ภายในูเาไฟที่อากาศร้อนระอุ
ถังจิ่วกับเสี่ยวเนี่ยนร่วมมือกันอย่างรู้ใจ ส่วนจั๋วอวิ๋นเซียนใช้ิญญาอัคคีฝึกฝนวิทยายุทธ์กระบี่กับท่าทางของตัวเองจนได้รับประโยชน์มหาศาล
วิทยายุทธ์กระบี่ราวกับหมอกควัน ชุดขาวปลิวไสว
แ่เบาคล่องแคล่ว ล่องลอยดุจเทพเซียน
……
นี่เป็ครั้งแรกที่จั๋วอวิ๋นเซียนใช้วิทยายุทธ์กระบี่ ‘เซียนทะยานสู่์’ ไม่เหมือนกับคำชี้แนะของบิดาและไม่เหมือนกับตอนที่แอบฝึกฝนอย่างยากลำบาก การต่อสู้จริงเป็สิ่งที่อันตรายมากและสามารถแสดงให้เห็นถึงปัญหามากมายจากการฝึกฝน จากนั้นจึงเริ่มแก้ไขกระบวนท่าของตัวเองและใช้พลังของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เขาค่อยๆ ขัดเกลาวิทยายุทธ์และจิตใจให้สมบูรณ์ทีละน้อย
กล่าวอย่างไม่เกินจริงเลยว่า การต่อสู้จริงคือหนทางเดียวในการทดสอบพลัง นี่คือหลักการที่ไม่เคยเปลี่ยนั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นตลอดทางมานี้จั๋วอวิ๋นเซียนทำเพียงสองสิ่ง หนึ่งคือต่อสู้กับิญญาอัคคีเพื่อเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ สองคือทำลายกลไกและค่ายกลต่างๆ
……
“เสี่ยวเซียน เ้าใช้วิทยายุทธ์กระบี่อะไร เหตุใดถึงได้ดูงดงามนัก!”
“วิทยายุทธ์ประจำตระกูล”
“โอ้!”
ถังจิ่วพยักหน้าตอบรับ เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ
กล่าวตามความจริงแล้ว ถังจิ่วใกับวิทยายุทธ์กระบี่ของจั๋วอวิ๋นเซียนจริงๆ ภูมิหลังของเขายังนับว่าใช้ได้และเคยเห็นวิทยายุทธ์กระบี่มามากมาย บางครั้งราวกับภาพลวงตา บางครั้งเสมือนหมาป่าดุร้าย ยังมีบางครั้งที่รวดเร็วทรงพลัง...แต่เขาไม่เคยเห็นวิทยายุทธ์กระบี่ใดที่สง่างามและแ่เบาราวกับหมอกควัน ไม่เหมือนวิทยายุทธ์กระบี่ของโลกมนุษย์
ไม่เพียงถังจิ่วที่รู้สึกใ สายตาของเสี่ยวเนี่ยนยังเป็ประกาย จนรู้สึกอยากจะกราบไหว้ให้เป็อาจารย์ หากนางเรียนวิทยายุทธ์กระบี่ที่งดงามเช่นนี้ได้ เช่นนั้นนางจะสวยงามมากเพียงใด!
น่าเสียดายวิทยายุทธ์กระบี่คือวิทยายุทธ์สืบทอดของตระกูลจั๋ว เสี่ยวเนี่ยนจึงต้องล้มเลิกความคิดที่เป็ไปไม่ได้นี้
……
จั๋วอวิ๋นเซียนเข้าใจความคิดของทั้งสอง แต่เขาไม่สามารถสอนวิทยายุทธ์กระบี่นี้ให้คนอื่นได้ ไม่ใช่เพราะเขาหวงวิชา แต่เป็กฎที่ผู้เฒ่าตระกูลจั๋วกำหนดเอาไว้
ตามที่จั๋วฟู่ไห่ว่าเอาไว้ วิทยายุทธ์กระบี่เซียนทะยานสู่์ไม่ได้ถูกคิดค้นโดยบรรพบุรุษตระกูลจั๋ว แม้กระทั่งการสืบทอด ‘กระเรียนกู่ร้องเก้าชั้นฟ้า’ ล้วนเป็เพียงวิทยายุทธ์ไม่สมบูรณ์ เป็สิ่งที่บรรพบุรุษตระกูลจั๋วได้มาจากงานชุมนุมเซียนแห่งหนึ่ง เพราะมันเป็วิทยายุทธ์ที่เหมาะสมกับตราประทับกระเรียนของตระกูลจั๋วมาก ดังนั้นบรรพบุรุษตระกูลจั๋วจึงใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ จนกลายเป็รากฐานมรดกสืบทอดตระกูลจั๋ว นอกจากผู้นำตระกูลแล้ว วิทยายุทธ์นี้จะไม่สืบทอดสู่ภายนอก แม้แต่จั๋วอวี้หวั่นเองก็ไม่เคยฝึกวิทยายุทธ์นี้
ทว่าต่างจากความอิจฉาของถังจิ่วกับเสี่ยวเนี่ยน จั๋วอวิ๋นเซียนไม่พอใจกับวิทยายุทธ์กระบี่ของตัวเองนัก
ถึงแม้ ‘เซียนทะยานสู่์’ จะมีเพียงกระบวนท่าเดียว แต่กลับแฝงด้วยรากฐานของวิทยายุทธ์กระบี่ทั้งหมด จั๋วอวิ๋นเซียนเรียนเพียงกระบี่เดียวก็สามารถหลอมรวมกับกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานทั้งหมดได้ จากง่ายสู่ความยาก จากความยากกลายเป็ง่าย ท้ายที่สุดหมื่นกระบี่กลับเป็หนึ่ง
กระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของจั๋วฟู่ไห่มีเสียงกระบี่เจ็ดครั้ง แต่จั๋วอวิ๋นเซียนกลับมิอาจทำให้เกิดเสียงได้แม้สักครั้ง ความแตกต่างเช่นนี้มิอาจใช้จำนวนมาคำนวณแทนได้
หากอิงตามคำพูดของจั๋วฟู่ไห่ ‘เซียนทะยานสู่์’ สำคัญที่จิตหาใช่วิชา แต่จั๋วอวิ๋นเซียนในตอนนี้เข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของจั๋วอวิ๋นเซียนนั้นสูงมาก มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม ความสำเร็จในอนาคตของเขาต้องเหนือกว่าจั๋วฟู่ไห่ผู้เป็บิดาแน่
……
“ตูม”
“ตูม ตูม ตูม...”
ถังจิ่วมีระดับพลังที่ไม่ธรรมดา พยัคฆ์ขาวระดับรวมพลัง ดุร้ายโเี้ ทั้งยังมียันต์เหมันต์ติดตัว เพียงสะบัดมือก็สามารถสังหาริญญาอัคคีได้ ท่าทางดูสบายไม่น้อย
ส่วนอีกด้านหนึ่งเสี่ยวเนี่ยนยังเป็เพียงระดับผสานจิต ไม่ว่าด้านพลังหรือฝีมือล้วนเทียบกับถังจิ่วไม่ได้ หากจัดการิญญาอัคคีสามตัวถึงห้าตัวยังพอไหว แต่ถ้าเผชิญหน้ากับิญญาอัคคีที่ล้อมกันเป็กลุ่ม นางจะตกอยู่ในอันตราย
ยังดีที่ถังจิ่วให้ยันต์เหมันต์กับเสี่ยวเนี่ยนไปไม่น้อย หากต้องเผชิญหน้ากับอันตรายก็ยังสามารถปกป้องตัวเองได้
เมื่อเทียบกันแล้ว จั๋วอวิ๋นเซียนนับว่ามีพลังต่ำที่สุดในสามคนและไม่มีสิ่งของไว้ปกป้องชีวิตตัวเอง ทว่าจั๋วอวิ๋นเซียนกลับเป็คนที่สบายที่สุดในบรรดาพวกเขา วิทยายุทธ์กระบี่ของเขารวดเร็วว่องไว ท่าร่างของเขาราวกับเงาไม่ทิ้งร่องรอย ิญญาอัคคีที่โง่เขลามิอาจแตะต้องแม้ชายเสื้อ
“วิ๊ด!”
เงากระเรียนปรากฏกาย กระบี่เกิดเสียงกู่ร้อง
เมื่อถังจิ่วกับเสี่ยวเนี่ยนหันไปมองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
พวกเขาเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนฟาดฟันกระบี่และะโขึ้นไปร่ายรำกลางอากาศ ราวกับวิหคเซียนพุ่งทะยานสู่์!
“บ้าเอ๊ย! ไอ้...เด็กนี่เป็เซียนไปแล้วหรือ!”
ถังจิ่วอุทานเสียงดัง สายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ! ตอนนี้เขาจะมีใจต่อสู้ได้อย่างไร จึงรีบฟันไล่ิญญาอัคคีออกไป จากนั้นเหม่อมองบนท้องฟ้า
เสี่ยวเนี่ยนอ้าปากค้างเช่นกัน “พี่จิ่ว พี่อวิ๋นเสี่ยวมีระดับพลังเท่าไรกันแน่ ถึงกับสามารถโบยบินบนท้องฟ้าได้?”
“ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าตัวเองยังไม่ถึงระดับผสานจิต...?”
ถังจิ่วยิ้มแห้ง ในสมองมีแต่ความสับสน
การโบยบินโดยไม่อาศัยสิ่งของภายนอก นั่นเป็เื่ที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งระดับกายาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะสามารถทำได้...แต่ไม่มีใครเคยเห็นผู้แข็งแกร่งระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ที่อายุเพียงสิบสองปีมาก่อน! ฟังเหมือนเป็เื่เหลวไหล! ยิ่งไปกว่านั้นในมิติมายาสุญญตาแสดงระดับพลังสูงสุดได้เพียงระดับรวมพลัง หรือว่าเ้าเด็กนี่จะเป็บุตรของมิติมายาสุญญตา?
นี่มันขี้โกงชัดๆ!
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่สนใจถังจิ่วที่กำลังคิดเื่ไร้สาระ ในใจของเขากลับรู้สึกสบายมาก ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนคนที่ผูกมัดมือมัดเท้า แต่ในที่สุดก็หลุดพ้นออกมาได้ โบยบินอย่างอิสระในฟ้าดิน
หนึ่งกระบี่กู่ร้อง วิทยายุทธ์กระบี่ของจั๋วอวิ๋นเซียนนับว่าเข้าขั้นพื้นฐานแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ท่าร่าง ‘ระบำกระเรียนเก้า์’ ก็ก้าวสู่ขั้นแรกแล้ว สาเหตุที่จั๋วอวิ๋นเซียนสามารถโบยบินได้ราวกับวิหคเซียนนั้น ก็เพราะเขาใช้ความอัศจรรย์ของท่าร่าง หยุดค้างกลางอากาศระยะสั้นๆ ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศจริงๆ
“ฟิ้ว!”
แสงกระบี่พุ่งผ่านไป ิญญาอัคคีรอบด้านล้วนดับสูญ!
เสียงกระบี่กู่ร้อง กายาดุจกระเรียนขาว
เป็ดังคาด การต่อสู้คือวิธีเพิ่มพลังที่มีประโยชน์ที่สุดตลอดกาล
……
เมื่อผ่านย้อนธารลาวามา พวกจั๋วอวิ๋นเซียนสามคนก็มาถึงบนสะพานเพลิง
ใต้สะพานเพลิงคือธารลาวาไร้ที่สิ้นสุด ยังมีไอร้อนพ่นออกมาเป็บางครั้ง ราวกับเป็ขุมนรก หากเป็คนที่จิตใจอ่อนแอคงไม่กล้าก้มลงไปมอง
เสี่ยวเนี่ยนหน้าซีดขาว เด็กสาวเป็คนที่อ่อนไหวต่ออันตรายมาั้แ่เกิด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้จึงเกิดความกลัวเป็ธรรมดา แต่จิตใจของนางไม่เลวนัก ถึงแม้จะหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่นางยังคงกัดฟันฝืนทนต่อไป
ถังจิ่วคุ้นเคยกับสะพานเพลิงดีจึงเป็ฝ่ายเดินหน้านำทาง ทุกครั้งล้วนสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายได้อย่างราบรื่น
จั๋วอวิ๋นเซียนเดินหน้าไปพลางครุ่นคิดไปพลาง ทั้งยังหันไปมองใต้สะพานเป็บางครั้ง
“ถังจิ่วถ้าตกลงไปจะเป็อย่างไร?”
“การท้าทายต้องล้มเหลวอยู่แล้ว จากนั้นก็ถูกส่งออกไป แม้จะไม่รู้สึกเ็ป แต่ทุกครั้งที่ตกลงไปก็ทำให้รู้สึกใจสั่นและหวาดกลัว”
เมื่อถังจิ่วนึกถึงตอนที่ตนเองตกลงไปในลาวา จิตใจของเขาก็สั่นไหวอย่างห้ามไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากมีความรู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว
……
เมื่อข้ามผ่านสะพานเพลิงไป ทั้งสามคนก็มาถึงใจกลางของแท่นบูชา
สถานที่แห่งนี้คือใจกลางของูเาเพลิง ตรงขอบแท่นบูชาเชื่อมต่อกับโซ่สิบสองเส้น บนนั้นยังมีอักขระสลักไว้ อีกด้านของโซ่เชื่อมต่อกับส่วนลึกของลาวา
เมื่อก่อนตอนที่จั๋วอวิ๋นเซียนมาถึงตรงนี้ แท่นบูชาเป็เพียงซากปรักหักพัง ค่ายกลอักขระบนนั้นก็ไม่สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ดูไปแล้วน่าจะค่อนข้างสมบูรณ์ครบ
