ความจริงเซี่ยโม่เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว
วันนี้ตอนเกิดเื่ที่เชิงเขา เนื่องจากมีผู้คนในหมู่บ้าน หวางหมาจื่อ และพรรคพวกอยู่ด้วย เธอเลยกลัวว่าหากจู่ๆ หายตัวไป ทุกคนจะใ ที่จริงแล้วเธออยากเข้าไปหลบในโกดังสินค้าใจจะขาด เพราะคิดว่าในนั้นปลอดภัยที่สุด
คุณยายเดินมา พบว่าวันนี้หลานสาวทำอาหารเยอะเป็พิเศษ จึงอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ “ทำไมวันนี้หลานทำมื้อเที่ยงเยอะกว่าปกติ”
เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า คุณยายยังไม่ทราบเื่ที่จะมีแขกมากินข้าวที่บ้านหนึ่งคน เธออธิบายให้คุณยายฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี
“คุณยาย วันนี้พี่ซ่งที่ช่วยหนูตามหาน้องชายในวันนั้นจะมากินข้าวที่บ้านเรา คุณตาเป็คนชวนเขาค่ะ”
เซี่ยเฉินเฟิงที่กำลังนั่งเล่นได้ยินดังนั้น ก็วิ่งพุ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว
“พี่ครับ เมื่อกี้พี่บอกว่าตอนเที่ยงใครจะมากินข้าวด้วยนะครับ”
“พี่ชายที่ช่วยพวกเราในวันนั้นยังไงล่ะ แล้วก็ที่ให้ซาลาเปาพวกเรากินด้วย”
แววตาของเด็กชายเป็ประกาย “พี่ซ่งใจดีที่สุดเลย หากไม่มีเขา ผมคงหาพี่สาวไม่เจอ”
“เฉินเฟิง งั้นอีกเดี๋ยวเราต้องคอยดูแลพี่เขาด้วยนะ”
เด็กชายพยักหน้า “แน่นอนครับ ผมจะยกขากระต่ายทั้งสองขาให้เขาหมดเลย”
“ดีมาก!” ทั้งเธอและคุณยายต่างยิ้มเอ็นดูในความไร้เดียงสาของเด็กชาย
เวลานี้เองที่มีเสียงะโดังขึ้นจากหน้าบ้าน “มีคนอยู่ไหมครับ”
เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยได้ยินเสียงอันคุ้นเคย รีบวิ่งออกไปประหนึ่งจรวด พร้อมกับใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
“พี่ซ่ง…”
คุณยายกับเซี่ยโม่เดินตามออกมา พบว่าคือซ่งมู่ไป๋ที่กำลังขี่จักรยานมาจอดหน้าบ้าน
ชายหนุ่มใส่กุญแจจักรยาน เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยวิ่งเข้าไปจับแขนชายหนุ่มพร้อมกับแกว่งไปมา “พี่ซ่ง ผมคิดถึงพี่ที่สุดเลย พี่สาวทำอาหารอร่อยๆ ให้พี่เต็มไปหมด”
เซี่ยโม่ยิ้มมีความสุข ในที่สุดน้องชายของเธอก็เดินออกมาจากเงาดำมืดในใจได้สักที
ซ่งมู่ไป๋มองเด็กชายตัวน้อยพลางเอ่ยว่า “ไม่เจอกันไม่กี่วัน มีเนื้อมีหนังขึ้นนะ”
เด็กชายยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม
“เฉินเฟิง พาพี่เขาเข้ามาคุยกันในบ้านดีกว่า”
“ครับ” เด็กชายจูงมือซ่งมู่ไป๋พาเดินเข้าไปในบ้าน
เมื่อทั้งสองคนเข้ามาในบ้านก็ได้กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยโชยมาจากในห้องครัว
มีทั้งกลิ่นหอมของเนื้อและข้าวสาร
ซ่งมู่ไป๋ลอบกลืนน้ำลาย แม้เขาจะมีงานทำแต่ทุกวันได้แต่กินข้าวในโรงอาหารของหน่วยงาน
บอกตามตรง อาหารในโรงอาหารรสชาติไม่เป็สับปะรดเลย เขาที่ต้องทำงานเป็กะจึงมักซื้อพวกอาหารแห้งเก็บไว้กิน
อาหารที่มีกลิ่นหอมแบบนี้ เขาไม่ได้เจอมานานแล้ว ไม่แปลกถ้าจะน้ำลายไหล
เซี่ยโม่มีหรือจะไม่เห็นอาการนั้น หากเธอแกล้งทำเป็ไม่ทราบ เอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “พี่ซ่ง เดี๋ยวให้เฉินเฟิงพาพี่ไปล้างมือก่อนนะคะ อีกเดี๋ยวคุณตาก็คงจะกลับมา รอคุณตากลับมาค่อยกินข้าวพร้อมกัน”
จบประโยค เสียงของคุณตาก็ดังมาจากหน้าบ้าน “ไม่ต้องรอ ตากลับมาแล้ว ตาให้คนอื่นช่วยเอาวัวไปเดินเล่น แล้วตาก็พาวัวกลับเข้าคอกเรียบร้อยแล้ว”
อู๋กวงเต๋อเดินเข้ามาในบ้าน
เฉินเฟิงตัวน้อยพุ่งเข้าไปหาคุณตาด้วยความดีใจ “คุณตากลับมาแล้ว”
ทุกคนไปล้างมือ ก่อนจะเริ่มกินข้าว อู๋กวงเต๋อมองอาหารบนโต๊ะ จากนั้นก็หันไปมองหลานสาวด้วยแววตาพึงพอใจ
คุณตาหันไปเอ่ยกับภรรยาคู่ชีวิตว่า “ยายแก่ ฉันจำได้ว่าในบ้านมีเหล้าอยู่ อาหารดีๆ ก็ต้องกินคู่กับเหล้า จะได้เป็การเลี้ยงขอบคุณคุณซ่งที่ช่วยชีวิตหลานสาวหลานชายของพวกเราเอาไว้ด้วย”
คุณยายเอามือตบขา “ดูความจำของฉันสิ เดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้”
คุณยายหยิบขวดเหล้าขาวออกมาจากในตู้หนึ่งขวด
เซี่ยโม่มองเหล้าในมือคุณยาย พบว่าคือเหล้าขาวธรรมดาขวดหนึ่ง
เป็เหล้าที่คุณยายเก็บเอาไว้อย่างดี พวกท่านทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานาน ไม่รู้ว่าเหล้าขวดนี้มีอายุเท่าไร
ในความทรงจำของเธอ คุณตาเป็คนชอบดื่มเหล้า แต่ก็ไม่เห็นเคยดื่ม คงเป็เพราะทำใจไม่ได้กระมัง
คุณตารับขวดเหล้ามา ใช้ตะเกียบเปิดฝาอย่างชำนาญ ขณะกำลังจะรินใส่แก้วให้ซ่งมู่ไป๋ ชายหนุ่มกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “คุณตา ผมดื่มไม่ค่อยเป็ รินให้ผมน้อยๆ ก็พอครับ”
“ดื่มไม่เป็จริงๆ เหรอ”
ชายหนุ่มพยักหน้ายืนยัน “จริงครับ”
“คุณซ่ง งั้นเดี๋ยวฉันรินให้นิดเดียว ผู้ชายต้องดื่มเหล้าให้เป็ ไม่งั้นชีวิตจะขาดความสุขที่ผู้ชายอย่างเราๆ ควรจะมี เธอว่าฉันพูดถูกไหม”
“คุณตาสั่งสอนได้ถูกต้องครับ แต่ต่อไปอย่าเรียกผมว่าคุณเลย เรียกผมว่ามู่ไป๋หรือไม่ก็เสี่ยวซ่งก็ได้”
“เธออ่อนน้อมถ่อมตัวดีจริง งั้นต่อไปฉันเรียกเธอว่ามู่ไป๋ก็แล้วกัน” คุณตาเอ่ยพลางยิ้มถูกใจ
ซ่งมู่ไป๋เหลือบมองเซี่ยโม่แวบหนึ่ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “งั้นผมเรียกพวกคุณตามโม่โม่ว่าคุณตาคุณยายนะครับ”
“ได้สิ ฉันมีหลานชายเพิ่มอีกคนแล้ว” คุณตายิ้มกว้างอย่างปลาบปลื้ม โดยไม่รู้เลยว่าสายตาของชายหนุ่มที่จ้องมองหลานสาวของตนเองนั้นเป็ประกายมากเพียงใด
เซี่ยเฉินเฟิงอาศัย่เวลานี้คีบขากระต่ายใส่ถ้วยของพี่ซ่งผู้ใจดี
รอจนพูดคุยกับคุณตาเสร็จ ซ่งมู่ไป๋ขยับตะเกียบเริ่มลงมือรับประทานอาหาร พบว่าในถ้วยมีขากระต่ายอยู่สองขา
เขาเงยหน้ามองสองพี่น้อง แล้วเห็นว่าเฉินเฟิงตัวน้อยกำลังส่งยิ้มกว้างมาให้
เขาเข้าใจในทันที เด็กชายกำลังขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้
ความอบอุ่นพลันเข้ามาจู่โจมในหัวใจ เขาคีบขากระต่ายหนึ่งชิ้นไปวางไว้ในถ้วยของเด็กชาย
“พี่กินขาเดียวก็พอแล้ว อีกขาให้เฉินเฟิงกินดีไหม”
เฉินเฟิงตัวน้อยขอบตาแดงเรื่อขณะตอบ “ครับ!”
เพื่อทำให้บรรยากาศกลับมาดี เซี่ยโม่คีบขากระต่ายอีกสองขาที่เหลือใส่ในถ้วยของคุณตาคุณยาย “ทุกคนรีบกินเถอะ หนูตั้งใจทำเป็พิเศษเลยนะ”
ซ่งมู่ไป๋เห็นทุกคนก้มหน้าก้มตากินเนื้อกระต่าย ก็รีบใช้่เวลานี้คีบขากระต่ายในถ้วยของตัวเองใส่ในถ้วยของเด็กสาว พร้อมทั้งคีบเนื้อกระต่ายจากในถ้วยของอีกฝ่ายมาใส่ในถ้วยตัวเอง
“โม่โม่ คือฉันไม่ชอบกินขากระต่าย ชอบแทะเนื้อกระต่ายมากกว่า”
เขาเอ่ยพร้อมกับเอาเนื้อกระต่ายเข้าปาก
เนื้อกระต่ายตุ๋นไม่เพียงมีกลิ่นหอม รสชาติยังอร่อยอีกด้วย เขายิ้มอย่างพึงใจ ฝีมือการทำอาหารของเด็กสาวไม่เลวเลย
ด้านเซี่ยโม่กลับมีสีหน้างุนงง ยุคนี้มีคนไม่ชอบกินขากระต่ายด้วย? พี่ซ่งช่างแตกต่างจากคนอื่นเหลือเกิน
คุณไม่ชอบกินขาแต่ชอบเนื้อกระต่ายก็เื่ของคุณสิ ทำไมต้องคีบเอาเนื้อกระต่ายในถ้วยเธอไปด้วย! บอกตามตรง เธอเองก็ไม่ชอบกินขากระต่ายเช่นกัน เธอชอบแทะเนื้อกระต่าย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอุตส่าห์ให้มาแล้ว งั้นเธอยอมกินก็ได้
เธอก้มหน้าก้มตากินขากระต่าย
ขณะที่ทุกคนก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร คุณยายกลับแอบมองหลานสาวกับแขกที่มาร่วมมื้ออาหารพร้อมอมยิ้ม
“มู่ไป๋ ปีนี้เธออายุเท่าไร”
“คุณยาย ปีนี้ผมอายุสิบแปด มาทำงานที่สถานีรถไฟที่นี่เมื่อปีที่แล้วครับ” ซ่งมู่ไป๋ตอบ
“แล้วที่บ้านมีใครบ้าง”
แววตาชายหนุ่มหม่นแสงลงเล็กน้อยขณะตอบ “พี่ชายผมอยู่ในกองทัพ หลังจากแต่งงาน พี่สะใภ้กับลูกก็ย้ายเข้าไปอยู่ในกองทัพด้วย ส่วนพี่สาวแต่งงานออกจากบ้านไปแล้ว ที่บ้านจึงเหลือคุณพ่อแค่คนเดียว”
“บ้านเธออยู่ไหนเหรอ”
“อยู่เมืองหลวงครับ แต่เมื่อปีที่แล้วคุณพ่อ คุณแม่ กับคนอื่นๆ อีกไม่น้อยขอออกจากงานกลับไปที่บ้านเกิด” เอ่ยจบสีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนเป็ไม่สู้ดีนัก
เซี่ยโม่ซึ่งมีชีวิตอยู่มาสองชาติย่อมทราบดีว่า คนที่ออกจากงานแล้วล้วนมีชีวิตยากลำบาก
โชคดีที่บิดาของชายหนุ่มเป็ฝ่ายขอออกเอง เมื่อกลับไปอยู่บ้านเกิดจึงมีชีวิตที่ไม่ลำบากนัก
“แล้วตอนนี้เธออาศัยอยู่ในหอพักของหน่วยงานเหรอ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “เปล่าครับ สถานีรถไฟอยู่ใกล้กับตำบลเล็กๆ ตำบลหนึ่ง ผมเลยซื้อบ้านขนาดสองห้องที่นั่น ผมอาศัยอยู่คนเดียว ทำอาหารก็ไม่ค่อยเป็ เลยอาศัยฝากท้องที่โรงอาหารเสียส่วนใหญ่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้