กู้จิ่นเฉิงกลับมาถึงวังปีศาจในตอนกลางคืนของวันถัดมาเมื่อเทียบกับเวลาที่ผมคิดคำนวณเอาไว้แล้วเขาจะต้องใช้เวลาประมาณแปดถึงเก้ายามนี่เหมือนกับไม่ใช่วิธีการปกติของเขาสักเท่าไรนัก
นับั้แ่มาอยู่บนโลกใบนี้ผมยังไม่เคยนอนหลับได้อย่างเต็มตาสักทีความหวาดกลัวมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน แล้วผมก็ไม่กล้าที่จะขึ้นไปนอนบนเตียงหินนั่นแม้อาจิ่วจะมองว่าผมทำตัวแปลกไปอย่างไรก็ตาม อย่างไรผมก็ยังไม่ขึ้นไปนอนอยู่ดีเพราะมักจะทำให้ผมฝันร้ายมั่วซั่วอยู่เสมอ ไม่อาจคาดเดาได้เลยหากจะให้พิจารณาอย่างละเอียดก็จะทำลายเซลล์สมองมากเกินไปเช่นนั้นก็ปล่อยให้มันแห้งอยู่ตรงนั้น วางทิ้งไว้ให้เป็เพียงแค่ของตกแต่งห้องเท่านั้น
คืนนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับ จึงใช้เวลานี้เริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับร่างกายนี้ของอวี๋เคอพลังปราณขั้นมหายานระดับกลางของเขานั้นยิ่งใหญ่มากเกินไปเมื่อลองย่อยพลังปราณออกมาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเปลืองแรงสักเล็กน้อยแต่ถึงอย่างไรก็จะทำให้ได้รู้เคล็ดลับบางอย่าง ถึงแม้จะปรับตัวได้ยาก แต่ความก้าวหน้านั้นก็ไม่ถือว่าช้าเลย
เวลานี้แม้ว่าจะหลับตาลงแต่ผมก็ยังรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ััได้จากพลังปราณที่เคลื่อนอยู่บริเวณโดยรอบดังนั้นเมื่อกู้จิ่นเฉิงเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูตำหนักบรรทมผมจึงรับรู้ได้ถึงลมปราณของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดีแล้ว แต่ด้วยระดับพลังที่แตกต่างกันระหว่างพวกเรานั้นเขาจึงไม่สามารถซ่อนอุบายนี้จากผมได้
เขาหยุดยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูเป็เวลานานมากไม่ว่าจะนับอย่างไรก็น่าจะถึงหนึ่งชั่วโมงแล้ว ผมนอนนับแกะอยู่ด้านในอย่างเบื่อหน่ายไปพลางตกแต่งขนนกของอาจิ่วที่นอนอยู่ข้างๆ ไปพลาง รอว่าเมื่อไรเขาจะเคลื่อนไหวผมเดาว่าเขาอาจจะอยากเข้ามาด้านในอยู่บ้าง แต่ว่ารอแล้วรอเล่า จู่ๆก็รู้สึกว่าตำแหน่งของลมปราณนี้เคลื่อนที่อย่างกะทันหัน ทว่าเขากลับไม่ได้ผลักประตูเข้ามาแต่ทะยานขึ้นไป้า พูดให้ถูกก็คือ้าสุดของตำหนักบรรทมผมจำได้ว่าหลังคาตำหนักบรรทมของผมมีความลาดเอียง ปูด้วยกระเบื้องเคลือบ และยังมีรูปปั้นอาจิ่วตกแต่งไว้ที่มุมทั้งสี่
ปัญหาในตอนนี้ก็คือผมไม่รู้ว่าบนหลังคามันมีอะไรดีเขาขึ้นไปทำอะไรที่บนหลังคากลางดึกเช่นนี้? ผมยังคงแอบตามลมปราณของเขาไปอย่างต่อเนื่อง รอการเคลื่อนไหวของเขา แต่รอแล้วรอเล่ารอจนผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มง่วงนอน รอจนขนของอาจิ่วทั้งหมดจะถูกผมลูบจนร่วงหมดอยู่แล้วก็ไม่เห็นว่าลมปราณของเขาจะเคลื่อนที่ไปไหนแม้แต่นิดเดียว
...ทำไมผมถึงรู้สึกได้ว่าเขาหลับไปแล้วเล่า? เดี๋ยวนะ!หรือว่าเมื่อก่อนเขาก็นอนบนหลังคามาโดยตลอด? ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมายิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล เพราะก่อนหน้านี้ที่ผมเกิดเหตุการณ์ลมโชยใบหญ้าไหว [1] เ้านี่ก็จะมาถึงที่นี่ในทันที เขาจะปรากฏตัวอย่างรวดเร็วในที่ที่ผมสามารถมองเห็นได้
ในนิยายกู้จิ่นเฉิงเป็เด็กกำพร้าถูกรับเลี้ยงเข้ามาอยู่ภายในวังปีศาจและได้รับการฝึกฝนจนกลายเป็ผู้กล้าเดนตายของอวี๋เคอแต่ไหนแต่ไรมาก็ปีนออกมาจากกองซากศพจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วนและกลายเป็ผู้เดียวที่สามารถยืนเคียงข้างอวี๋เคอได้จนถึงตอนนี้ไม่นับรวมอาจิ่ว เนื่องจากเขาเป็นก
ผมไม่รู้ว่าคำนิยามที่อวี๋เคอกำหนดให้กับกู้จิ่นเฉิงในโลกใบนี้มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่คนผู้นี้ตำแหน่งใดภายในใจของเขา ผมรู้แค่ว่าเวลานี้ผมรู้สึกเหมือนกับมีหนามทิ่มแทงอยู่ที่ด้านหลังผมตลอดเวลา
กู้จิ่นเฉิงเข้ามาใกล้มากเกินไปแล้วสิ่งที่เขาปฏิบัติต่ออวี๋เคอนั้นไม่สามารถนับว่าเป็การปกป้อง แต่เหมือนกับเป็การเฝ้าระวังมากกว่า
อวี๋เคอชอบโยนเื่ต่างๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ให้กู้จิ่นเฉิงเป็คนจัดการแทนทั้งยังยอมให้คนผู้นี้รับรู้เื่ราวทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเองแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยของเขาซึ่งไม่ชอบความยุ่งยากแต่ปัญหาก็คือเดิมทีกู้จิ่นเฉิงในนิยายนั้นมีความซื่อสัตย์อย่างยิ่ง ทว่าคนที่อยู่กับผมในตอนนี้ผมไม่สามารถเดาได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่!ดังนั้น ผมจึงได้แต่นอนคิดฟุ้งซ่านอยู่เช่นนี้ตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า...
ในระหว่างนั้นลมปราณของกู้จิ่นเฉิงก็ยังคงอยู่ที่นี่ตลอดเวลาอีกทั้งในตอนแปดโมงเช้าเขาก็มาเคาะประตูตำหนักบรรทมของผมได้ตรงเวลาและรายงานกับผมว่าเขาได้ไปทำอะไรมาบ้างได้รับข้อมูลข่าวสารอะไรมา ทั้งยังบอกกับผมว่าเ้าดินแดนทุกคนจะมาอย่างแน่นอนรวมถึงเจียงกุ่ยแห่งแดนซากกระดูกนั่นด้วย
พลังหยิน [2] ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าในดินแดนหลักของแดนซากกระดูกนั้นยังคงผิดปกติอย่างหนักกระแสอากาศสีดำที่ลอยวนเวียนอยู่บนท้องฟ้าซึ่งภายในนั้นยังมีเส้นสีทองจางๆกระจายออกมา ฟังจากที่กู้จิ่นเฉิงบรรยายแล้วก็ยิ่งคล้ายกับค่ายกล คราวก่อนที่หวังตัวจวี๋ไปพบแต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธไม่ยอมพบแขก ทว่าครั้งนี้กู้จิ่นเฉิงนำคำสั่งของผมไปไม่ว่าเขาจะใหญ่โตมากเพียงใดก็คงไม่กล้าที่จะปฏิเสธให้เข้าพบ
แต่เขากลับพูดเพียงแค่ว่าตัวเองกำลังฝึกวิชาลับใหม่บางประเภทอยู่ฉะนั้นจะต้องทำให้ค่ายกลคงที่เพื่อรวบรวมพลังแห่งฟ้าดิน
พลังแห่งฟ้าดินบ้าบออะไรกัน! คนเช่นเ้าน่ะเป็ความชั่วร้ายแห่งฟ้าดินอย่างแท้จริงแล้วอย่างไรเล่า?
หลังจากที่กู้จิ่นเฉิงรายงานกับผมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถอยกลับไปยืนอยู่ด้านหนึ่งส่วนอาจิ่วที่เพิ่งตื่นก็กระพือปีกบินไปเกาะอยู่บนไหล่ของเขาอย่างมั่นคงใช้หัวถูคอของเขา เอ่ยกระเง้ากระงอด “อาจิ่น นายท่านแย่งผลคืนิญญาของข้าไปแล้วและยังไม่ยอมพาข้าไปพบเ้าัเขียวตัวนั้นอีก! ”
ผมนั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนคิดไม่ออกว่าจะหาเหตุผลอะไรมาพูดแก้ตัวดี
กู้จิ่นเฉิงยกยิ้มมุมปากซึ่งหาได้ยาก ยกมือลูบไล้แ่เบาลงบนจะงอยปากที่แหลมคมของอาจิ่ว“ในเมื่อนายท่าน้าเช่นนั้นก็คงจะมีประโยชน์ที่ใดสักที่อย่างแน่นอน อีกอย่างเมื่อวานเ้าก็กินสัตว์ปีศาจไปแล้วความโกรธก็ควรจะลดลงได้บ้างแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะหยุดพักได้แล้ว”หลังจากที่พูดสอนอาจิ่วจบ เขาก็หันมามองผม แล้วเอ่ยถามขึ้น “นายท่าน เช้าวันนี้ผู้น้อยให้คนไปเก็บกวาดที่นั่นเรียบร้อยแล้วขอรับมีกรงว่างมากมาย ้าให้ผู้น้อยไปหาสัตว์ปีศาจมาเพิ่มอีกสักหน่อยหรือไม่ขอรับ? ”
ผมบ่นในใจว่าอันที่จริงสัตว์ปีศาจพวกนั้นถูกกินไปก็ยิ่งดีอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ชีวิตของซ่งฉียวนใน่นี้สบายขึ้นอีกหน่อย จึงตอบกลับว่า“ไม่ต้องแล้ว เ้าหามาเพิ่มได้มากเท่าไร สุดท้ายก็ต้องถูกเ้าตัวเล็กนี่กินเข้าไปอยู่ดีกรงว่างก็ดี จะได้ทำให้บางตัวหยุดคิดถึงได้บ้าง”
เมื่อผมพูดเช่นนี้ออกไป ยิ่งทำให้อาจิ่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโกรธพองขนขึ้นมาทันที ดวงตาเล็กๆ จ้องมองผมราวกับกำลังจะพ่นไฟ
“ข้ากินไปทั้งหมดแค่ไม่กี่ตัวก็ถูกท่านพูดเช่นนี้เลยหรือขอรับ? ฮึรู้อยู่แล้วว่าจะรังแกข้า! ข้าไม่สนใจพวกท่านแล้ว! ข้าจะไปที่หุบเขาปีศาจ ไปเล่นกับเ้าจิ้งจอกน่าเกลียดนั่น!” พูดจบก็สะบัดปีกแล้วบินออกไปด้วยความรวดเร็ว ผมยิ้มอย่างจนปัญญาแล้วปล่อยให้เขาไปอย่างไรเสียบนโลกใบนี้ในตอนนี้นั้นก็มีเพียงแค่ไม่กี่สิ่งเท่านั้นที่สามารถทำให้อาจิ่วาเ็ได้ผมจึงไม่กลัวว่าเขาจะเกิดอันตรายใดๆ
เ้าจิ้งจอกน่าเกลียดที่ปากของเขาเอ่ยถึงนั้นก็น่าจะเป็สัตว์ประหลาดตัวเล็กๆ ที่บำเพ็ญเพียรจนกลายเป็ปีศาจรู้จักใช้เวทมนตร์ชั่วร้าย สามารถพูดคุยภาษามนุษย์ได้ แต่ไม่สามารถแปลงร่างได้เหมือนเกิดมาคู่กับอาจิ่วที่ไม่สามารถแปลงร่างเป็มนุษย์ได้เช่นเดียวกัน ทั้งสองร่วมมือกันไปรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าตลอดทั้งวันจนปีศาจที่อยู่บริเวณใกล้กับบนูเาล้วนถูกสองคนนี้รังแกจนหวาดกลัวไปหมดแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาการแปลงร่างของปีศาจนั้นมักจะต้องสิ้นเปลืองพลังอยู่เสมอยิ่งมีพร์มากเท่าไรสายเืก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้นความยากในการแปลงร่างก็จะยิ่งสูงขึ้น มหันตภัยในการแปลงร่างที่จะต้องประสบก็ยิ่งน่ากลัวอาจิ่วนั้นอยากแปลงร่างเป็มนุษย์มาโดยตลอด ในภายหลังได้รับาเ็เนื่องจากการแปลงร่างตามความหมายของผมแล้ว ผมมีความรู้สึกว่าไม่อยากให้อาจิ่วแปลงร่างเป็มนุษย์อยู่สักเล็กน้อยเพราะรูปร่างแบบนี้ก็น่ารักยิ่งนัก เหตุใดจะต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อแปลงร่างด้วย?
ยังเหลือเวลาอีกเจ็ดวันจนกว่าจะถึงเวลาที่ผมกำหนดเอาไว้ว่าจะฆ่าซ่งฉียวนที่แม่น้ำแห่ง์การรอคอยให้ถึง่เวลานั้นเดิมทีแล้วควรจะยาวนานและน่าเบื่อแต่คาดไม่ถึงเลยว่าภายในเจ็ดวันนี้ผมกลับรู้สึกหวาดกลัวและกังวลเล็กน้อยเพราะมีเื่บางอย่างเกิดขึ้นจนทำให้ผมตกตะลึงแทบจะสำลักออกมา
เื่นี้ทำให้ผมตระหนักได้เป็ครั้งแรกว่าแท้จริงแล้วเวลานี้ผมอยู่ในฐานะใดกันแน่และสิ่งที่ผมพูดนั้นมีน้ำหนักมากเพียงใด
เพราะสตรีสองคนที่คว้าเสื้อของผมเอาไว้ตอนที่อยู่นอกถ้ำนั้นตายแล้วกู้จิ่นเฉิงเป็คนฆ่าพวกนาง โดยศพถูกโยนทิ้งไว้ทีู่เาที่แห้งแล้งแต่เพียงไม่กี่ชั่วยามก็ถูกสัตว์ป่ากินเป็อาหารแล้ว กระทั่งซากก็ไม่เหลือนี่คือสิ่งที่เ้าจิ้งจอกเล่าให้อาจิ่วฟัง แล้วอาจิ่วก็นำมาเล่าให้ผมฟังโดยไม่ได้ตั้งใจน้ำเสียงนั้นช่างเรียบเฉยและไม่แยแสอะไรทั้งสิ้น
แต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้คนยุคปัจจุบันอย่างผมกลับไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ผมจึงถามอย่างเคาะข้างโจมตีปีก [3] ถึงเหตุผลที่กู้จิ่นเฉิงทำแบบนี้ ท่าทางของเขาดูจะงุนงงสงสัยเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้น“ข้ารับใช้รายงานกับผู้น้อยว่าในวันนั้นนายท่านพูดว่าทั้งสองคนนี้รนหาที่ตายเช่นนั้นก็สมควรถูกฆ่าแล้วขอรับ นายท่าน ท่านเคยพูดว่าหากไม่ชอบผู้ใดหรือว่าเล่นสนุกกับผู้ใดเสียจนเบื่อแล้วก็ให้ฆ่าทิ้งได้ทั้งหมดหากท่านเป็คนลงมือ มือของท่านก็จะสกปรก เช่นนั้นผู้น้อยจึงทำแทนท่านขอรับ”
เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะโต้แย้งอย่างไรดีหายนะที่คนรุ่นก่อนทิ้งเอาไว้ ผมที่เป็คนรุ่นหลังจะทำอย่างไรได้อีก? คงทำได้แค่เพียงแบกรับเอาไว้อย่างเงียบงัน
ผมสาบานว่าหลังจากนี้ตัวเองจะไม่พูดอะไรมั่วซั่วอีกผมจะต้องเป็คนที่มีความเป็มิตร พูดให้น้อยลง ทำสีหน้าเ็าให้น้อยลงอย่าให้กู้จิ่นเฉิงมีเหตุผลที่จะใช้ฆ่าคนอีกเด็ดขาด
ผมกลัวแล้วจริงๆ สตรีสองคนในวัยสาวถูกฆ่าทิ้งอย่างโเี้เช่นนี้เพียงแค่คิด ในใจก็รู้สึกหนาวสั่นไปหมดแล้ว
......
เชิงอรรถ
[1] ลมโชยใบหญ้าไหว หมายถึง การที่ลมพัดโชยมา ต้นหญ้าก็ไหวเอนตามลมเปรียบเทียบถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
[2] พลังหยิน เป็พลังร้ายเย็น ความมืดมิด ความชั่วร้าย คนตาย ภูตผีปีศาจ
[3] เคาะข้างโจมตีปีก หมายถึง เขียนหรือพูดอย่างเลี่ยงๆ อ้อมไปอ้อมมา ไม่กล้าพูด ถามออกมาตรงๆ