“แคว้นเชินมีโฉมงาม
เด่นสง่าทั้งใต้หล้า
ชม้ายมองหนึ่งบุรุษ
บุรุษครองป้องทั้งแคว้น
เมืองสงบ แคว้นสงบ
ใยยังมิประสบโฉมงามเอย”
บทกลอนนี้กล่าวกันว่าองค์หญิงอีทรงประพันธ์ขึ้นหลังจากที่เพิ่งตื่นจากบรรทม แล้วทอดพระเนตรเห็นพระมารดากำลังทรงฉลองพระองค์ นางจึงร่ายกลอนบทนี้ออกมา
ฝ่าาที่เดิมทีกำลังลุ่มหลงในตัวพระสนมฉี และห่างเหินกับฮองเฮาอย่างยิ่งนั้น เมื่อทรงได้รับฟังกลอนบทนี้ก็ทรงตระหนักได้ และกลับมาอยู่ข้างกายฮองเฮาเช่นวันวาน
เหล่าบัณฑิตในแคว้นเชินล้วนแต่เลื่อมใสในตัวองค์หญิงนัก ทว่าก็มีปัญญาชนหัวโบราณบางส่วนรู้สึกว่าความหมายที่แฝงอยู่ในกลอนบทนี้ฟังดูไม่ปกติเท่าใดนัก มันมีความนัยที่ไม่เป็มงคลแฝงอยู่ จึงมีเหล่าคนไร้สติปัญญาที่คลั่งไคล้องค์หญิงได้ออกตัวด่าทอเหล่าปัญญาชนกลุ่มนี้ทันที
ยามบัณฑิตด่าทอใคร ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเอามาเป็เหตุผลได้
องค์หญิงนั้นยังทรงเยาว์วัยนัก ยามประพันธ์บทกลอนก็ย่อมนำมาจากสิ่งที่พระองค์ได้ประสบและดำริขึ้น คงจะเห็นว่าพระมารดาของพระองค์เป็โฉมสะคราญ จึงได้แต่งกลอนชมเช่นนี้ จะมีตรงไหนที่ไม่เป็มงคลกันเล่า สุดท้ายเื่ที่โต้แย้งกันอยู่ก็เงียบหายไปเอง
ส่วนกลอนบทนั้นก็ยังถูกกล่าวขานไปเป็วงกว้าง
ท่านนายอำเภอเฉินและเหล่าสหายบัณฑิตเก่าก่อนล้วนแต่ส่งจดหมายหากันอย่างใกล้ชิดเป็ปกติ ข่าวคราวในเมืองหลวงไม่ว่าเื่ใดเขาก็ได้ยินมา
เื่อื่นไม่รู้ว่าเป็เช่นไร แต่พระอัจฉริยภาพด้านการประพันธ์ขององค์หญิงนั้นเป็เลิศอย่างแน่นอน
บทกวีหงส์ หงส์ หงส์ของนางก็ช่างมีสุนทรียภาพ ทั้งยังไร้เดียงสาแบบเด็กน้อย
บทกลอนโฉมงามของนางบทนี้ก็ไม่แพ้กัน
ล่ำลือกันว่าเพราะบทกวีนี้ ฮองเฮาจ้าวจึงได้กลายเป็สตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้าไปแล้ว เื่นี้เล่าลือกันไปทั้งสามแคว้น
ทว่าท่านนายอำเภอเฉินเคยเข้าเฝ้าฮองเฮาจ้าวมาก่อน พระองค์นั้นก็นับว่างดงามไม่น้อย ทว่าก็ยังไม่นับว่างามล่มเมือง กระทั่งพระสนมหรงที่เชี่ยวชาญด้านการวาดภาพก็ยังนับว่างดงามกว่าฮองเฮา อาจเป็เพราะฮองเฮาจ้าวนั้นเป็ชาวแคว้นจิง จึงทำให้นางแม้จะเป็โฉมงามแต่ก็ดูไม่สง่างามเท่าใด มองแล้วดูอ่อนแอไปสักหน่อย
พระสนมหรงที่ประทับอยู่ด้านหลังนางนั้นกลับให้ความรู้สึกสง่างามเปี่ยมบารมีมากกว่า บนกายมีกลิ่นอายที่เป็ลักษณะพิเศษของชาวแคว้นเชิน ทว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้กลับงดงามยิ่งกว่าพระสนมหรง
งดงามกว่าเป็เท่าทวี
แม้จะกล่าวว่าความงามนั้นไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ โดยเฉพาะสตรีที่ล้วนมีความงดงามต่างกัน ทว่าความจริงแล้วความงามนั้นคือสิ่งที่เปรียบเทียบกันได้ง่ายที่สุด เพียงแค่แรกเห็นก็ให้ความรู้สึกที่ต่างกัน
ยามนี้ใจเขาเต้นแรงยิ่งนัก ลมหายใจพลันกระชั้นตามเช่นกัน กล้ามเนื้อก็พลันสั่นไหวทั้งสรรพางค์กาย
ท่านนายอำเภอโดยปกติแล้วก็ชอบท่องชอบเขียนบทกวีเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าขบคิดไปแล้วในยามนี้บทกวีโฉมงามก็ยังนับว่าเลิศที่สุด ทั้งยังเหมาะสมจะใช้ในยามนี้เป็ที่สุด เพียงแต่เขารู้สึกว่าหากใช้กล่าวถึงแค่แคว้นเชินนั้นจะเป็การจำกัดเกินไป จึงควรแก้ไขสักหน่อย
“ทิศอุดรมีโฉมงาม
เด่นสง่าทั้งใต้หล้า
ชม้ายมองหนึ่งบุรุษ
บุรุษครองป้องทั้งแคว้น
เมืองสงบ แคว้นสงบ
ใยยังมิประสบโฉมงามเอย”
ใช่แล้ว แค่ได้เห็นนางก็สงบไปทั้งเมือง สงบไปทั้งแคว้น ยามนี้ในห้วงความคิดของเขาก็มีเพียงคำนี้
“แค่กๆๆ” นายท่านสามกระแอมขึ้นเสียงดัง ทำลายความเงียบงันที่ราวกับกำลังต้องมนตร์ลง
“มิรู้ว่าโฉมงามจากที่ใด ไฉนจึงมาอยู่กลางป่าเขาเช่นนี้” คุณชายเฉินที่ิญญาล่องลอยจากไปไกลแล้ว กระทั่งท่านนายอำเภอที่ยืนอยู่ก็ยังไม่อยู่ในสายตา เขาเอ่ยถามโฉมงามขึ้นทันใด
ท่านนายอำเภอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งเหนื่อยหน่ายใจกับเ้าหนุ่มเฉินจื้อหัวตรงหน้า แม้ความจริงแล้วเขาเองก็อยากจะถามคำถามนี้เช่นกันก็ตาม
แม่นางอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา รู้สึกว่านางหนักขึ้นอีกแล้ว รู้สึกเหมือนอีกไม่นานตนก็คงจะอุ้มนางไม่ไหวแล้ว จากนั้นจึงลูบหน้าลูบตัวเด็กหญิง เมื่อพบว่านางไม่เป็อะไรจึงได้เงยหน้าตอบคำถามเมื่อครู่
“ข้าก็คือแม่ไก่ตัวที่ขันตอนเช้าตัวนั้นอย่างไรเล่า ทั้งยังเป็คนที่ทำลายวัฒนธรรมอันดีงามที่พวกท่านกล่าวถึงด้วย”
ยามแม่นางหลัวกล่าวเช่นนั้นออกมา คุณชายเฉินก็พลันรู้สึกว่าตนนั้นปวดแปลบขึ้นมาจนแทบจะขาดใจ
ท่านนายอำเภอเฉินที่เพิ่งจะได้สติก็พลันโบกไม้โบกมือ “ที่บัณฑิตท่านนั้นกล่าวมิใช่มีเจตนาเช่นนั้น ขอแม่นางโปรดอภัย ทุกวันนี้กระทั่งฝ่าาก็ยังตรัสว่าแรงงานที่นี่เฟื่องฟูที่สุด สตรีทุกคนล้วนแต่หาเลี้ยงตนเองได้ ช่างทำให้คนรู้สึกนับถือนัก”
แม้ท่านนายอำเภอจะใกับรูปโฉมของแม่นางหลัว ทว่าเมื่อกล่าวจบเขาก็ไม่ได้มองนางอีก
ภรรยาเขาก็มีถมเถไปแล้ว
เพียงแต่เขานั้นใกับรูปลักษณ์ของนางที่ดูคล้ายกับพระสนมหรง ด้วยเขานั้นปกติก็ชื่นชอบภาพวาด จึงได้สนใจการวาดภาพเป็พิเศษ ดังนั้นยามพบกับสตรีตรงหน้าจึงได้สังเกตความคล้ายคลึงของทั้งสองคนได้
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่กล้ามองสตรีตรงหน้าตนอีกต่อไป ทว่าเขาก็ยังสนใจการทอผ้าตรงหน้ามากอยู่ดี จึงได้หันไปถามชายหนุ่มข้างกายตน “ผู้ใหญ่บ้านหวัง พวกนางเป็คนทอผ้าขนสัตว์ที่กำลังโด่งดังอยู่หรือ ข้าขอดูสักหน่อยได้หรือไม่”
นายท่านสามส่ายหน้าอย่างขออภัย “ทางโรงทอผ้ามีแต่แม่นางน้อยและเหล่าฮูหยิน อีกทั้งยังร้อนอบอ้าวนัก เหล่าสตรีด้านในจึงไม่ค่อยสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยสักเท่าใด ด้วยเหตุนี้จึงมิสะดวกให้บุรุษเข้าไป”
เหล่าบัณฑิตเมื่อได้ยินว่าเหล่าสตรีด้านในไม่สวมใส่เสื้อผ้าก็ไม่กล้าฝืนใจพวกนางให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรี ทันใดนั้นก็มีขุนนางคนหนึ่งยกมือชี้ไปยังกลุ่มสตรีแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไฉนแม่นางคนนั้นจึงมีหนวดเล่า ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนจะไม่ใช่แม่นางนี่นา!”
นายท่านสามจึงต้องรีบอธิบายขึ้นเป็พัลวัน “ชายคนนั้นเป็ท่านอาจารย์าุโของหมู่บ้าน ร่างกายอ่อนแอนัก ทั้งยังไม่แต่งงาน ดังนั้นจึงอนุญาตให้เข้าไปได้ หากว่าพวกท่านคนใดเป็เช่นเดียวกับเขาก็เชิญเข้าไปได้”
ราชครู ‘ไอ้สารเลวนี่’
ในเมื่อชายตรงหน้ากล่าวถึงเพียงนี้ พวกเขาจึงไม่ได้ดึงดันอีก ต่อมาพวกเขาจึงถูกส่งไปสถานที่ที่คนในหมู่บ้านใช้ประชุมกันในยามปกติ
เมื่อทุกคนจัดแจงนั่งลงแล้ว คุณชายเฉินจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตนออกจะหุนหันไปสักหน่อย จึงทำให้ท่านนายอำเภอไม่พอใจนัก บัดนี้จึงคิดหาโอกาสกอบกู้สถานการณ์คืน เมื่อคิดเช่นนั้นจึงได้เอ่ยขึ้น
“ท่านนายอำเภอมาถึงตั้งนานแล้ว ลู่สวินในฐานะศิษย์คนหนึ่งเหตุใดจึงยังไม่โผล่หน้ามา ช่างดูิ่ท่านอาจารย์นัก”
ผลลัพธ์คือเพียงแค่สิ้นคำของคุณชายเฉิน ลู่สวินก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้ายังคงหมดจดเช่นที่ผ่านมา ท่าทางก็ยังคงสง่าผ่าเผยเช่นเดิม ยามนี้รอบคอยังพันผ้าไว้อีกผืนหนึ่ง
ใบหน้างดงามลำคอระหงก้มเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นอย่างสำนึกผิด “ท่านอาจารย์ ศิษย์มือเท้ามิได้คล่องแคล่วเท่าเหล่าพี่ชาย เมื่อครูยามที่ออกไปช่วยเหลือคน ไม่ทันระวังจนลำคอได้รับาเ็ เืก็ไหลออกมามากเกิน ดังนั้นจึงได้ปลีกตัวไปทำแผลก่อน ขอท่านอาจารย์โปรดอภัยให้ศิษย์ด้วย”
อืม...ความจริงแล้วลำคอของอาสวินเพียงถลอกเล็กน้อยเท่านั้นเอง...แผลก็เล็กเสียยิ่งกว่าเล็ก ทว่าอาลู่กลับให้เขาไปหาผ้าหนาๆ มาพันไว้ชั้นหนึ่ง จึงจะยอมให้เขาออกมาได้
ทว่าเมื่อท่านนายอำเภอเห็นลู่สวินมีสภาพเช่นนี้ก็ซาบซึ้งใจยิ่งกว่าเดิม
เมื่อหันไปมองเ้าเด็กแซ่เดียวกับตนอย่างเฉินจื้อหัว ระหว่างยามคับขัน เมื่อเกิดเื่ขึ้นก็ใช้อาจารย์มาป้องกันอันตรายให้ตนเอง ทั้งยังใส่ร้ายป้ายสีสหาย เช่นนี้ชายชราจึงลอบตัดสินใจเงียบๆ ว่ารายชื่อที่จะส่งให้สำนักเชินนั้นจะต้องไม่มีชื่อของเ้าหนุ่มนี่อีกต่อไป
คุณชายเฉินทำหน้าเหยเก เปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็เื่คนร้ายในวันนี้แทน
ท่านนายอำเภอเฉินไม่เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาเป็ถึงขุนนางในราชสำนัก ยังจะมีใครหน้าไหนกล้าลงมือกับเขาเช่นนี้ มันช่าง...
ไม่นานนักโจรเ่าั้ก็ถูกต้อนเข้ามา ท่านนายอำเภอออกตัวว่าอยากจะเป็คนสอบสวนเอง เหล่าโจรก็ถูกอาลู่ข่มขวัญจนไม่กล้าหือมาั้แ่แรกแล้ว ยามเมื่อใต้เท้าเฉินลงมือสอบสวน พวกเขาจึงแย่งกันตอบขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็เอ่ยชื่อจู่ปู้อู๋ออกมา
เมื่อท่านนายอำเภอเฉินได้ยิน ไฟโทสะในใจก็โหมกระพือราวกับพายุ
เมื่อคิดย้อนไปถึงเื่เมื่อเช้าที่จู่ปู้อู๋โน้มน้าวไม่ให้เขามาที่นี่ จากนั้นคงคาดเดาว่าเขาต้องไม่พอใจเป็แน่ จึงปลีกตัวออกไป
ทุกขั้นตอนล้วนคำนวณไว้อย่างดีแล้ว
หากไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านไป๋กู่เหล่านี้ที่ลงเขามาช่วยไว้ เขาก็คงจะตกหลุมพรางเสียแล้ว
เพราะหมู่บ้านไป๋กู่คอยดูแลเส้นทางการค้าตลอดสายนี้ไว้ ทั้งยังสร้างโรงงานทอผ้าขนสัตว์ขึ้น ในปีนี้อำเภอิเหอจึงสามารถส่งภาษีเข้าท้องพระคลังได้ไม่น้อย เพียงพริบตาจากอำเภอที่ถูกหลงลืมก็ขยับมาอยู่ในรายชื่อสิบอำเภอที่โดดเด่นที่สุด พลอยทำให้เขานั้นมีหน้ามีตาไปด้วย จนราชสำนักส่งราชโองการชมเชยจากฝ่าามาให้
วันนี้หากว่าแผนการของจู่ปู้อู๋สำเร็จ ผลที่ตามมานั้นเขาไม่กล้าคาดเดา
ใบหน้าของท่านนายอำเภอพลันหม่นหมอง
แม้ว่าปกตินั้นเขาจะไม่ได้ใส่ใจเื่เล็กน้อยของเหล่าขุนนาง ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีโทสะ
จู่ปู้อู๋ไม่เห็นว่าเขาก็เป็ขุนนางคนหนึ่งหรืออย่างไร
ครั้งนี้นับว่าเขาโกรธยิ่งนัก เพียงแค่ตำแหน่งจู่ปู้เล็กๆ ยังกล้ามาเล่นตุกติกกับเขา ครั้งนี้หากไม่ได้ชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่ เขาก็คงจะจบเห่ไปแล้ว กลับไปคงจะถูกสหายหัวเราะเยาะจนท้องแข็งเป็แน่
ท่านนายอำเภอเฉินที่โกรธจนควันแทบจะออกหูอยู่นั้นพลันรีบเก็บงำท่าทีเกรี้ยวกราดของตนให้ดูสงบเยือกเย็นดังปกติ แล้วจึงถามนายท่านสามด้วยเสียงเคร่งขรึม “ครั้งนี้ขอบคุณความช่วยเหลือจากพวกท่านแล้ว พวกท่านช่างดียิ่งนัก ทั้งอุทิศตนให้กับอำเภอนี้ไปไม่น้อย หากพวกท่านมีเื่ยุ่งยากอันใดอยากให้ข้าช่วยเหลือ ก็เอ่ยมาเถิด”
นายท่านสามรีบส่ายหน้าทันที
แม้จะกล่าวว่าช่วยเหลือ ทว่านายท่านสามรู้ดีว่าหากเสนอเงื่อนไขกับพวกขุนนาง หลังจากนี้ย่อมจะมีปัญหาตามมาไม่หยุดหย่อนเป็แน่ ทางที่ดีคือจำไว้เพียงน้ำใจก็พอ อย่าได้มีปัญหาอันใดก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ท่านนายอำเภอถือว่าตรงไปตรงมากว่าคนอื่นพอควร มิเช่นนั้นคนมากความสามารถเช่นเขาคงไม่ถูกส่งมาอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ ส่วนท่านนายอำเภอเมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่บ้านตรงหน้าปฏิเสธตนเช่นนี้ก็ไม่ไว้วางใจ
ทันใดนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นเด็กหญิงตัวน้อยยกมือขึ้นแล้วกล่าวเสียงดัง “ท่านลุง ข้ามีเื่อยากจะขอร้อง ท่านน้าของข้าทุกวันต้องทอผ้ามากมาย ช่างยากลำบากเหลือเกิน ท่านสามารถส่งเหล่าแม่นางมาให้พวกเราเพิ่มได้หรือไม่ พวกเราจะหาของอร่อยให้กิน ส่วนพวกนางก็ช่วยพวกเราทำงาน”
ท่านนายอำเภอเมื่อได้ยินคำขอของเด็กหญิง อยู่ดีๆ จะให้ส่งเหล่าสตรีในตัวอำเภอมายังพื้นที่ห่างไกลบนูเาเช่นนี้ย่อมไม่มีทางเป็ไปได้แน่ แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว พื้นที่ชายแดนอันห่างไกลเช่นนี้ยังมีเหล่าฮูหยินของนักโทษที่ถูกราชสำนักเนรเทศมาไม่น้อย
ชีวิตที่ผ่านมาของคนเ่าั้ได้ยินมาว่าไม่ดีเท่าไรนัก หากว่าจะส่งตัวพวกเขามาทอผ้า ไม่แน่ว่าอาจจะเป็เื่ดีสำหรับพวกเขา อีกทั้งคนในหมู่บ้านแห่งนี้ก็จริงใจ เื่นี้ย่อมเป็เื่ดีเช่นกัน
ในเมื่อมีโอกาสตอบแทนผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนไว้เช่นนี้ ท่านนายอำเภอจึงรีบพยักหน้ากล่าวขึ้น “ตกลง”