หลินนั่วอีปรากฏตัวขึ้น ผมยาวพลิ้วไสวใต้แสงจันทร์แจ่มกระจ่าง ร่างสูงโปร่งลอออองไปด้วยชั้นแสงนุ่มนวลเธอก้าวย่างอย่างสง่างามมาถึงด้านนอกบ้าน
“นั่วอี”
ฉู่เฟิงรีบลุกขึ้น ประตูสวนไม่ได้ล็อกไว้ พอมองเห็นเงาร่างกลางแสงจันทร์เขาก็รีบสาวเท้าไปหา
หลินนั่วอีพยักหน้าให้เขา เมื่อตอนกลางวันถึงแม้จะผ่านศึกหนักชนิดะเืขวัญ อันตรายจนเกือบจะทิ้งชีวิตไว้ที่เขางูขาวเสียแล้วทว่าบัดนี้ เธอยังคงนุ่มนวลและสุขุม
เธอมองฉู่เฟิง จากนั้นกวาดตาดูภายในสวนรอบหนึ่ง ยามเมื่อสะท้อนแสงจันทร์เธอยิ่งดูผุดผ่อง แฝงความรู้สึกอันสูงส่งดั่งเทพเซียน
“ฉันมาโดยไม่ได้รับเชิญ” เธอเอ่ยปาก ถึงท่วงท่าน้ำเสียงจะเ็าหากก็ไม่มีริ้วรอยว่าเป็คนอื่นไกล เธอเป็เช่นนี้มาตลอด
“ผมดีใจสุดๆ เลยต่างหาก” ฉู่เฟิงเชิญเธอเข้าไปข้างใน
“น่าเสียดาย พ่อกับแม่ผมไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาพูดถึงคุณอยู่เรื่อยๆ นะอยากเจอคุณ นี่ถ้ารู้ว่าคุณมาที่นี่ จะต้องดีใจอย่างมากเลย” ฉู่เฟิงยิ้ม ใช้คำพูดเหล่านี้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่
แต่ว่านี่ไม่ใช่งานพบปะสังสรรค์ผู้ปกครอง ให้เขามาพูดอย่างนี้มันก็ดูจงใจไปหน่อย แต่คนมันหนังหน้าหนา ให้อย่างไรก็ไม่รู้สึกรู้สาสักเท่าไร
“คุณก็เป็อย่างนี้เสียเรื่อย ปากอย่างใจอย่าง” หลินนั่วอีชำเลืองมองเขาเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน
“ผมตรงไปตรงมามาตลอดนะ เจอคุณทีไร ไม่เคยเก็บอะไรไว้ในใจได้ซะทีพ่นออกมาหมด” ฉู่เฟิงพูดอย่างเป็ตัวของตัวเอง
“คุณอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ?”หลินนั่วอีไม่เหมือนใครมาโดยตลอด ไม่ว่าจะด้านไหน คราวนี้เธอกลับมีสีหน้าแปลกใจอยู่หน่อยๆ
นี่คือบ้านของฉู่เฟิง เธอมาที่นี่เป็ครั้งแรก ย่อมรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมองนู่นนี่อย่างตั้งใจ
“เก็บอาการหน่อย!” ฉู่เฟิงเตือน
หลินนั่วอีถลึงตาใส่เขา แต่ไม่พูดอะไร
“คุณเป็นางฟ้านะ จะมาทำท่าทางอยากรู้อยากเห็นอย่างนี้ได้ไงเสียภาพพจน์หมด” ฉู่เฟิงเอ่ย
“ห้องของคุณคงไม่ได้ซ่อนอะไรไว้หรอกนะ?”หลินนั่วอีพูดเรื่อยเปื่อย หมุนตัวเบาๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของเขา
“ห้องนอนผมนอกจากสาวสวยแล้วจะซ่อนอะไรได้อีก” ฉู่เฟิงหัวเราะลั่นๆแล้วจ้องใบหน้างดงามของเธอเขม็ง จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่ขาเรียวยาวคู่นั้น
ที่จริงเขาหัวใจหล่นวูบ กระบี่สั้นสีดำอยู่ใต้ผ้าห่มพอดีเขาไม่คิดนี่ว่าหลินนั่วอีเกิดอยากจะสำรวจบ้าน ทั้งยังเข้ามาในห้องนอนเขาด้วย
ตอนอยู่ที่เขางูขาว เขาใช้กระบี่เล่มนี้สังหารมู่สร้างาแให้เทพปีกเงิน อีกทั้งยังสังหารมนุษย์พิเศษไปไม่น้อย เขาลังเลจะบอกความจริงเธอดีไหมนะ
แต่เขากลัวว่า นี่จะเป็จุดแตกหัก
หลินนั่วอีเยือกเย็นมาตลอดยามปรกติจะมีใครหน้าไหนบังอาจมาจ้องมองเธออย่างนี้ เธอยื่นมือออกไป ผลักหน้าเขาออกไปตรงๆอย่างหนักแน่นมั่นคง
จากนั้น เธอก็เดินออกจากห้องนอนของเขา
ฉู่เฟิงเดินตามออกมา ลูบหน้าตัวเองพลางร้อง “ผมถูกลวนลาม!”
หลินนั่วอีไม่สนใจเขา เดินตรงไปที่สวน
แสงจันทร์สาดส่อง ตรงนี้อยู่ติดกับสวนผลไม้ มีทั้งกลิ่นผลไม้ กลิ่นดอกไม้อบอวลไปทั่วบริเวณ เป็กลิ่นอันหอมหวน หอมหวาน
เพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงกลางฤดูใบไม้ร่วงไม่เพียงแต่จะมีผลไม้สุกงอมเท่านั้นหากยังมีดอกตูมที่กำลังผลิดอกอีกด้วย เป็เื่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
“บ้านคุณนี่เงียบดีจริง อยู่ที่นี่สงบจิตสงบใจได้ง่าย” หลินนั่วอีเอ่ยปาก
ฉู่เฟิงเดินเข้ามา ใบหน้าไร้รอยเล่นหัว ให้เธอนั่งที่เก้าอี้หวายแล้วส่งชาเขียวให้ บอกว่า “นั่วอี คุณเหนื่อยเกินไปแล้ว”
เขาพูดจากใจจริง เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันเขาเห็นอยู่กับตาว่าเทียนเสินเซิงอู้ต่อสู้อยู่กับอะไร?งูขาวั์ตัวหนึ่งที่ทำให้คนาเ็ล้มตายไปนับไม่ถ้วน
และหลินนั่วอีเป็คนรับผิดชอบ ควบคุมคนเ่าั้ย่อมเกิดความกดดันอย่างใหญ่หลวง
“คุณเห็นข่าวหรือยัง รู้หรือยังว่าเขาไท่หังซานเกิดอะไรขึ้น?” หลินนั่วอีถาม
“เห็นแล้ว ผมเป็ห่วงคุณมากนะ” ฉู่เฟิงพยักหน้า
การที่งูขาวปรากฏตัว เป็เื่ที่ผู้คนไม่คาดคิดมาก่อนจรวดนำวิถีฆ่ามันไม่ตายแม้แต่ศิษย์แห่งศากยะเข้าห้ำหั่นกับมันก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็หรือตายช่างน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
“ทำไมคุณยังไม่หนีไปอีก ที่นี่อันตรายเกินไปนะ” หลินนั่วอีมองมาทางเขาดวงตาฉายแววลึกล้ำ
“ให้คุณกลับไปอย่างปลอดภัยก่อน แล้วผมค่อยไป” ฉู่เฟิงบอก
หลินนั่วอีนิ่ง มองเขาเต็มตา
“ก็ได้ งั้นผมพูดความจริง คุณลุงคนที่รับปากพ่อแม่ผมว่าจะพาผมกลับไปน่ะวันนี้เขาไปที่เขาไท่หังซาน บอกให้ผมรอเขาที่นี่”ฉู่เฟิงหยิบถ้วยชาบนโต๊ะหินใส่มือหลินนั่วอี
“เขาได้รับาเ็ เลยต้องซ่อนรักษาตัวก่อน แต่ว่าไม่เป็อะไรมากอีกไม่นานพวกเราก็ไปแล้ว” ฉู่เฟิงพูดต่อ
“เป็คุณลุงที่น่าสนใจจริงๆ “ หลินนั่วอีกลับเอ่ยเช่นนี้แถมยังแย้มยิ้มจนเห็นไรฟัน ดูเจิดจ้าอย่างยิ่ง
ยามนี้ ภายใต้แสงจันทร์อันนุ่มนวลใบหน้าของเธอผุดผ่องเปล่งประกายไปทุกเส้นขน แลดูงามล้ำหาใดเปรียบ
ฉู่เฟิงกอดอก เฝ้ามองเธออย่างดื่มด่ำไม่วางตา
“คุณทำอะไร?”
“คุณยิ้มอย่างนี้ สวยเจิดจ้าแทงตาจนผมแทบจะลืมตาไม่ขึ้น เลยต้องทำตาโตๆเข้าไว้ พอมองมากเข้าก็ใจเต้น เลยต้องกอดอกไว้อีก”
“คุณก็พูดจามั่วซั่วอย่างนี้ทุกที!”
“ก็จริงนี่ ผมสาบานได้เลยนะ คุณก็รู้นี่ ผมพูดจริงมาตลอดนะ!” ฉู่เฟิงทิ้งแขนลง แต่สายตายังไม่ละไปไหน เขามองเธอแล้วเอ่ย“ผมเคยบอกแล้วไง ถ้าคุณยิ้มบ่อยๆ ใครๆ ก็ต้านทานไม่ได้เสน่ห์อย่างนี้ฆ่ามานักต่อนักแล้ว”
หลินนั่วอีนิ่ง มองไปทางป่าผลไม้ที่อยู่ห่างออกไป ตรงนั้นแสงจันทร์ตกกระทบแลดูเลือนรางประหนึ่งว่าคลุมไว้ด้วยผ้าแพร
“คุณอยากมีชีวิตแบบไหนหรือ?” สุดท้ายเธอหันมาทางฉู่เฟิงแล้วเอ่ยถาม
“สงบสุข ปลอดภัย แต่ก็ต้องไม่ขาดเื่ตื่นเต้นนะ นานๆมีเื่ให้ประหลาดใจหรือเขย่าขวัญบ้างก็ได้”พออ้าปากฉู่เฟิงก็พ่นได้ทันทีแบบไม่ต้องคิด
หลินนั่วอียิ้มทันที แต่ครั้งนี้ไม่ได้หันไปมองฉู่เฟิงไม่อย่างนั้นคงถูกจ้องอีกไม่จบสิ้น
“ไม่ได้นะ ยิ้มล่มเมืองอย่างนี้คุณไม่ยิ้มให้ผมได้ไง เสียของไปหน่อยแล้ว”ฉู่เฟิงหน้าหนา ขยับเข้าไปใกล้ พยายามจ้องมองให้ได้
หลินนั่วอีมองเขา ตอบว่า “ชีวิตที่คุณอยากได้น่ะ ดูแล้วเรียบง่ายหากได้มายากยิ่ง โลกใบนี้อีกไม่นานเกรงว่าจะไม่มีตรงไหนที่สงบสุขเสียแล้ว”
ฉู่เฟิงรู้ดี คำพูดของเธอหมายถึง ฟ้าเปลี่ยนแปลงดินแปรผันสิ่งมีชีวิตมากมายมีพัฒนาการ พวกจิติญญาอันน่ากลัวต่างๆเริ่มปรากฏตัวออกมาทีละน้อยวันข้างหน้าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ทุกรูปแบบ
“คุณชอบการต่อสู้ไหม?” หลินนั่วอีถามเขา
“ไม่ชอบ!” ฉู่เฟิงส่ายหัว
หลินนั่วอีเงียบ มองไปทางูเาห่างไกล
ฉู่เฟิงเสริมว่า “ในโลกใบนี้ บางทีคนเราก็ไม่มีทางเลือกสุดท้ายก็ต้องถูกบีบให้เปลี่ยนแปลง”
“คุณไปที่เมืองซุ่นเทียนเถอะ ที่นั่นเป็มหานครศูนย์กลางของภาคเหนือยังพอจะมีความสงบสุขที่คุณ้าอยู่บ้าง ด้านนอกมีเฮลิคอปเตอร์รออยู่ เดินทางตลอดคืนก็ถึงที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว” หลินนั่วอีเอ่ย
“คุณมาส่งผมงั้นหรือ?” ฉู่เฟิงมองเธอนิ่ง
“ใช่ เมื่อตอนกลางวัน ฉันจัดการให้คนของเทียนเสินเซิงอู้สลายตัวไปแล้วพนักงานทั้งหมดหนีไปอย่างปลอดภัย ยังพอเหลือเฮลิคอปเตอร์ว่างอยู่ลำหนึ่งพอจะพาคุณหนีไปได้”
“นั่วอี!” ฉู่เฟิงยื่นมือออกไปคิดจะดึงมือเล็กบางของเธอ
“คิดอะไรฮึ?!” หลินนั่วอีปัดมือเขาทิ้งทันทีมองเขานิ่งๆ แล้วเอ่ย “ก็เพื่อนกัน ฉันอยากให้คุณปลอดภัย”
“โอเค” ฉู่เฟิงทิ้งมือลงอย่างเหนียมๆ
เงียบไปเล็กน้อย ฉู่เฟิงก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “นั่วอีผมรู้ว่าคุณกลัวเื่ร้ายจะเกิดกับผม เลยเจาะจงมาส่งผม แต่ว่าการจะไปรับคุณลุงคนนั้นของผมมันไม่ได้ง่ายๆ พอคุณกลับไปแล้วผมกับเขาจะออกเดินทางทันที”
ฉู่เฟิงเรียบเรียงคำพูด แล้วเอ่ย “คุณวางใจได้ผมไม่เอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงหรอก วันไหนที่คุณไปเมืองซุ่นเทียนผมจะเลี้ยงข้าวคุณมื้อใหญ่เลย คราวหน้าผมอยากเห็นรอยยิ้มสดใสของคุณนะ”
หลินนั่วอีมองเขา ไม่พูดอะไร
“ผมพูดจริงนะ ไม่เอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงแน่นอน”ฉู่เฟิงจ้องตาตอบเธออย่างหนักแน่นจริงจัง
ในที่สุด หลินนั่วอีจึงพยักหน้า
“อีกอย่างนะ นั่วอี ถ้าคุณเจอปัญหาอะไรหนักหนาสาหัสแค่ไหน คุณต้องบอกผมนะผมหาคนมาช่วยคุณได้แน่นอน!” ฉู่เฟิงพูดหนักแน่นมั่นคง
ดวงจันทร์ยามราตรีเงียบสงัด และสงบสุข
ฉู่เฟิงรู้ดีว่าหลินนั่วอีรู้เื่การเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ดีกว่าเขาเสียอีกเนื่องจากเทียนเสินเซิงอู้เป็องค์กรที่ใหญ่ ย่อมเข้าถึงเื่นี้ั้แ่แรกเขาคิดขอคำแนะนำสักหน่อย
“นั่วอี ตอนนี้สถานการณ์เป็อย่างไรบ้าง?” พอเอ่ยปากเขาก็ซักทันที โลกใบนี้มันยังไงกันแน่
เขารู้ว่า ยังมีบางเื่ที่หลินนั่วอีบอกไม่ได้แต่ครั้งก่อนเธอก็พูดเป็นัยๆ
หลินนั่วอีกลับถอนใจเบาๆ นี่เป็เื่ที่ยากนักที่จะเกิดขึ้น
“โลกใบนี้ซับซ้อนเหลือเกิน มันยังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงยังมีเื่น่ากลัวที่จะเกิดขึ้นอีก ขณะเดียวกันโอกาสก็มาถึงแล้วพอกลับไปฉันต้องไปเตรียมการทุกอย่าง ยังมีการต่อสู้อีกมากที่จะเกิดขึ้น
ฉู่เฟิงตะลึง ถึงแม้หลินนั่วอีจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนแต่ก็สามารถเข้าใจได้ว่า ต่อไปภายหน้า เธอต้องเผชิญกับปัญหาทุกรูปแบบ
“หลังจากฟ้าดินเปลี่ยนแปลง มีกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่ม อย่างเช่น โพธิจีนส์ที่ทำเื่เช่นเดียวกันกับเทียนเสินเซิงอู้กระจายกำลังมนุษย์พิเศษออกไปยังสถานที่สำคัญทุกแห่งเสาะหารากไม้ิญญา”
ฉู่เฟิงนิ่งฟัง ไม่ขัดแต่อย่างใด
“ต้นไม้บนเขาไท่หังซานนั่น เป็เพียงหนึ่งในทั้งหมดที่พวกเราค้นพบเท่านั้นที่จริงแล้ว ูเาสำคัญบนโลกนี้มีไม่น้อยมีหลายแห่งที่เป็ที่เลื่องลือมากกว่าเขาไท่หังซานความลึกลับซับซ้อนก็ย่อมมากตามไปด้วย”
ฉู่เฟิงใ เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “คุณหมายความว่าตามูเาเลื่องชื่อทุกแห่งมีต้นไม้วิเศษนี่และจะก่อให้เกิดการต่อสู้ขึ้นอีกงั้นหรือ?”
“ใช่ พลังลึกลับของบางสถานที่ก็มากมายเกินกว่าจะนึกฝันบางทีอาจจะมีต้นไม้เทพเ้าก็ได้ อีกอย่าง อาจมีรากไม้ิญญาขึ้นเป็ทุ่ง”หลินนั่วอีเล่าให้เขาฟัง
ฉู่เฟิงถึงกับตะลึง ทุ่งรากไม้ิญญาความหมายก็คือจะมีต้นไม้อย่างนั้นอีกเพียบที่ออกลูกไม้พิสดาร? เขารู้ทันทีว่า มันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อันน่ากลัวเช่นไร!
“ฟ้าดินกำลังเปลี่ยนแปลง ตอนนี้อยู่ในระยะดำเนินการและจะยากที่จะตรวจพบขึ้นไปทุกที ถ้าองค์กรั์ใหญ่สักแห่งคิดจะตั้งตัวเป็ใหญ่ยึดูเาสักลูกก็พอแล้ว!” หลินนั่วอีพูดหมดเปลือก
ศึกบนเขาไท่หังซาน เป็แค่การโหมโรงเท่านั้นคลื่นั์ของจริงรอการถาโถมอยู่เื้ั
แต่ว่าขนาดเขาไท่หังซาน ก็ส่งงูขาวั์ออกมาให้แตกตื่นกันแล้วแล้วที่อื่นๆ จะเป็เช่นไร? สุดที่จะคาดเดาเสียแล้ว!
“เขาหลงหู่ซาน เขาผู่ถัวซาน เขาอู่ตังซาน1 เขาซงซาน เขาเอ๋อเหมยซาน2เขาจงหนานซาน...ูเาเลื่องชื่อเหล่านี้ล้วนเป็สมรภูมิรบขององค์กรทรงอิทธิพลพวกนั้น”
คำพูดของหลินนั่วอีก่อให้เกิดความตระหนกในใจของฉู่เฟิงอย่างใหญ่หลวง
“หนึ่งองค์กร หนึ่งูเา แบ่งๆ กันไปไม่ได้เหรอ” ฉู่เฟิงถาม
หลินนั่วอีส่ายศีรษะ เอ่ยว่า “ตอนนี้ จะใครก็ไม่สามารถูเาได้แม้สักลูก”
“ยากขนาดนั้นเชียว?”
“อีกฝ่ายลงมือแล้ว เมื่อตอนหัวค่ำฉันได้รับข่าวที่เขาซงซานปรากฏต้นโพธิวัชระ บางทีอาจจะเป็รากไม้ิญญากลุ่มโพธิจีนส์เร่งรุดไปทันที ประมือกันเมื่อเย็นนี้ ผลก็คือพ่ายแพ้กลับมา”หลินนั่วอีบอก
“ถูกใครยึดไปได้?” ฉู่เฟิงระทึกอยู่ในใจ
“ถูกวานรเทพไม่กี่ตัวยึดไปได้” หลินนั่วอีตอบ
“วานรเทพไม่กี่ตัว? ร้ายกาจขนาดนี้เชียว!” ฉู่เฟิงรู้ว่าทางโพธิจีนส์มีศิษย์แห่งศากยะ ฝีมือลึกล้ำยากหยั่งถึงแต่ขนาดพวกเขายังแพ้ยับเยินกลับมา
ไม่เพียงแต่ศึกที่เขาไท่หังซานเท่านั้น ที่อื่นๆ ก็มีคนลงมือด้วยเช่นกัน!
เขาซงซาน ตรงนั้นเป็สถานที่ที่ไม่ธรรมดา เต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันนับพันปีควันธูปอบอวล เต็มไปด้วยวัดวาอาราม
“มีลิงตัวหนึ่งฝีมือสูงส่งอย่างมาก อีกทั้งมาตอนนี้ยังท่องพระสูตรได้ร้ายกาจอย่างยิ่ง” หลินนั่วอีเอ่ย
ตอนนี้ วัดวาอารามพวกนั้นล้วนถูกวานรเทพคงหนีไม่พ้นก่อตั้งเป็กลุ่มกองของสัตว์พิเศษจำพวกลิง
ฉู่เฟิงนึกภาพได้เลยว่า เขาหลงหู่ซาน เขาผู่ถัวซาน เขาอู่ตังซานเขาเอ๋อเหมยซาน เขาคงถงซานจะเป็เช่นไร คาดว่าการต่อสู้คงรุนแรงไม่แพ้กัน
ตอนนี้ ูเาเลื่องชื่อแห่งหนึ่งถูกสัตว์พิเศษยึดไปได้แล้ว!
“แล้วศิษย์แห่งศากยะคืออะไรกัน?”ฉู่เฟิงอยากรู้ว่าทำไมชายวัยกลางคนผู้นั้นจึงร้ายกาจถึงเพียงนี้
“เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน เด็กชายสกุลมู่คนหนึ่งกินลูกไม้ป่าเข้าไปโดยบังเอิญ”หลินนั่วอีไม่พูดถึงศิษย์แห่งศากยะแต่กลับพูดถึงคนตระกูลมู่ของทางเทียนเสินเซิงอู้ ทำให้ฉู่เฟิงแปลกใจอย่างยิ่ง
“ต่อมา เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง แข็งแกร่งไร้เทียมทาน!”หลินนั่วอีมองเขา แววตาลึกล้ำ
ยี่สิบเอ็ดปีก่อน ทำไมถึงมีผลวิเศษนี่ได้? ฉู่เฟิงทั้งแปลกใจทั้งใ
“เขาคือพี่ชายคนโตของมู่ หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ค่อยปรากฏตัวเท่าไร”หลินนั่วอีพูดจบก็ลุกขึ้น เดินไปทางนอกสวน
ใต้แสงจันทร์ แสงสว่างขาวบริสุทธิ์โอบล้อมตัวเธอ แลดูสูงส่ง งดงามผิวขาวราวกับหิมะนวลลออ แม้แต่เส้นขนยังเรืองแสง
ฉู่เฟิงมองดูเงาหลังงดงามไร้ที่ติของเธออย่างใจลอยเธอจะจากไปอย่างนี้น่ะหรือ
“เธอเฉียบคมเกินไปแล้ว หรือจะรู้ว่าเราเป็ใคร?”
******************
1 เขาอู่ตังซาน= เขาบู๊ตึ๊ง
2 เขาเอ๋อเหมยซาน = เขาง๊อไบ๊
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้