"มาหาใครรึ?" ทหารยามคนหนึ่งมองสำรวจอันซิ่วเอ๋อร์ั้แ่หัวจรดเท้า
"ข้ามาหานักสู้ที่ชื่อเถียถ่า ข้าเป็น้องสาวเขา" อันซิ่วเอ๋อร์บอกจุดประสงค์
"ฮ่า..." ทหารยามหัวเราะร่า จ้องมองนางอย่างไม่ไว้ใจ ท่าทางเหมือนเดาจุดประสงค์ของนางออก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ ว่า "แม่หนู กลับไปเถอะ ที่นี่น่ะมีคนมาตามหานักสู้ทุกวัน ส่วนใหญ่ก็อ้างว่าเป็เมียบ้าง น้องสาวบ้าง ญาติบ้าง"
เห็นชัดว่าทหารยามทั้งสองไม่เชื่อ อันซิ่วเอ๋อร์เริ่มร้อนใจ จึงพูดขึ้นว่า "ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็ลองให้เขาออกมาพบข้าดูสิ หรือไม่อย่างนั้น ช่วยไปบอกเขาให้ที ว่าน้องสาวที่ชื่ออันซิ่วเอ๋อร์มาหา"
พอเห็นอันซิ่วเอ๋อร์พูดอย่างมั่นใจ ทหารยามทั้งสองก็ลังเลเล็กน้อย "ก็ได้ ข้าจะลองไปถามดูให้ แต่ถ้าข้ารู้ว่าเ้าโกหกข้าละก็ คราวหน้าเจออีก ข้าไล่ตะเพิดแน่"
"ท่านวางใจได้ ข้าไม่ได้โกหก" อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ พลางขอบคุณทหารยาม
ทหารยามคนนั้นหันไปพูดกับเพื่อนยามอีกคน แล้วจึงเดินเข้าไปข้างใน อันซิ่วเอ๋อร์รออยู่ด้านนอกด้วยใจร้อนรุ่ม ความคิดสับสนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าพอเจอหน้าอันเถี่ยสือแล้วจะพูดอะไรก่อนดี
แต่พอนายทหารคนนั้นกลับออกมา เขากลับมองนางด้วยสายตาเ็า แล้วบอกว่า "แม่หนู นักสู้เถียถ่าของเราบอกว่า เขาไม่มีน้องสาว แล้วก็ไม่รู้จักเ้าด้วย"
เขาโมโหที่โดนผู้หญิงท่าทางซื่อๆ แต่พูดจาฉะฉานคนนี้หลอกเอา สายตาที่มองอันซิ่วเอ๋อร์ตอนนี้จึงไม่เป็มิตรนัก พอเห็นนางทำท่าจะถามอะไรอีก เขาก็โบกมือไล่ทันที "ไปๆๆ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเ้าจะมาป้วนเปี้ยน"
"ซิ่วเอ๋อร์" จางเจิ้นอันก้าวเข้ามาใกล้ พูดว่า "หรือเราจะค่อยมาใหม่คราวหน้าดีไหม อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าเขาอยู่ที่นี่"
"แต่..." อันซิ่วเอ๋อร์ยังลังเล ไม่ยอมขยับไปไหน นางยังไม่ได้เจอหน้าพี่ชาย ในใจก็ยังไม่สบายใจ เมื่อครู่นี้เห็นคู่ต่อสู้ทุบตีเขาหลายครั้ง ไม่รู้ว่าเขาาเ็หรือเปล่า
"ถ้างั้น... พี่ทหารยาม ช่วยเอาของพวกนี้ไปให้เขาแทนได้ไหมเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์ถอยออกมาเล็กน้อย พลางยื่นตะกร้าในมือให้ทหารยาม
"ข้าไม่รู้จะพิสูจน์ให้ท่านเชื่อได้ยังไง แต่ข้าไม่ได้โกหกจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าทำไมพี่ชายถึงไม่ยอมรับข้า แต่เขาคงมีเหตุผลของเขา ข้าเข้าใจ แค่ขอให้ท่านช่วยเอาของนี่ไปให้เขา ถือว่าเป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้าก็พอ"
คำพูดของอันซิ่วเอ๋อร์ฟังดูจริงใจ ทหารยามฟังแล้วก็ใจอ่อนลง มือเผลอรับตะกร้าจากนางมาก่อนที่ปากจะตอบตกลง "ข้าจะลองเอาไปให้เขาก็แล้วกัน เ้าไปได้แล้ว"
"เอ่อ ข้ารบกวนอีกเื่ได้ไหมเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์พูดต่อ "ท่านพอจะเล่าเื่ของเถียถ่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม ข้าเป็ห่วงเขา เขามาอยู่ที่ลานประลองนี่นานเท่าไรแล้ว? คงเคยเจ็บตัวมาไม่น้อยเลยใช่ไหม"
"เจ็บตัวน่ะมันแน่อยู่แล้ว" ทหารยามเหลือบมองอันซิ่วเอ๋อร์ เห็นว่าถึงนางจะแต่งกายธรรมดา แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณดี ท่าทางบอบบาง คงเป็คุณหนูไม่เคยลำบาก จึงเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี "โลกภายนอกมันโหดร้ายกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเ้าจะคิดได้ กลับไปอยู่บ้านดูแลสามีดูแลลูกเถอะ อย่ามาถามเื่พวกนี้เลย"
"ขอบคุณพี่ทหารยามที่ชี้แนะ" อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ เพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วถอยห่างออกมาหลายก้าว นางยังคงจ้องมองทหารยามที่เดินหายเข้าไปข้างใน ไม่ยอมจากไปไหน เฝ้ารอด้วยใจจดจ่อ หวังว่าบางทีหากพี่ชายเห็นของพวกนี้แล้ว อาจจะยอมออกมาพบ
ทว่าเมื่อทหารยามคนเดิมกลับออกมาอีกครั้ง ในมือก็ยังคงถือตะกร้าใบเดิมอยู่ เขาส่งคืนให้อันซิ่วเอ๋อร์ พลางมองท่าทางสิ้นหวังของนาง แม้จะรู้สึกสงสารอยู่บ้าง แต่ก็ยังพูดว่า "นักสู้เถียถ่าของเราบอกว่า ไม่ได้สร้างผลงานใดๆ จึงไม่สมควรได้รับรางวัล เขาไม่อาจรับของจากท่านง่ายๆ ได้"
อันซิ่วเอ๋อร์ผิดหวังอยู่ไม่น้อย รับตะกร้ากลับมาเงียบๆ ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา
"ไปกันเถอะ" จางเจิ้นอันเห็นนางยังดื้อดึง จึงเอ่ยขึ้น "หรือว่าเ้าอาจจะจำคนผิดจริงๆ ก็ได้"
"ข้าไม่มีทางจำผิด" แม้จะเห็นเพียงแวบเดียว แต่นางมั่นใจในสายตาตัวเองมาก อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า
"ปกติข้าไม่เคยสนใจเื่การต่อสู้พวกนี้เลย แต่วันนี้พอเห็นป้ายชื่อลานประลองนี้ กลับอยากเข้ามาดูอย่างไม่มีเหตุผล นี่คงเป็ฟ้าลิขิต"
จางเจิ้นอันพูดไม่เก่งอยู่แล้ว พอเห็นนางทำท่าหมดอาลัยตายอยาก ก็ได้แต่พูดซ้ำคำเดิม "งั้นเรากลับกันก่อนดีไหม คราวหน้า ข้าจะมาเป็เพื่อนเ้าอีกแน่นอน"
อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า "เรารออีกหน่อยเถอะ ถ้ารอจนฟ้ามืดแล้วเขายังไม่ออกมา เราค่อยกลับกัน"
นางกลัวจางเจิ้นอันจะเป็ห่วง จึงแสร้งทำเป็ร่าเริง พูดติดตลกว่า "ถึงตอนนั้นคงต้องรบกวนท่านสามีพายเรือแล้ว แต่เรากลับบ้านช้าหน่อย ก็ถือซะว่าท่านตั้งใจออกมาชมวิวยามค่ำคืนกับข้าก็แล้วกัน วันนี้อากาศดี กลางคืนคงมีดาวมีเดือน ถึงตอนนั้นเราอาบแสงดาวแสงเดือนกลับบ้านกัน คงได้บรรยากาศไปอีกแบบ"
"ได้สิ เ้าว่ายังไงก็ว่าตามนั้น" จางเจิ้นอันมองนางด้วยแววตาเอ็นดู พยักหน้าตกลง
"ขอบคุณเ้าค่ะ" คราวนี้ อันซิ่วเอ๋อร์ขอบคุณเขาจากใจจริง
หนึ่งคือขอบคุณที่เขายอมเสียเวลามาเป็เพื่อนนาง สองคือขอบคุณที่เขาเชื่อใจนางขนาดนี้ เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของนาง ก็ยอมรออยู่ตรงนี้ด้วยกัน
แต่ถึงแม้ทั้งสองคนจะเต็มใจรอ ผู้ดูแลลานประลองกลับไม่ค่อยพอใจนัก ทหารยามอีกคนได้ยินบทสนทนา จึงพูดแทรกขึ้นมา
"อีกเดี๋ยวที่นี่ก็จะปิดประตูแล้ว พวกท่านคงรอได้อีกไม่นานนักหรอก"
"ปิดประตู?" จางเจิ้นอันขมวดคิ้ว "ไม่น่าใช่ ปกติแล้ว ยิ่งค่ำ กิจการของพวกท่านน่าจะยิ่งดีไม่ใช่หรือ?"
"ตกค่ำ พวกคุณหนูคุณนายก็กลับกันหมดแล้ว ส่วนพวกผู้ชายก็มีที่เที่ยวของตัวเอง ใครจะมาดูการต่อสู้กัน" ทหารยามคนนั้นหัวเราะเยาะ
"โลกนี้ไม่เคยขาดนักพนัน" จางเจิ้นอันกล่าวเสียงเรียบ
ลานประลองแบบนี้ทำเงินเป็หลัก ไม่มีทางทิ้งโอกาสทำเงินตอนกลางคืนไปแน่ ที่นี่ก็เหมือนบ่อนพนัน คือเปิดตลอดทั้งวัน จางเจิ้นอันคิดเพียงครู่เดียวก็เข้าใจ คงเป็เพราะพวกเขาจะไล่คนตอนกลางวัน แล้วเปิดอีกครั้งตอนกลางคืน เพื่อจะได้เก็บค่าเข้าชมอีกรอบ
"ถ้าเดี๋ยวมีคนมาเก็บกวาดพื้นที่ พวกเราก็จะจ่ายค่าเข้าชมรอบกลางคืนด้วย ไม่ทำให้พวกท่านลำบากใจแน่นอน"
เมื่อทหารยามทั้งสองได้ยินดังนั้น ก็ไม่พูดอะไรอีก ในเมื่อเขายอมจ่ายเงินแล้ว จะรอก็เื่ของเขา แค่ไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็ญาติของนักสู้เถียถ่าจริง หรือเป็แค่พวกคลั่งไคล้กันแน่
เฮ้อ อย่าได้ดูถูกนักสู้ในลานประลองพวกนี้ไป ถึงแม้สถานะภายในจะไม่สูงส่งอะไร แต่ในสายตาคนนอก พวกเขาก็ถือว่ามีชื่อเสียงพอตัว
แน่นอนว่า เงื่อนไขคือต้องชนะต่อไปเรื่อยๆ หากแพ้ขึ้นมา ไม่เพียงสถานะในลานประลองจะตกต่ำ โดนดูถูกเหยียดหยาม ยังจะถูกผู้ชมภายนอกลืมเลือนไปอย่างง่ายดาย
ใครจะอยากเลี้ยงดูนักสู้ที่ไร้ค่า? แต่นักสู้ที่มีค่าแล้วจะเป็อย่างไรได้? ก็เป็ได้แค่เครื่องมือทำเงินของคนอื่นเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น คนพวกนี้ในลานประลอง นอกจากพวกที่เก่งกาจเหนืุ์จริงๆ แล้ว ใครบ้างที่ไม่ต้องแลกมาด้วยาแ รออีกไม่กี่ปี พอพวกเขาแก่ตัวลง ไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนเดิม ก็ถึงเวลาที่จะถูกลานประลองเขี่ยทิ้ง ทำได้เพียงแบกร่างกายที่เต็มไปด้วยาแ ไปหาที่ซุกหัวนอนเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ
ในทางกลับกัน นักสู้ฝีมือดีที่ตระกูลใหญ่เลี้ยงดูไว้ ยามแก่เฒ่ากลับมีความสุขกว่า อย่างน้อยก็มีที่พึ่งพิง ตระกูลใหญ่บางแห่งเพื่อรักษาหน้าตา ก็จะเลี้ยงดูคนเหล่านี้ไปจนแก่ตาย
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่รู้เื่ราวเหล่านี้ นางรู้แค่ว่าการต่อสู้ในลานประลองต้องเจ็บตัว นางไม่อยากเห็นพี่ชายต้องาเ็ อยากเจอเขาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนไปทำงานที่ดีกว่านี้
แต่นางกลับไม่ได้เจอแม้แต่หน้าเขา ไม่รู้เลยว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมออกมาพบ
"ท่านว่า เรากลับกันก่อนดีไหม แล้วค่อยมาใหม่คราวหน้า?" อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าถามจางเจิ้นอัน หลังจากรอมานาน นางก็เริ่มหมดความอดทน อีกทั้งยังรู้สึกผิดที่ต้องให้เขามารอเป็เพื่อนนานขนาดนี้
หรือที่เขาพูดจะถูก อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าตอนนี้พี่ชายอยู่ที่ไหน คราวหน้าค่อยหาทางมาเยี่ยมเขาอีกก็ได้ ถึงตอนนั้นเขาคงหนีนางไม่พ้น
ทว่าพอคิดอีกที นางก็ยังตัดใจไม่ได้ ก่อนจะหันหลังกลับ นางตัดสินใจรวบรวมความกล้าะโเข้าไปข้างในสุดเสียง
"อันเถี่ยสือ! ถ้าท่านยังไม่ออกมา ข้าจะกลับบ้านไปฟ้องท่านพ่อท่านแม่!"
เสียงใสดุจสายลมของนางดังสะท้อนไปทั่วลานประลอง อันที่จริง ที่ที่อันซิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่ห่างจากที่พักของอันเถี่ยสือเพียงแค่กำแพงไม่กี่ชั้น เสียงของนางจึงดังเข้าหูเขาอย่างชัดเจน ทำเอาใจเขาสั่นไหววูบหนึ่ง
"เฮ้อ!"
เขาถอนหายใจแ่เบา ลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง คนในลานประลองไม่รู้ว่าอันเถี่ยสือคือใคร ได้แต่จ้องมองเขาอย่างสงสัย แต่เขาได้ยินชัดเจน นั่นเป็เสียงน้องสาวของเขาจริงๆ ไม่รู้ว่านางตามมาเจอที่นี่ได้อย่างไร
เขาเองก็กังวลอยู่บ้าง ไม่ได้กลับบ้านไปนานมากแล้ว กลัวว่าทางบ้านจะมีเื่อะไร แต่เขาก็ไม่อาจเผชิญหน้านางในสภาพนี้ได้
เขารู้ว่านางคงเห็นการต่อสู้ทั้งหมดของเขาแล้ว เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า น้องสาวที่เคยชื่นชมเขานักหนา จะมองเขาด้วยสายตาแบบไหนเมื่อรู้ว่าเขามาเป็นักสู้แบบนี้ เขารู้ตัวดีว่าตัวเองเป็แค่เครื่องมือหาเงินของลานประลอง ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ป่าที่ถูกเลี้ยงไว้ เขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะเจอหน้านาง ทำได้เพียงแสร้งทำเป็ไม่รู้จัก
แต่พอคิดว่านางจะกลับไปฟ้องพ่อแม่ที่บ้าน เขาก็ร้อนใจขึ้นมาทันที เขาโตป่านนี้แล้ว จะทำเื่ให้พ่อแม่ต้องกังวลไม่ได้อีก
ต้องยอมรับว่า ไม้ตายของนางได้ผลชะงัด สุดท้ายเขาก็ฝืนใจลุกขึ้นจากเตียง สวมรองเท้าแล้วเดินออกไป
อันซิ่วเอ๋อร์จ้องมองประตูทางเข้าตลอดเวลา นางตัดสินใจแล้วว่า หากเขายังไม่ออกมา นางจะกลับจริงๆ
ทว่า ขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับ เสียงฝีเท้าคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง นางหันขวับไปมองอย่างใ และแล้วก็ได้สบตากับใบหน้าที่คุ้นเคย...ที่ห่างหายไปนาน
