ดังนั้นใครเล่าจะยอมทิ้งชีวิตตนเพื่อผลึกเจตจำนงแรกเริ่มที่ไม่มีประโยชน์ และกลายเป็เป้าหมายของผู้มีฝีมือ? มิสู้ส่งมอบผลึกเจตจำนงแรกเริ่มให้สำนักซวนหยวนและแลกเปลี่ยนเป็รางวัลใหญ่ยังจะดีเสียกว่า
“ผลึกเจตจำนงอยู่ที่นี่ งั้นข้าขอรับไปก่อนแล้วกัน!” ขณะที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มองผลึกเจตจำนงแรกเริ่มด้วยสายตาปรารถนา จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งระงับความ้าไม่ได้ จึงพุ่งตัวไปที่แท่นหินก่อนใคร
“วูบ!” แต่เมื่อผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเข้าใกล้แท่นหินก็มีพลังมหาศาลเข้ากดทับร่างผู้ฝึกยุทธ์คนนั้น ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นร้องโอดครวญ ร่างถูกกดทับจนอัดกระแทกพื้น อาเจียนออกมาเป็ลิ่มเื ตามมาด้วยเสียงดังกร๊อบ พลังนั้นยังเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ยินผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นกรีดร้องด้วยความเ็ปอีกครั้ง กระดูกทั่วร่างแตกหักไปหลายจุด อวัยวะภายในถูกทำลาย เืออกทวารทั้งเจ็ด... จนดับสูญไปในที่สุด!
“กึก ๆ!” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างต้องหายใจไม่ทั่วท้อง พร้อมใจเต้นระรัว มันน่ากลัวเกินไป ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ต้องตายเพราะความโลภและความใจร้อนที่จะ้าผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม เหตุนี้ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนที่เตรียมจะชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มต้องตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
“ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มนี่น่ากลัวมาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้มันมา” หลันเซียงเอ่ยถามเย่เฟิงและชิงเซียงด้วยท่าทีใ
“ก่อนมาอาณาจักรจ้าว ท่านอาจารย์เคยบอกข้าว่าหาก้าผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม มันมิอาจชิงมาได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกับผลึกเจตจำนงแรกเริ่มนี่ที่ถือกำเนิดจากฟ้าดิน ในนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังงานมหาศาล อยากควบคุมมันก็ต้องเข้าใจพลังของมันก่อน ซึ่งต้องอาศัยสติปัญญาและความรู้ ยิ่งมีสองสิ่งนี้ก็ยิ่งมีโอกาสได้สมบัติชิ้นนี้มากขึ้น” ชิงเซียงกล่าว
หลันเซียงเผยสีหน้ากระจ่างในทันทีและรีบพยักหน้าตอบกลับ ส่วนเย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจขึ้นมาบ้าง ของสิ่งนี้อัดแน่นไปด้วยพลังงานไร้ที่สิ้นสุด หากผู้ใดไม่มีความรู้เกี่ยวกับของสิ่งนี้ แต่อยากได้มันมาด้วยการใช้กำลัง เช่นนั้นมันจะปฏิเสธคนผู้นั้น
สิ่งที่ถือกำเนิดจากฟ้าดิน ไม่เพียงแต่มีสติปัญญา แต่ยังอาศัยพลังวิถีฟ้าดินที่มนุษย์มิอาจต้านทาน เช่นเดียวกับพลังกดดันเมื่อครู่นี้ ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มก็คือวัตถุที่อาศัยพลังแห่งฟ้าดิน
“เห็นทีข้าต้องเรียนรู้พลังเจตจำนงสักหน่อยแล้ว” เย่เฟิงกล่าวพร้อมตาเผยประกายคมกริบ จากนั้นเขาเดินออกมาหนึ่งก้าวเพื่อเผชิญหน้ากับผลึกเจตจำนงแรกเริ่มที่อยู่บนแท่นหิน ก่อนจะใช้จิตเข้าเรียนรู้พลังเจตจำนงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ขณะเดียวกันผู้คนก็สังเกตเห็นการกระทำของเย่เฟิง จึงเริ่มทำตามบ้าง
“คนเสแสร้ง อยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 จะไปเรียนรู้อะไรได้ ไม่เจียมตัวเสียจริง” เกิ่งหัวกล่าวเสียงเย็นขณะมองเย่เฟิง จากนั้นเขาหาบริเวณที่เหมาะสมแล้วเริ่มเรียนรู้ทันที ซึ่งอำนาจของเขาอยู่ขั้นผันแปร่ต้น การเรียนรู้พลังเจตจำนงจึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 อย่างเย่เฟิงจะเทียบเคียงได้
“ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มต้องเป็ของข้า!” มู่หรงเฟิงกวาดตามองทุกคนด้วยท่าทีโอหัง จากนั้นเขาเริ่มเรียนรู้เช่นกัน เขามีศักยภาพที่ยอดเยี่ยม พลังแห่งอำนาจก็บรรลุขั้นผันแปร่กลางสูงสุดแล้ว ครั้งนี้เป้าหมายของเขาก็คือผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม และเขายังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เพราะตอนนี้แทบไม่มีใครที่มีพลังแห่งอำนาจทัดเทียมเขาได้เลย
เย่เฟิงปลดปล่อยพลังจิต อำนาจฟ้าดินรายล้อมร่างกาย เขาพยายามใช้อำนาจฟ้าดินเชื่อมโยงกับพลังเจตจำนงที่แผ่ออกมาจากผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม จากนั้นร่างเย่เฟิงเริ่มเปล่งแสงแห่งอำนาจ พร้อมโคจรด้วยพลังแห่งอำนาจอันบริสุทธิ์ เขาปล่อยกายโดยไม่ขับไล่พลังต่าง ๆ ที่เข้ามา โดยเฉพาะพลังเจตจำนงที่ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มปลดปล่อย เขาก็ยิ่งยอมรับอย่างเต็มที่
ภายใต้แรงกดดันจากพลังเจตจำนง เย่เฟิงเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกว่าร่างตัวเองได้รับแรงกดดันอันมหาศาล และแรงกดดันเช่นนั้นไม่ใช่พลังบริสุทธิ์จะเข้าต้านทานได้ หากใช้พลังกายเพียงอย่างเดียวเข้าต้านทาน ไม่เพียงแต่จะไร้ผล แต่ยังทำให้แรงกดดันนั่นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
เย่เฟิงกัดฟันกรอด จากนั้นค่อย ๆ จมสู่สภาวะเรียนรู้ที่เริ่มลืมเลือนตัวตน แต่ขณะนั้นหลาย ๆ คนก็เริ่มทนไม่ไหว เหงื่อล้วนผุดเต็มหน้าผาก
“อัก...” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ เย่เฟิงกระอักเืเพราะทนรับแรงกดดันมหาศาลนั่นไม่ได้ จึงถอยหลังไปพร้อมหน้าขาวซีด จากนั้นเริ่มมีผู้คนถอดใจยอมแพ้เพราะทนรับแรงกดดันไม่ไหวเช่นกัน คนเหล่านี้ล้วนได้รับาเ็ หากพวกเขาถอนตัวไม่ทันเวลา อาจเป็อันตรายถึงชีวิต เห็นชัดว่าพลังเจตจำนงที่ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มปล่อยออกมาน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด
ผ่านไปสักพัก เมิ่งยวี่ฉิง หลันเซียง และชิงเซียงต่างก็ถอนตัวจากการเรียนรู้ เพราะมิอาจต้านแรงกดดันที่รุนแรงนั่นได้ ทั้งยังไม่ได้รับสิ่งใดที่มีประโยชน์ต่อตนเองเลย ซึ่งหลังจากเมิ่งยวี่ฉิงถอนตัวออกมา นางก็มองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าใครยังอยู่รอดบ้าง นางพบว่ามีไม่ถึง 20 คนที่ยังอยู่ในสภาวะเรียนรู้ ศิษย์พี่มู่หรงและเกิ่งหัวก็ยังอยู่เช่นกัน ส่วนคนที่เหลือที่ยังอดทนได้ก็ล้วนแต่เป็อัจฉริยะมากฝีมือ
“ไม่นึกว่าเย่เฟิงจะยังอยู่!” เมื่อเมิ่งยวี่ฉิงเห็นเย่เฟิงยังอยู่ในสภาวะเรียนรู้ก็ต้องอุทานด้วยความใ นางรู้ว่าผู้ที่สามารถยืนหยัดอยู่ในสภาวะเรียนรู้ต่อได้ล้วนแต่เป็อัจฉริยะที่มีพลังแห่งอำนาจบรรลุขั้นผันแปรขึ้นไป อีกอย่างตบะของพวกเขายังอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ขึ้นไป แต่มีเพียงเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 หรือว่าเย่เฟิงจะบรรลุอำนาจขั้นผันแปรแล้วเหมือนกัน?
ก่อนหน้านี้เมิ่งยวี่ฉิงได้เห็นความแกร่งกล้าของเย่เฟิงมาแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าความรู้ที่เย่เฟิงมีต่อพลังแห่งอำนาจจะถึงจุดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ อยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 แต่ก็มีอำนาจขั้นผันแปร มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
แต่เมิ่งยวี่ฉิงหารู้ไม่ว่าพลังแห่งอำนาจของเย่เฟิงไม่ได้อยู่ขั้นผันแปร
“ศิษย์พี่ เห็นทีพวกเราคงทำภารกิจที่ท่านอาจารย์ให้มาล้มเหลวแล้ว” หลันเซียงกล่าวกับชิงเซียงด้วยท่าทีผิดหวัง ก่อนหน้าที่พวกนางมาอาณาจักรจ้าว ท่านอาจารย์ได้มอบหมายภารกิจให้พวกนางมาชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่มกลับไป บัดนี้พวกนางถอนตัวเพราะรับแรงกดดันมหาศาลนั้นไม่ได้ นี่หมายความว่าพวกนางไม่มีสิทธิ์ชิงผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม
“ต้องโทษเราสองคนที่ไม่แข็งแกร่งพอ กลับเทียนเซียงหลินเมื่อไร ข้าจะไปขอรับโทษทัณฑ์เอง” ชิงเซียงยังคงเผยสีหน้าเ็า นางเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ และในบรรดาผู้หญิง ชิงเซียงถือเป็ผู้รับผิดชอบที่ดีที่สุด
“เห็นทีผลึกเจตจำนงแรกเริ่มนั่นอาจจะตกเป็ของมู่หรงเฟิงหรือไม่ก็คนอื่น” หลันเซียงกล่าวต่อ ในความคิดของนาง ในบรรดาผู้คนในที่แห่งนี้มีเพียงมู่หรงเฟิงและอีกสองสามคนที่มีความรู้ต่ออำนาจลึกซึ้งที่สุด พวกเขาก็ย่อมมีหวังที่จะเรียนรู้พลังเจตจำนงที่ถูกปลดปล่อยออกมาได้มากที่สุด
ส่วนเย่เฟิง แม้จะมีพลังต่อสู้แกร่งกล้า แต่ถึงอย่างไรตบะของเย่เฟิงก็ต่ำกว่าคนเ่าั้มาก อายุอานามก็น้อยกว่าคนเ่าั้สองถึงสามปี ความรู้ต่ออำนาจก็ย่อมสู้อีกฝ่ายไม่ได้
“มู่หรงเฟิงอาจจะได้ผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม เพราะอำนาจของเขาบรรลุขั้นผันแปร่กลางสูงสุดแล้ว ในที่แห่งนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทัดเทียมเขา สมแล้วที่เป็อัจฉริยะแห่งหมู่บ้านหานเสวี่ย” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว ถึงอย่างไรมู่หรงเฟิงก็เป็อัจฉริยะชั้นยอดแห่งหมู่บ้านหานเสวี่ย มีพร์ล้ำเลิศ ไม่ใช่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้
ผู้คนได้ยินคำพูดของคนนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาคือคนที่รับแรงกดดันนั้นไม่ได้จึงถอนตัวออกมา พลังเจตจำนงที่ผลึกเจตจำนงแรกเริ่มปล่อยออกมาก็น่ากลัวเกินไป เกรงว่ามีเพียงอัจฉริยะระดับมู่หรงเฟิงจึงทำสำเร็จได้
จากนั้นเกิ่งหัวก็ถอนตัวออกมาเช่นกัน เพราะรับแรงกดดันอันมหาศาลนั้นไม่ไหว บนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เขากวาดตามองคนที่ยังเหลืออยู่ ก่อนจะหยุดมองที่เย่เฟิงเป็คนสุดท้ายด้วยสายตาเย็นเยือก เขาเป็คนหยิ่งยโส แล้วจะปล่อยให้สวะขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 นำหน้าเขาได้อย่างไร?
“ดูท่าจะเป็เพราะสวะนี่ที่ได้อยู่ตำแหน่งที่ดี ไม่งั้นจะยืนหยัดได้นานกว่าข้าได้เยี่ยงไร?” เกิ่งหัวคิดในใจด้วยสีหน้าอึมครึม ความสามารถไม่เท่าคนอื่นก็ย่อมหาเหตุผลให้ตัวเองได้เสมอ จากนั้นเกิ่งหัวเดินไปทางเย่เฟิง เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นเขาแค่นเสียงหัวเราะ “ตำแหน่งนี้ไม่เหมาะกับเ้า ยกให้ข้าซะ!”
เกิ่งหัวแสดงท่าทียโสโอหัง ในสายตาเขา เย่เฟิงก็เป็เพียงมดแมลงตัวหนึ่งเท่านั้น เขาอยากได้สิ่งใดก็ต้องได้สิ่งนั้น
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานั้นมีศักยภาพพอที่จะเชื่อมโยงกับพลังเจตจำนงที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม และอำนาจฟ้าดินของเขาก็ใกล้จะบรรลุขั้นกายาแล้ว แต่เกิ่งหัวกลับมารบกวน่เวลาสำคัญของเขา ทำให้เขาพลาดโอกาสนั้นไป
“ข้ากำลังพูดกับเ้า ไม่ได้ยินหรือไง!” เกิ่งหัวเห็นเย่เฟิงนิ่งเฉยก็พูดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงดังกว่าเดิม โดยไม่สนใจเย่เฟิงที่อยู่ในสภาวะเรียนรู้
“ไสหัวไป!” เย่เฟิงลืมตาขึ้นฉับพลันพร้อมตวาดเสียงกร้าวดังสนั่นฟ้าดิน จากนั้นเหวี่ยงหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลออกไปอย่างไม่ลังเล ทำให้เกิ่งหัวใ ไม่คิดว่าเย่เฟิงจะโจมตีเขากะทันหันเช่นนี้
จากนั้นเกิ่งหัวยกมือขึ้นต้าน ก่อนหมัดของเย่เฟิงจะอัดกระแทกแขนของเขา นาทีต่อมาได้ยินเสียงดังกร๊อบ กระดูกแขนแตกหักไปหลายจุด ร่างยังถูกซัดกระเด็นออกไป พร้อมกระอักเืไม่หยุด
“นี่...” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างต้องใ มองทุกอย่างตรงหน้าด้วยสายตาเหลือเชื่อ
เกิ่งหัวคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 เป็หนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่แห่งนี้ บัดนี้ถูกหมัดของเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ซัดกระเด็น กระดูกแขนต้องแตกหักไปหลายจุด สิ่งที่เกิดขึ้นช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก
ตอนนี้สายตาที่ทุกคนมองเย่เฟิงได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เป็ไปได้ยังไง เ้าอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 มันจะเป็ไปได้ยังไง บอกข้าที เมื่อครู่เ้าเพิ่งเรียนรู้อะไรมา?” เกิ่งหัวเอ่ยถามเย่เฟิงด้วยหน้าขาวซีด พร้อมดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ
