เหล่านักศึกษาใหม่ใช้เวลาหนึ่งวัน กว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจฝึกภาคสนามเดินทัพ 40 กิโลเมตรพร้อมสัมภาระหนัก 15 กิโลกรัม!
เมื่อกลับมาถึงค่าย ทุกคนรู้สึกว่าที่นี่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก ต่อให้เป็นักศึกษาชาย หลังจากแบกสัมภาระเดินเขาเป็ระยะทาง 40 กิโลเมตร ตอนกลับมาก็ไม่มีใครอยู่ในสภาพสบายดีสักคน ตุ่มพองบริเวณเท้าที่เกิดจากการเสียดสีแตกและติดกับถุงเท้าทำให้รู้สึกเจ็บแสบ เท้าบวมจนถอดรองเท้าไม่ได้... สิ่งเหล่านี้คือปรากฏการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นหลังการฝึกภาคสนาม!
แน่นอนว่าคนที่น่าเวทนาที่สุดคือพวกจี้เจียงหยวนกับสยฺงไป่เหยียน คนอื่นกลับค่ายได้กินข้าวได้พักผ่อน ทว่าพวกเขายังต้องไปสนามเพื่อวิ่ง 20 รอบ!
ไม่วิ่งได้หรือไม่?
ไม่ได้อย่างแน่นอน
พฤติกรรมแยกตัวออกจากกองทัพโดยพลการนั้นมีความผิด ไม่มีเหตุผลใดเหมาะสมให้โต้แย้ง ถ้ากลับมาโดยไม่ถูกจับได้ก็ถือว่าแล้วกันไป ทว่าถูกจับได้คาหนังคาเขา และยังต้องให้ครูฝึกช่วยชีวิตด้วย จี้เจียงหยวนกับสยฺงไป่เหยียนย่อมหมดสิ้นคำแก้ตัว โจวเฉิงไม่รายงานเื่นี้แก่มหาวิทยาลัย แค่สั่งให้พวกเขาวิ่ง 20 รอบ... ถือว่าลงโทษสถานเบาแล้วมิใช่หรือ?
จี้เจียงหยวนกับสหายลากเท้าอันหนักอึ้งวิ่งรอบสนาม สามคนนี้ถือว่ายังพอมีจิตสำนึก ไม่ได้คิดปกปิดความผิดกับทางมหาวิทยาลัยและให้โจวเฉิงรับความผิดแทน ถ้าพูดว่าหัวหน้าครูฝึกสั่งพวกเขาวิ่งเป็การลงโทษ คนอื่นต้องสงสัยในสาเหตุอย่างแน่นอน และเมื่อไม่ยินดีบอกเหตุผล ก็หมายความว่าหัวหน้าครูฝึกใช้อำนาจลงโทษพวกเขาเพราะความเจ็บแค้นในใจจากการแข่งขันก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ?
หากจะปกปิดทางมหาวิทยาลัย พวกเขาก็ต้องบอกว่ายินยอมพร้อมใจวิ่งด้วยตนเอง
พอใครถาม พวกเขาล้วนตอบด้วยคำตอบเดียวกัน ‘เพื่อฝึกฝนจิตใจมุ่งมั่นให้แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า!’
อย่างไรเสียจี้เจียงหยวนกับสยฺงไป่เหยียนก็โด่งดังในหมู่นักศึกษาใหม่เพราะเื่ท้าทายโจวเฉิง เรียกได้ว่าเป็บุคคลทรงอิทธิพลในกลุ่มนักศึกษาใหม่รุ่น 84 เลยทีเดียว บุคคลทรงอิทธิพลนี่นา ย่อมมีความคิดที่โดดเด่นต่างจากคนทั่วไปบ้างเป็ธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นทุกคนเชื่อว่าการแบกสัมภาระฝึกภาคสนาม 40 กิโลเมตรสำหรับจี้เจียงหยวนและสยฺงไป่เหยียนยังไม่เพียงพอ
การฝึกทหารคือกระบวนการที่นักศึกษาใหม่ได้ทำความรู้จักกัน ฝั่งนักศึกษาชายมีคนโดดเด่น ด้านนักศึกษาหญิงย่อมมีเช่นกัน ไม่จำเป็ต้องอธิบายอะไรอีกสำหรับตัวแทนนักศึกษาใหม่หนิงเสวี่ย อีกหนึ่งคนคือผู้เข้าแข่งขันที่แตกฉานในด้านศิลปะ-วรรณกรรมจากคณะเศรษฐศาสตร์และการจัดการ หลิวหัวเจิง รวมถึงเซี่ยเสี่ยวหลานผู้เป็ที่จดจำของทุกคนเพราะหน้าตา—ทุกวันนี้ประธานเซี่ยต่อต้านจุดนี้อย่างเต็มที่ ซูจิ้งทำได้เพียงปลอบใจเธอ
“คุณสมบัติภายในเป็สิ่งที่ต้องค่อยๆ ทำความรู้จักนะ!”
การมีใบหน้างดงามมิใช่ความผิด เพียงแต่มันสร้างภาพจำแบบแจกันดอกไม้ [1] ได้ง่าย ตอนนี้ระหว่างทุกคนก็ยังไม่มีการทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้งด้วย ซูจิ้งคิดว่าหากเซี่ยเสี่ยวหลานมีความสามารถ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถอดภาพลักษณ์แจกันดอกไม้ออกได้ด้วยตนเอง
ว่าด้วย ‘ผู้สำเร็จการฝึกดีเด่น’ ประจำการฝึกทหารครั้งนี้ สิ่งที่นไปเปรียบเทียบกันคือผลงานระหว่างการฝึก
ทำความผิดน้อย ได้รับการชมเชยจากครูฝึกบ่อยครั้ง ผลประเมินการฝึกต่างๆ ล้วนอยู่ในระดับดีเยี่ยม ซูจิ้งเชื่อว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีโอกาส่ชิงนี้ตำแหน่ง
และซูจิ้งก็ไม่ริษยา พร์บางอย่างไม่มีก็คือไม่มี ตัวเธอเองรู้สึกว่าเล็งเป้ายิงให้แม่นยำยากกว่าแก้โจทย์ปัญหาเสียอีก นั่นเป็เพราะเธอไม่มีเซลล์ด้านกีฬา [2] นี่นา!
ซูจิ้งและโจวลี่ิ่ช่วยกันเสนอแนะความคิด พูดกรอกหูเซี่ยเสี่ยวหลานทุกวัน จนกระทั่งตอนนี้ประธานเซี่ยก็ได้ให้ความสนใจต่อ ‘ผู้สำเร็จการฝึกดีเด่น’ แล้ว แต่เธอรู้เพียงว่ามีการคัดเลือกนี้ ส่วนตัดสินโดยอ้างอิงจากอะไรกันนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้เหมือนกัน
โจวเฉิงเคยบอกไว้ เพราะความสัมพันธ์ของทั้งสอง เขาจะไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการคัดเลือกผู้สำเร็จการฝึกดีเด่นประจำการฝึกวิชาทหารครั้งนี้
เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีเมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานถูกเลือก หากความสัมพันธ์ของเธอกับโจวเฉิงถูกเปิดเผย จะถูกกังขาว่ามีการทุจริตอยู่เื้ัเอาได้
ขั้นตอนพื้นฐานก็คือครูฝึกของแต่ละกองจะเสนอรายชื่อผู้เข้าแข่งขันไป ให้ทางมหาวิทยาลัยเป็ผู้ตัดสิน
เซี่ยเสี่ยวหลานจึงทำได้แค่เตรียมตัวเองให้พร้อม เธอทุ่มเทสุดกำลังให้ทุกการประเมิน ทว่าเธอไม่รู้เลย การฝึกทหารเหลืออีกสองวัน อันที่จริงรายชื่อของผู้สำเร็จการฝึกดีเด่นถูกส่งไปยังมหาวิทยาลัยแล้ว
ด้านนักศึกษาหญิงสาขาสถาปัตยกรรมนี้ คะแนนรวมของเซี่ยเสี่ยวหลานกับหนิงเสวี่ยนำหน้าทิ้งห่างคนอื่นไปจนไกลลิบ
เกี่ยวกับเื่ใครในพวกเธอสองคนจะได้รับเลือกนั้น ก่อให้เกิดการสนทนาหารือของอาจารย์ในคณะอีกด้วย
นักศึกษาใหม่ประจำปีนี้ สาขาสถาปัตยกรรมรับนักศึกษาหญิงทั้งหมด 15 คน นึกไม่ถึงว่าทางหน่วยฝึกทหารจะให้ผู้ท้าชิงทีเดียวถึงสองคน
“ไม่คิดเลยว่านักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลาน... ผลการฝึกทหารจะไม่เลวเช่นนี้”
“เธอตั้งใจเรียนทีเดียวนะ ทัศนคติในการเรียนถูกต้องเหมาะสม ทำไมฉันถึงได้ยินว่าเธอจะย้ายสาขาเล่า? คำพูดจากใครกัน ไม่มีความรับผิดชอบแม้แต่นิดเดียว!”
“เอ๋ อาจารย์หลิน นึกว่าคุณไม่พอใจนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานเสียอีก”
อาจารย์หลินผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษมีสีหน้างุนงง “ทำไมฉันต้องไม่พอใจเธอด้วย?”
คนถามเกิดอาการกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “มีคนบอกว่าคุณไม่เคยเรียกนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานตอบคำถามในชั้นเรียนน่ะสิ ฉันยังนึกว่าเป็เพราะนักศึกษาคนนี้มีอะไรไม่เหมาะสมจริงๆ อยู่บ้าง และคุณก็เข้าใจผิดนิดหน่อยด้วยหรือเปล่า จากที่ฉันสังเกต เธอจริงจังกับการเรียนมาก เธอเป็อันดับสามของประเทศในการสอบเกาเข่าสินะ จ้วงหยวนกับทั่นฮวาของประเทศในปีนี้เลือกเข้าสาขาสถาปัตยกรรมหัวชิงทั้งคู่ เื่นี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย!”
อีกทั้งยังห่างจากคะแนนรวมของหนิงเสวี่ยเพียง 4 คะแนนเท่านั้น
แม้ความรู้เฉพาะทางด้านสถาปัตยกรรมจะสู้หนิงเสวี่ยไม่ได้ ทว่าพูดถึงความรู้พื้นฐาน ไม่มีทางด้อยกว่าหนิงเสวี่ยเลย คะแนนเกาเข่าตัดสินระดับความสามารถของคนคนหนึ่งอย่างชัดเจนไม่ได้ แต่ผู้เข้าสอบสองคนที่คะแนนห่างกัน 40 คะแนน มีความแตกต่างกันมากอย่างแน่นอน เช่นนั้นห่างกัน 4 คะแนนล่ะ? นั่นคือโจทย์อัตนัยแค่สองข้อเท่านั้น ต่างกันมากเสียที่ไหน!
อาจารย์หลินได้ฟังความเข้าใจผิดของเพื่อนร่วมงานก็รู้สึกสับสนยิ่งนัก
“ฉันให้นักศึกษาตอบคำถามเพื่อทดสอบความรู้พื้นฐาน พิจารณาระดับภาษาอังกฤษของพวกเขา... นักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานน่ะ ข้อสอบเกาเข่าวิชาภาษาอังกฤษได้คะแนนเต็ม แน่นอนว่าฉันย่อมรู้ระดับความสามารถของเธอแล้วน่ะสิ!”
ไม่ใช่แค่คะแนนเกาเข่า ยังมีเรียงความที่ส่งมาอีกด้วย ระดับภาษาอังกฤษของนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานเหนือกว่านักศึกษาใหม่ปีหนึ่งค่อนข้างมาก
อาจารย์หลินหันศีรษะไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองที่อาจารย์วิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูง “เหล่าหวัง คุณคงไม่ได้ทำแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม?”
สีหน้าของอาจารย์หวังค่อนข้างขึงขัง
“ข้อสอบเกาเข่าวิชาคณิตศาสตร์ของเธอก็ได้คะแนนเต็มเหมือนกัน ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ปีนี้ยากขนาดไหนพวกคุณก็รู้ดี ทั่วประเทศมีไม่กี่คนที่ได้คะแนนเต็ม”
ทดสอบความรู้พื้นฐานน่ะรึ ก็รู้หมดแล้วไม่ใช่หรือ?
สำหรับภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ขั้นสูงสองวิชานี้ ตอนมัธยมปลายเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพดีหรือไม่ แน่นอนว่าย่อมมีความต่อเนื่องมาถึงระดับมหาวิทยาลัย
อาจารย์หวังต้องสอนวิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูง ต้องพิจารณาพื้นฐานของทุกคนก่อนเป็ธรรมดา ถึงจะสามารถกำหนดแผนการสอนได้อย่างละเอียดกว่าเดิม อาจารย์อย่างพวกเขารับผิดชอบต่อการสอนยิ่งนัก พวกเขาไม่ใช่อาจารย์ที่สอนตามตำรา โดยไม่สนว่านักศึกษาจะฟังเข้าใจกี่ส่วน พอสอนเสร็จก็จากไป... ภายในเวลาอันสั้นที่สุด เขาต้องสำรวจความแตกต่างของระดับความรู้จนแน่ชัด ในตอนวางแผนการสอนย่อมต้องเดินผิดทางให้น้อยลง เวลาหนึ่งคาบเรียนไม่ได้ยาวนานเลย อาจารย์หวังทำได้แค่สุ่มเลือกไม่กี่หนเท่านั้น
เขาคิดว่าพื้นฐานของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีปัญหา คะแนนรวมของหนิงเสวี่ยสูงกว่าเธอ 4 คะแนน ทว่าไม่ใช่สูงกว่าในวิชาเดียว
อย่างน้อยคะแนนคณิตศาสตร์ของหนิงเสวี่ยก็ขาดไปเยอะพอสมควร
จำนวนการสุ่มถามในทุกครั้งนั้นมีจำกัด อาจารย์หวังจึงจัดเซี่ยเสี่ยวหลานไว้ข้างหลังชั่วคราว เมื่อเห็นว่าการบ้านของเธอถูกต้องทั้งหมด จะสุ่มเลือกเธอมาตอบอะไรเล่า จำเป็ต้องอธิบายคำตอบที่ถูกอีกรอบหรือ? อาจารย์หวัง้าแจกแจงตัวอย่างที่มีโอกาสทำผิดได้ เอาเถอะ เขาอาจใส่ใจนักศึกษาหนิงเสวี่ยค่อนข้างมากจริงๆ
แต่ไม่ใช่ว่าเขามีความคิดเห็นไม่พอใจต่อนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลาน!
อาจารย์หวังและอาจารย์หลินมองหน้ากัน ทุกคนนั้นสมกับเป็เพื่อนร่วมอาชีพกันมาหลายปีดีดัก แิแทบไม่แตกต่างกัน
“นักศึกษาใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียน ทำไมมีข่าวลือเลอะเทอะมากมายขนาดนั้น เื่นี้ต้องสืบหาที่มาที่ไป จะปล่อยให้การคาดเดาไร้มูลแพร่กระจายต่อไปไม่ได้!”
หากเป็เพราะท่าทีของพวกเขาทั้งสอง ที่เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับข่าวลือยุ่งเหยิงพวกนี้ อาจารย์ทั้งสองคงรู้สึกผิดมากเช่นกัน
เชิงอรรถ
[1]花瓶 แจกันดอกไม้ หมายถึง ผู้หญิงที่สวยแต่ไร้ความสามารถอื่น
[2]没有运动细胞 ไม่มีเซลล์ด้านกีฬา หมายถึง ไม่ถนัดการทำกิจกรรมที่ใช้กำลังกาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้