เขาเอามือวางเท้าศีรษะมองดูกระดาษแผ่นนั้นอย่างครุ่นคิด การกระทำเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะออกมาจากมือของจวินหวงจริงๆ คนที่คุ้นเคยกับความสงบเยือกเย็นอย่างนาง บางคราก็ไม่ชอบใช้คำพูดฟุ่มเฟือยแม้เพียงตัวอักษรเดียว
เมื่อย่างเข้าสู่ยามราตรี หนานสวินรีบไปยังเรือนข้างของจวินหวงอย่างรวดเร็ว กลับพบว่าในจวนเฉินอ๋องไม่ค่อยมีการวางยามรักษาการณ์เท่าใดนัก ปกติจะมีคนเฝ้าในทุกๆ จุด แต่วันนี้จู่ๆ คนก็น้อยลงไปถนัดตา หนานสวินจับสังเกตถึงความผิดปกติได้ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดหรือชะลอลง
เมื่อมาถึงเรือนข้าง เขาสังเกตเห็นคนผู้หนึ่งที่ด้านหลังของูเาหินจำลองที่อยู่ไม่ไกล ดวงตาพลันดำมืดลงในฉับพลัน ระหว่างที่กำลังจะเข้าไปในเรือนข้าง บังเอิญเห็นจวินหวงที่รอเขาอยู่พอดี จึงค่อยวางใจลงมาได้
แต่จวินหวงก็ขมวดคิ้วถามขึ้นทันที โดยไม่รอให้หนานสวินเอ่ยปาก "แท้จริงแล้วมีเื่อันใดหรือ? จวนอ๋องไม่ปลอดภัย มีเื่อันใดไยจึงคุยกันข้างนอกไม่ได้?"
หนานสวินฟังแล้วก็หน้าถอดสี เขาเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ก้มตัวลงมาใกล้ๆ จวินหวงแล้วกระซิบบอก "เื่นี้เกรงว่าจะเป็อุบาย พวกเราเข้าไปข้างในก่อน" พูดจบเขาก็ดึงจวินหวงเข้าไปในห้องนอน
หนานกู่เยว่เห็นพวกเขาเข้าไปในห้องแล้วก็วิ่งเข้าไปที่เรือน เกาะอยู่ที่กรอบหน้าต่างด้านข้างแอบฟังคนข้างในคุยกัน
จวินหวงยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงคิดจะอ้าปากถาม แต่ถูกหนานสวินเอื้อมมือมาปิดปากไว้ทัน แล้วชี้ไปที่เงาดำที่หน้าต่างด้านข้าง ไม่กล่าวอันใดแม้แต่คำเดียว แต่จวินหวงก็พอเข้าใจคร่าวๆ ถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว
"หวางเหย่มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ?" จวินหวงรู้ว่าในเวลานี้พวกเขาจะเงียบไม่ได้ จึงเอ่ยปากถามเบาๆ
"ที่คุณชายได้รับาเ็เมื่อสองวันก่อน ข้ารู้สึกกังวล ไม่รู้ว่าอาการดีขึ้นหรือยัง ก็เลยแวะมาเยี่ยม" หนานสวินตามอย่างแเีไร้ช่องโหว่ แต่สายตากลับจับอยู่ที่คนนอกหน้าต่างตลอดเวลา คอยดูท่าทีของคนผู้นั้นอยู่เงียบๆ
และในขณะนั้นเอง จู่ๆ เสียงของเว่ยหลานอิ๋งก็ดังลอยมา "ฝ่าพระบาท ข้าเห็นจริงๆ ว่ามีคนบุกเข้าไปในที่พักของคุณชาย คิดอยู่ว่าหากเป็คนมีวัตถุประสงค์ไม่ดีซ่อนเร้นก็จะแย่ จึงให้คนล้อมเรือนข้างไว้ แล้วรอให้ฝ่าพระบาทมาตัดสินพระทัยอีกที"
จวินหวง หนานสวิน และหนานกู่เยว่ที่อยู่ในเรือนทั้งสามคนต่างมีท่าทางตื่นตระหนก หนานกู่เยว่ไม่คิดว่าฉีเฉินและเว่ยหลานอิ๋งจะมาเร็วขนาดนี้ นางขบกรามแล้วตบเท้าเดินออกไปก่อน
"กู่เยว่คารวะฝ่าพระบาท" หนานกู่เยว่ยอบกายเล็กน้อย รั้งพวกเขาไว้ที่ประตู
ฉีเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "กู่เยว่ ไยเ้าจึงมาอยู่ที่นี่?"
"ข้า..." ไม่รอให้หนานกู่เยว่พูดจบ จวินหวงก็เปิดประตูห้องนอนออก แล้วนางกับหนานสวินค่อยๆ เดินออกมา เว่ยหลานอิ๋งเห็นดังนั้นสีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจขึ้นมาแวบหนึ่ง รอดูว่าจวินหวงถูกฉีเฉินขับออกจากจวนเฉินอ๋องอย่างไร
ฉีเฉินยิ่งเห็นหนานสวิน หัวคิ้วของเขาก็ยิ่งขึงเครียดราวกับว่าอากาศได้หยุดหมุนเวียนลงไปชั่วระยะเวลาหนึ่งอย่างนั้น
เดิมทีคิดจะให้หนานสวินหลบซ่อนตัว แต่พวกเขาต่างรู้ดี หากไม่มีใครเห็นหนานสวิน พวกเขาก็จะให้คนมาค้นห้อง หากพบตัวหนานสวินในเวลานั้นก็จะยิ่งแก้ตัวไม่ขึ้น
ในขณะที่จวินหวงกำลังคิดจะหาข้อแก้ตัว หนานกู่เยว่ก็หายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วยิ้มอ่อนๆ "ข้าเป็ผู้ให้คุณชายตามท่านหนานสวินอ๋องมาเองแหละ" พูดจบนางก็หลุบตาลง
"เชิญมาทำไมหรือ?"
"่นี้กู่เยว่รู้สึกอ่อนเพลีย กังวลว่าจะเกิดความผิดปกติอะไรกับลูก ได้ยินมาว่าท่านหนานสวินอ๋องขึ้นเหนือล่องใต้เดินทางมาไม่น้อยตลอดหลายปี ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีการดีๆ อะไร จึงไหว้วานให้คุณชายช่วยตามท่านหนานสวินอ๋องมาที่นี่"
ฉีเฉินรู้ว่าั้แ่หลังจากที่หนานกู่เยว่ตั้งครรภ์ กลางคืนมักจะหลับยาก นอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืน ทั้งไม่กล้ากินยาส่งเดช เพราะกลัวว่าจะกระทบกระเทือนถึงบุตรในครรภ์ เขาก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองหนานสวิน กล่าวว่า
"แล้วหวางเหย่มีแนวทางดีๆ บ้างหรือไม่?"
"ย่อมมีแน่นอน เมื่อครู่หวางเหย่ได้บอกเทียบยากับผู้น้อยแล้ว เดี๋ยวว่างๆ ผู้น้อยจะคัดลอกออกมา" จวินหวงชิงพูดขึ้นมาก่อน
ฉีเฉินพยักหน้า หนานกู่เยว่แสร้งทำเป็ง่วงนอน ฉีเฉินจึงไม่กล่าวอะไรอีก เพียงแค่สั่งให้องครักษ์ที่ล้อมอยู่เรือนข้างแยกย้ายกันไป แล้วประคองหนานกู่เยว่ออกไป ทิ้งให้เว่ยหลานอิ๋งยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแทบอยากจะฆ่าหนานกู่เยว่ให้ตายด้วยมือของตนเอง
หลังจากส่งหนานสวินแล้ว ตอนที่จวินหวงกลับไปเรือนข้าง ก็เห็นเว่ยหลานอิ๋งยืนอยู่ที่ประตู เห็นได้ชัดว่ากำลังรอนางอยู่ นางเบ้ปาก รู้สึกเพียงว่าเว่ยหลานอิ๋งน่ารำคาญมากเหมือนผีร้ายที่คอยตามรังควาญไม่เลิก แต่ก็ไม่สามารถละเลยธรรมเนียม จึงต้องเข้าไปประสานมือคำนับและกล่าวทักทาย
"ฮึ! เฟิงไป๋อวี้ เ้าเก็บความเสแสร้งของตนเองกลับไปเสีย อย่านึกว่าเื่นี้แค่นี้ก็จบ วันนี้นับว่าเ้าโชคดี แต่คราวหน้าเ้าไม่โชคดีแบบนี้แน่"
จวินหวงได้ยินแบบนี้ก็อดถอนใจไม่ได้ "จำเป็ด้วยหรือที่ฟูเหรินต้องกระทำเช่นนี้? ผู้น้อยมั่นใจว่าตนเองไม่เคยล่วงเกินฟูเหริน แล้วไยฟูเหรินจึงต้องตามรังควาญไม่ปล่อยสักที?"
"เฮอะ! หากไม่ใช่เพราะเ้า คนที่ฝ่าพระบาทรักใคร่เอาอกเอาใจต้องเป็ข้า ไหนเลยจะเป็หนานกู่เยว่ไปได้? อีกอย่าง เ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าใจเ้าคิดอะไร? ทางที่ดีเ้าอย่าให้ข้าจับผิดเ้าได้ก็แล้วกัน มิเช่นนั้นข้าจะให้เ้าหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล" หลังจากกล่าววาจารุนแรงจบ นางก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป จวินหวงมองตามเงาหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปด้วยสีหน้าชินชา รู้สึกสลดใจอย่างบอกไม่ถูก
พอนางหมุนกายกลับมาก็เห็นเว่ยเฉี่ยนยืนอยู่ข้างหลังนาง หลายวันก่อนดูเหมือนว่าฉีเฉินจะให้นางไปทำธุระบางอย่าง ไม่รู้ว่ากลับมาั้แ่เมื่อไร
จวินหวงเพียงแค่มองเว่ยเฉี่ยนอย่างเรียบเฉย ไม่นานก็ย้ายสายตาไปทางอื่น นางไม่อยากเสียเวลาไปกับเว่ยเฉี่ยน จึงหันกลับเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้เว่ยเฉี่ยนยืนอยู่เพียงลำพังในสวนหย่อม
เว่ยเฉี่ยนหรี่ตามองจวินหวงที่เดินเข้าไปในห้อง เมื่อครู่นางก็คิดอยากจะถามจวินหวงว่าในเมื่อองค์หญิงหนานกู่เยว่เป็ผู้ตามให้หนานสวินมาหาที่จวนอ๋อง แล้วเหตุใดจึงไม่มาอย่างเปิดเผย ต้องแอบมายังเรือนข้างด้วย แต่พอลิ้นมาถึงริมฝีปากก็ต้องกลืนกลับเข้าไป เพราะนางไม่มีคุณสมบัติที่จะถามจวินหวง ขนาดฉีเฉินยังไม่ถามแล้วนางมีคุณสมบัติอันใดเล่า?
ตลอดทางที่กลับมาหนานกู่เยว่คอยแอบสังเกตฉีเฉินอยู่ตลอด ความจริงในใจนางก็รู้ดีว่าคำโกหกของนางเต็มไปด้วยช่องโหว่ หากตรองดูให้ถี่ถ้วนก็จะจับผิดได้ แต่ฉีเฉินกลับไม่กล่าวอะไรสักคำ ทำให้นางอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้
ระหว่างทางต่างคนต่างคิด เมื่อเดินมาถึงห้องนอน หนานกู่เยว่ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น "ข้าคิดว่าในใจของฝ่าพระบาทจะต้องเต็มไปด้วยความสงสัย พวกเราเป็สามีภรรยากัน ข้าก็ไม่อยากโกหกท่าน เมื่อครู่ที่ข้าแก้ต่างไปนั้นก็เพื่อปกป้องเฟิงไป๋อวี้ และรับมือกับเว่ยหลานอิ๋งเท่านั้น"
ฉีเฉินเลิกคิ้วขึ้น "หือ? เพราะเหตุใดเล่า?"
เขาประคองหนานกู่เยว่ไปที่นั่งที่ตั่งกุ้ยเฟย
หนานกู่เยว่ไม่มีทางเลือก จึงต้องเล่าเื่ราวทั้งหมดให้ฉีเฉินฟัง บอกถึงเื่ที่เว่ยหลานอิ๋งคิดจะกำจัดเฟิงไป๋อวี้ และครั้งนี้ก็เป็เพียงแผนการหนึ่งของเว่ยหลานอิ๋ง นางแอบฟังที่หนานสวินกับเฟิงไป๋อวี้คุยกันก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย
หลังจากได้ฟังแล้ว สีหน้าของฉีเฉินคาดเดาได้ยากว่าเขาคิดอะไร หัวใจของหนานกู่เยว่ลอยขึ้นมาถึงคอหอยแล้ว นางกลัวว่าเขาจะโกรธเคืองและพาลทะเลาะกับตนเอง แต่ดูเหมือนว่าฉีเฉินจะรับรู้ถึงความกังวลของนางได้ เขายิ้มอ่อนๆ ยื่นมือเข้ามาตบไหล่นางเบาๆ "เฟิงไป๋อวี้เป็คนที่วางแผนกลยุทธ์ให้ข้ามานาน สิ่งที่เขาทำทั้งหมดล้วนทำเพื่อข้า ข้าย่อมไว้ใจเขาอยู่แล้ว ส่วนเื่เว่ยหลานอิ๋ง เ้าต้องระวังหน่อย อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับนางมากนัก"
หนานกู่เยว่พยักหน้า แล้วซบเข้าไปที่อกของฉีเฉิน สีหน้าไม่ยินดียินร้ายกับเื่ใดๆ ฉีเฉินโอบไหล่ของนางไว้แล้วค่อยๆ หลับตาลง
...
จวินหวงนั่งอยู่ในห้องนอน ในมือบีบถ้วยชาอยู่ หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน เมื่อครู่ไม่สะดวกพูดคุย แต่ดีที่หนานสวินได้เตรียมการ เขียนข้อความใส่กระดาษเอาไว้ก่อนแล้ว นางเปิดอ่านข้อความก็มีเพียงไม่กี่ประโยค
"ชายแดนสงบเรียบร้อย ตงอู๋ไม่มีการเคลื่อนไหว ทั้งยังส่งสมุนไพรล้ำค่ามาให้จำนวนหนึ่ง เหมือนว่า้าสมานฉันท์"
ตอนนี้เวลาของนางมีไม่มากแล้ว แต่ตงอู๋กลับไม่คิดจะบุกมาตีเป่ยฉี ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนว่ากำลังคุมเชิงกัน แต่ก็ไม่มีใครยอมเป็ฝ่ายเริ่มต้นทำา
ตอนแรกนางคิดว่าหลังจากที่ตงอู๋ตีซีเชว่แตกแล้วจะบุกเข้ามาตีเป่ยฉีต่อ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสูญเสียกำลังไปมากจากการทำากับซีเชว่ ตอนนี้ยังคงกำลังพักทำนุบำรุงกำลังของตนเองอยู่
นางก็ไม่มีใจอยากจะกระตุ้นให้เกิดา เพราะรู้ดีว่าผู้ที่จะได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดก็คือประชาชน แต่ถ้าอยากแก้แค้นก็จำเป็ต้องชักนำให้าครั้งนี้เกิดขึ้น ยิ่งสถานการณ์โกลาหลมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็ประโยชน์ต่อนางมากเท่านั้น
จวินหวงดำดิ่งอยู่ในความเงียบสงบอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเมื่อสายตาเลื่อนไปจับอยู่ที่สมุนไพร รอยยิ้มถึงค่อยปรากฏที่มุมปาก แผนการหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในหัวของนางเรียบร้อยแล้ว
...
บ่ายวันนั้น นางคิดหาวิธีนัดพบกับพระสนมกุ้ยเฟย แต่พระสนมอยู่แต่ในวังมานานหลายปี ตอนนี้จวินหวงก็ยังไม่มีตำแหน่งขุนนาง ยากมากที่จะได้พบกับพระนางได้ ดังนั้นนางจึงต้องใช้โหรวเอ๋อร์
โหรวเอ๋อร์เป็อนุรับใช้ของฉีเฉิน ตอนนี้หนานกู่เยว่ตั้งครรภ์ บางครั้งบางคราวเขาก็จะมาหาโหรวเอ๋อร์ โหรวเอ๋อร์เป็คนพูดน้อย ทุกครั้งที่พบกันก็จะมีท่าทีสงบเสงี่ยม เพียงแค่ท่าทางในการชงชา รินน้ำชาของนาง ก็ทำให้คนลุ่มหลงได้แล้ว
ฉีเฉินรู้สึกอยู่เสมอว่าตนเองผิดต่อโหรวเอ๋อร์ คิดอยากจะมอบสถานะให้แก่โหรวเอ๋อร์ แต่ก็กลัวว่าสุดท้ายแล้วนางก็จะเปลี่ยนไปเหมือนกับเว่ยหลานอิ๋ง จึงไม่เคยเอ่ยถึงเื่นี้ออกไป
โหรวเอ๋อร์รินน้ำชาให้ฉีเฉินถ้วยหนึ่ง กลิ่นชาหอมโชยขึ้นมา นางช้อนตามองฉีเฉิน ริมฝีปากคลี่ยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง แล้ววางถ้วยชาที่ด้านหน้าของฉีเฉิน
"ฝ่าพระบาทมีอะไรในใจหรือเพคะ?" โหรวเอ๋อร์ถามเบาๆ
ฉีเฉินส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา "ไม่ใช่เื่ใหญ่ เพียงแค่มีเื่วุ่นวายใจนิดหน่อย ทุกครั้งพอมาที่นี่นั่งสักพักก็ดีขึ้น"
แม้ว่าโหรวเอ๋อร์จะไม่ค่อยออกไปไหน แต่ก็ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่านอกเรือนของตนเองเกิดเื่อะไรขึ้นบ้าง ยิ่งตอนนี้คนที่จวินหวงเพิ่มเข้ามาใหม่ล้วนมอบให้นางเป็ผู้จัดการ เื่หยุมหยิมสัพเพเหระย่อมมีคนมาบอกกล่าวให้รู้อยู่แล้ว
"ในเมื่อฝ่าพระบาทกลัดกลุ้มพระทัย ไยไม่เชิญพระสนมกุ้ยเฟยมาคุยปรึกษาล่ะเพคะ จะว่าไปพระสนมก็ไม่ได้มานานแล้ว โหรวเอ๋อร์อยากจะปรนนิบัติพระนางบ้าง" โหรวเอ๋อร์เสนอความคิด
ฉีเฉินฟังแล้วก็ขมวดคิ้วเริ่มครุ่นคิดถึงเื่นี้ คำกล่าวของโหรวเอ๋อร์ก็มีเหตุผล และพระสนมกุ้ยเฟยตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าหนานกู่เยว่ตั้งครรภ์ ก็ถือโอกาสรับพระนางมาเสวยพระกระยาหารสักมื้อ ให้ช่วยอบรมเว่ยหลานอิ๋ง และให้คำแนะนำเกี่ยวกับเื่ที่สตรีมีครรภ์ควรจะต้องทราบกับหนานกู่เยว่
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฉีเฉินก็เข้าวังทันทีเพื่อไปรับพระสนมกุ้ยเฟยออกมาด้วยตนเอง จวินหวงยืนสังเกตการณ์ทุกอย่างอยู่ที่ระเบียงทางเดิน
พระสนมกุ้ยเฟยออกจากห้องรับแขกมาชมบุปผาในสวน จวินหวงเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระสนมกุ้ยเฟยไม่ค่อยถูกชะตากับจวินหวงมากนัก ครั้งนี้เห็นแล้วก็ชักสีหน้าใส่เช่นเคย
"เ้ามาทำอะไร?" พระสนมกุ้ยเฟยถามด้วยน้ำเสียงเ็า
จวินหวงค้อมกายน้อยๆ แล้วยืนขึ้นมองไปในสระบัวด้านข้าง แล้วกล่าวเสียงเรียบๆ "พระสนมเคยคิดจะช่วยฝ่าพระบาท่ชิงราชบัลลังก์หรือไม่?"
"เฮอะ! ตอนนี้เฉินเอ๋อร์เป็รัชทายาทแล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้อยู่แค่เอื้อม ไยจึงต้องไปแย่งชิงอีกเล่า?" พระสนมยิ้มเย็นเยียบ สีหน้าเต็มไปด้วยการเยาะหยัน
จวินหวงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ในสระบัวมีเพียงแมลงปอสองสามตัวบินมาััที่ผิวน้ำ เกิดเป็ระลอกคลื่นบางๆ ที่ผิวน้ำ
