"
กำลังเสริมตอบสนองได้ดีเยี่ยม
ฮูหยินผู้เฒ่ายังงุนงง ไท่ไท่สามอับอายอย่างหนักรีบเข้ามาห้ามทันที "พอแล้ว อย่าพูดเหลวไหลอีก"
ไท่ไท่สามเข้ามาขัดขวางเยี่ยงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้น "อาอิ่งอย่าห้ามเด็ก เฉียวเยว่บอกย่ามาซิ ว่าเพราะเหตุใด"
เฉียวเยว่ยืดอก "ทนได้ก็อยู่ ทนไม่ได้ก็จับกินเนื้อเสีย [3]"
"ปูน้อยก็เช่นเดียวกัน แม้จะเป็สหายของข้า แต่ถ้าไม่ลงรอยกันเมื่อไรก็สามารถกินได้ ตอนนี้ข้าไม่ชอบมันแล้ว" นางกล่าวเสริม
วกกลับมาเื่เดิมได้อย่างน่าอัศจรรย์
รอบด้านเงียบกริบทันควัน...
...
[1] โลลิ หมายถึง เด็กน่ารักที่อายุต่ำกว่า 12 ปี มูน ในที่นี้ภาษาจีนคือ เยว่ เป็ชื่อของ เฉียวเยว่
[2] พิธีก้าวสู่ความเป็ผู้ใหญ่เป็พิธีกรรมของจีนโบราณ หากเป็พิธีของผู้หญิงจะเรียกว่าพิธีปักปั่น จัดขึ้นเมื่อสตรีอายุครบสิบห้าปี ส่วนพิธีของผู้ชายจะเรียกว่าพิธีสวมหมวก (กวาน) จัดขึ้นเมื่อบุรุษอายุครบยี่สิบปี โดยในพิธีผู้ใหญ่จะปักปิ่นหรือสวมหมวกให้แก่ผู้เยาว์ พร้อมกับมอบของขวัญให้ จะน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับฐานะ และเด็กที่เข้าพิธีก็จะมีการปฏิญาณตนว่าจะเป็ผู้ใหญ่ที่ดี ในปัจจุบันบางเมืองในประเทศจีนก็ยังมีการอนุรักษ์ธรรมเนียมนี้อยู่
[3] แผลงมาจากคำพูดที่ว่า "ทนได้ก็อยู่ ทนไม่ได้ก็หย่า"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้