คนที่กำลังใกล้ตาย...
ฉินอวี่ยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิมนั้นเป็เวลานานโดยยังไม่รู้สึกตัวกลับมา เพราะตะเกียงจุดไม่ติด ตนเองจึงเป็คนที่กำลังใกล้ตายหรือ? นี่มันเื่อะไรกัน?
เดี๋ยวก่อน...
เป็เพราะแกนของเหตุผลในกรรม หรือเป็เพราะตนเองไม่มีเหตุผลของกรรม?
หรืออาจเป็เพราะสาเหตุที่ร่างกายของร่างก่อนได้ตายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีกรรม จึงไม่สามารถจุดตะเกียงกรรมได้? จึงทำให้คนเข้าใจผิดกันว่าเป็คนใกล้ตาย?
เมื่อนึกถึงสายตาของจ้าวเหยียนและหลิงจ้ง ฉินอวี่ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น ในใจก็ยิ่งพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หวังชิงก็คงว่างมากที่หาเื่ทำอะไรเช่นนี้ สร้างตะเกียงกรรมอะไรนี่ขึ้นมา
ภายใต้ความจนใจ ฉินอวี่จึงได้แต่กลับไปยังที่พำนักอันห่างไกลของตนเอง ในตอนนี้คงไม่มีประโยชน์หากจะพูดอะไรออกไป คงได้แต่เพียงรอให้อาจารย์หวงถิงกลับมาเท่านั้น และใน่เวลานี้ ก็คงต้องทำการฝึกฝนไปพลางๆ ก่อน
ใน่เวลาหลายวันนี้ต่างก็ดำเนินไปเหมือนกันทุกวัน ดูเหมือนฉินอวี่จะกลายเป็บุคคลที่ทุกคนต่างลืมไปแล้ว กลัวว่าหากวันหนึ่งเกิดมีข่าวแพร่ออกไปว่าฉินอวี่ได้เสียชีวิตอยู่ในที่พำนักไปอย่างกะทันหัน ก็คงไม่มีผู้ใดรู้สึกแปลกใจ
ใน่สองสามวันที่ผ่านมา ฉินอวี่ได้ทำการศึกษาเื่เพลิงธรณีอยู่ในที่พำนักอย่างมีความสุข
“เปลวเพลิงอันมืดมน และมีความเป็พิษอย่างสูง... หรือนี่จะเป็เพลิงธรณีชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าเพลิงแอ่งธรณี?” ฉินอวี่ยกมือขวาขึ้นและมีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมา ลอยอยู่เหนือฝ่ามือของเขา
แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เพลิงธรณีนี้ดูเหมือนจะเป็สิ่งที่ไม่มีเ้าของ เมื่อฉินอวี่ผสานมันเข้าไปในจิตใจ ก็สามารถรับเพลิงธรณีชนิดนี้เข้าไปได้อย่างง่ายดาย ฉินอวี่จึงคาดเดาว่า มีความเป็ไปได้อย่างยิ่งที่จะเกี่ยวข้องกับเมล็ดพันธุ์คืนชีพ
“น่าแปลก เพลิงแอ่งธรณีนี้ช่างแตกต่างกับสิ่งที่บันทึกเอาไว้ในตำราโบราณ หากพูดให้ชัด เปลวไฟของเพลิงธรณีจะต้องมีแสงสลัวไม่สว่างไสว แต่ก็ไม่ได้มืดมากถึงเพียงนี้ ไม่รู้เช่นกันว่าหวังผิงไปได้เพลิงแอ่งธรณีนี้มาจากที่ใดกัน ไม่เพียงแต่มีสีเข้มเท่านั้น แต่ยังมีพิษมากกว่าเพลิงแอ่งธรณีโดยทั่วไปเสียด้วย” ฉินอวี่ใช้มือข้างซ้ายลูบเพลิงแอ่งธรณี รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นตรงมุมปาก เขานึกไม่ถึงเลยว่าชุยซั่วจะมอบของดีเช่นนี้ไว้ให้เขา
จิตใจของฉินอวี่ควบคุมเพลิงแอ่งธรณีไว้ และเพลิงแอ่งธรณีก็เปลี่ยนแปลงไปตามความคิดของฉินอวี่
“ไปหอตำราก่อนดีกว่า จะได้ลองค้นดูว่ามีบันทึกเกี่ยวกับการควบคุมเพลิงธรณีหรือไม่” ฉินอวี่พูดในใจ หากใช้ได้ถูกต้องเพลิงธรณีนี้จะมีประโยชน์อย่างมาก บางทีอาจจะกลายเป็หนึ่งท่าไม้ตายของตนเอง
ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็ลุกขึ้นและออกจากที่พำนักทันที เมื่อมองไปยังูเาทีรายล้อมไปด้วยเมฆหมอก สามารถมองเห็นฝูงนกจำนวนมากที่กำลังบินเล่นอยู่กลางอากาศอย่างเลือนราง สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ตกอยู่ในภวังค์ ให้ความรู้สึกหวนกลับไปยังสำนักเทียนฉี
หลังจากทิ้งความคิดภายในใจ ฉินอวี่ก็เดินออกไปตามทาง เมื่อดูจากชัยภูมิของที่นี่ แผนผังของสำนักยุทธ์ว่านจ้งมีความคล้ายคลึงกับสำนักเทียนฉีอย่างมาก หากว่าเดาไม่ผิดละก็ หอตำราจะต้องตั้งอยู่บนยอดเขาสองสามลูกที่อยู่ตรงศูนย์กลางของสี่ชีพจร
บนทางเดินของสายชีพจรหวง มีศิษย์จำนวนมากกำลังจับกลุ่มพูดคุยกัน
“ได้ยินมาบ้างหรือไม่ว่าซู่หลินได้ก้าวข้ามจากคนธรรมดาสู่ขั้นยุทธ์ระดับสามได้แล้วภายในเวลาเพียงครึ่งเดือน หากยังคงรวดเร็วเช่นนี้ต่อไป ภายในครึ่งปี อาจจะเข้าสู่เขตของขั้นปราณเสถียรก็เป็ได้”
“นี่ยังไม่เท่าไรนะ รอให้เขาได้เรียนรู้วิชากระบี่ก่อนเถอะ ความเข้าใจเื่กระบี่ของเขาจะต้องไม่มีผู้ใดเทียบได้แน่นอน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถเข้าถึงขอบเขตวิชากระบี่ที่ยากจะเข้าถึงก็เป็ได้ ช่างเป็คนเหนือคนโดยแท้”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ในที่สุดก็มีร่างกระบี่โดยกำเนิดที่พบได้ยากกำเนิดขึ้นมาคนหนึ่ง”
“จริงสิ พวกเ้าได้ยินเื่นี้มาบ้างหรือไม่? ผู้ดูแลหลี่ที่ดูแลหอตำรากำลังจะลงจากตำแหน่งเพราะหมดวาระแล้ว และยังไม่รู้เลยว่า ครั้งนี้จะมีศิษย์จากสายชีพจรใดที่จะได้เป็หนึ่งในสี่ของผู้ดูแลหอตำรา”
“การทดสอบของผู้ดูแลหอตำราดูเหมือนจะเกินไปหน่อย ได้ยินมาว่าความยากของการทดสอบไม่น้อยไปกว่าบททดสอบผู้ดูแลของสายชีพจรฟ้าเลย และไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงต้องเข้มงวดเช่นนี้”
“ไม่เข้มงวดสิแปลก อย่างไรก็ตามตำแหน่งในหอตำราก็จัดอยู่ในตำแหน่งระดับสูงของสำนัก ผู้นำตำหนักแต่ละแห่งสามารถเทียบได้กับผู้นำของสายชีพจร จึงนับว่าเป็รองเพียงเ้าสำนักเท่านั้น ข้าเกรงว่า ในบรรดาสำนักทั้งหมดตำแหน่งในหอตำราของสำนักยุทธ์ว่านจ้งคงจะมีระดับสูงที่สุดแล้วล่ะ”
“ครั้งนี้ผู้ที่ดูมีหวังจะได้เป็หนึ่งในสี่ของผู้ดูแลหอตำรา น่าจะเป็ฉู่เยว่ฉาน ศิษย์อันดับที่สิบแปดในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะแห่งสายชีพจรฟ้า?”
...
ฉินอวี่กำลังเดินไปตามทางเดิน ฟังการสนทนาของเหล่าศิษย์ที่กำลังเดินผ่านมาเป็คณะ จิตใจของเขารู้สึกซับซ้อนยิ่ง เกรงว่าจนถึงตอนนี้ คงมีเพียงฉินอวี่เท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดตำแหน่งในหอตำราจึงสูงเช่นนี้ ด้วยนิสัยเดิมของหวังชิง เขากำลังระลึกถึงเื่ในอดีตของตนเอง
ในตอนนั้น ในบรรดาเด็กที่เติบโตมากับฉินอวี่ หวังชิงมีนิสัยที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์ พูดไม่เก่ง แต่ให้ความสำคัญกับความรักและความชอบธรรม เป็คนชัดเจนแต่ยืดหยุ่น แต่ชิงซวีมีความดื้อรั้นแต่ก็แน่วแน่ คนเช่นเขาหากไม่ทำก็ไม่มีอะไรเป็ชิ้นเป็อัน แต่หากทำก็จะสำเร็จจนเป็ที่เลื่องลือ แต่ฉินอวี่กลับไม่เห็นบันทึกใดๆ เกี่ยวกับชิงซวีในหอตำราของตระกูลฉินเลย
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเื่นี้ เขาก็หวนนึกถึงรูปแบบแผนผังของสำนักเทียนฉี ประกอบกับการสอบถาม จนในที่สุดฉินอวี่ก็มาถึงหอตำรา
เป็ไปตามที่ฉินอวี่คาดเอาไว้ รูปแบบของสำนักว่านจ้งมีความเหมือนกับสำนักเทียนฉีทุกประการ หอตำราตั้งอยู่บนไหล่เขาของูเาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางของสี่ชีพจร และมีทั้งหมดเจ็ดชั้น
ขณะที่ฉินอวี่มาถึง หอตำราก็เต็มไปด้วยคลื่นของผู้คน ศิษย์จำนวนหลายร้อยคนต่างมารวมตัวพูดคุยกันที่ด้านหน้าหอตำรา
“นี่มันเพี้ยนไปหน่อยแล้ว ตำราที่บันทึกในแผ่นหินนี้ถึงจะมีไม่ถึงหมื่นก็ใกล้เคียง ระยะเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป จะต้องจดจำตำราโบราณให้ได้สามพันเล่ม จึงจะมีสิทธิ์เข้ารับการทดสอบครั้งต่อไป”
“ต้องใช้พลังความทรงจำที่แข็งแกร่งถึงเพียงใดจึงจะทำได้? นอกจากนี้ นี่เป็แค่การทดสอบครั้งแรก... ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้ดูแลของหอตำราจึงต้องเข้มงวดเช่นนี้”
“ทั่วทั้งสำนักยุทธ์ว่านจ้งคงมีคนเพียงไม่กี่คนที่ผ่านการทดสอบนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทดสอบในครั้งที่สองเลยเชียว”
...
ฉินอวี่ยินอยู่ที่ด้านนอกของฝูงชน และเงี่ยหูฝังการสนทนาที่อยู่รอบตัว เขามองไปยังหอตำราที่คุ้นเคยด้วยสายตาที่พร่ามัว ภาพของสำนักเทียนฉีในอดีตได้ฉายซ้ำเข้ามาในห้วงความคิดของเขา ในภวังค์นั้น ฉินอวี่รู้สึกเหมือนตนเองได้หวนคืนสู่สำนักเทียนฉี กลับไปยังสถานที่ซึ่งเขาได้รับทั้งเกียรติและความสิ้นหวังที่ไม่รู้จบสิ้น
สายตาของเขาค่อยๆ มองขึ้นไปบนูเาที่อยู่ท่ามกลางทะเลแห่งเมฆหมอก ที่แห่งนั้น... ไม่รู้ว่าจะเหมือนกับอดีตหรือไม่
ขณะที่ฉินอวี่กำลังครุ่นคิดถึงเื่นี้ เสียงะโอันเ็าก็ดังเข้ามาในหูของเขา “เ้าเองหรือ? เ้ากล้าดีอย่างไรจึงมาถึงสำนักยุทธ์ว่านจ้ง?”
ฉินอวี่เพ่งมองตรงไปยังเบื้องหน้า ซึ่งเป็ชายหนุ่มที่กำลังโกรธจัด สีหน้าของเขาดูใอย่างมาก ชายหนุ่มคนนี้จะเป็ใครได้อีก หากไม่ใช่จางเว่ยศิษย์สำนักยุทธ์ว่านจ้งที่คิดจะแย่งชิงลูกหมาป่าในแดนสุสานอสูร?
ก่อนที่ฉินอวี่จะได้ตอบอะไรออกไป จางเว่ยก็ดึงตัวศิษย์ร่างกำยำคนหนึ่งที่อยู่ข้างตัวเขาออกมา และพูดอย่างโกรธเคือง “ศิษย์พี่จ้าว เขานี่แหละที่เป็คนชิงลูกหมาป่าของาาหมาป่าในแดนสุสานอสูร ที่ข้าตั้งใจนำกลับมามอบให้ท่านไป”
ศิษย์แซ่จ้าวจ้องเขม็งไปทางฉินอวี่ และกวาดสายตามองฉินอวี่ไปมา ก่อนจะพูดอย่างเ็า “เ้าเป็คนชิงลูกาาหมาป่าของข้าไปหรือ?”
ฉินอวี่เยาะเย้ยอยู่ในใจ และพูดออกไป “สหายผู้นี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าาาหมาป่ามีบุญคุณกับข้า หรือต่อให้ไม่มีอะไรต่อกัน ลูกหมาป่านั่นก็ไม่มีเ้าของ แล้วจะบอกว่าข้าไปชิงลูกของาาหมาป่าไปได้อย่างไร?”
“เ้ากล้าย้อนข้าหรือ! เอาลูกหมาป่ามาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นก็พบกันที่สถานที่ประลอง” ชายหนุ่มแซ่จ้าวเบิกตากว้าง และพูดอย่างเฉียบขาด
สถานที่ประลอง เป็สถานที่แก้ปัญหาข้อพิพาทของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง
“ต้องขออภัยด้วย ลูกหมาป่าตัวนั้นข้าได้มอบให้คนอื่นไปแล้ว” ฉินอวี่ยิ้มเบาๆ พูดจบ เขาก็เดินเลี่ยงคนทั้งสองไปทางหอตำรา ชายหนุ่มแซ่จ้าวผู้นี้เป็คนขั้นปราณเสถียรระดับปลาย ฉินอวี่จึงไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มแซ่จ้าวคนนั้นะโเสียงดัง และเอื้อมมือออกไปคว้าไหล่ของฉินอวี่
ฉินอวี่รีบหันกลับไปทันที และปล่อยหมัดที่แข็งแกร่งของพลังสายฟ้าออกไปสองหมัด พลังอันดุร้ายได้กระแทกเข้าใส่ชายหนุ่มแซ่จ้าวคนนั้นจนถอยหลังห่างออกไปหลายสิบก้าว
“เ้า... เ้า...” ชายหนุ่มแซ่จ้าวพยายามทรงตัวให้มั่นคง แต่กลับรู้สึกได้เพียงพลังปราณที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย จนแทบจะกระอักเืออกมา เขามองไปทางฉินอวี่อย่างหวาดกลัว เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าฉินอวี่จะมีพลังเช่นนี้อยู่ในตัว
“ใครกล้าสร้างความวุ่นวายในหอตำรา?” เสียงตวาดอันเ็าดังขึ้นมาในทันที ดึงดูดความสนใจของศิษย์ทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ชายในชุดดำคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน ใบหน้าอันบึ้งตึงกวาดสายตามองมายังฉินอวี่และชายหนุ่มแซ่จ้าว
“ผู้ดูแลลี่ คนผู้นี้ชิงลูกของาาหมาป่าระดับสี่ไปจากข้า ขอผู้ดูแลลี่โปรดให้ความเป็ธรรมกับจ้าวเจิ้นหย่วนด้วย” ชายหนุ่มแซ่จ้าวกล่าวเสียงดังพร้อมแสร้งทำเป็สงบเสงี่ยม
“จ้าวเจิ้นหย่วน? จ้าวเจิ้นหย่วน ศิษย์อันดับที่สิบเอ็ดในรายชื่อศิษย์อัจฉริยะแห่งสายชีพจรฟ้า น้องชายของจ้าวเฟิงอวิ๋น?”
“น้องชายของจ้าวเฟิงอวิ๋นศิษย์อัจฉริยะรุ่นที่ห้าแห่งสายชีพจรดิน?”
มีศิษย์คนหนึ่งอุทานขึ้นมา มองไปทางฉินอวี่ด้วยสายตาที่เย้ยหยัน
“คนผู้นี้เป็ศิษย์ใหม่คนนั้นที่ไม่ได้จุดตะเกียงกรรมไม่ใช่หรือ?”
“ที่แท้คนที่พูดถึงกันในสองสามวันนี้ว่าเป็คนใกล้ตายก็คือเขาหรือ? ดูเหมือนจะได้ตายสมหวังแล้วจริงๆ เขากล้าชิงลูกหมาป่าของน้องชายจ้าวเฟิงอวิ๋น นี่มันรนหาที่ตายให้ตัวเองชัดๆ?” มีศิษย์คนหนึ่งอดที่จะพูดไม่ได้
จ้าวเจิ้นหย่วนกำลังเพลินอยู่กับสายตาที่น่าเกรงขามของศิษย์คนอื่นๆ ก่อนจะจ้องกลับไปทางฉินอวี่อย่างเหน็บแนม ในสองสามวันที่ผ่านมา เขาได้ยินเื่ศิษย์ใหม่ที่ไม่ได้จุดตะเกียงกรรมมาอย่างหนาหู แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็คนเดียวกับที่ชิงลูกหมาป่าของเขาไป
นับั้แ่ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกได้ก่อตั้งที่นี่ขึ้นมา มีน้อยคนนักที่ไม่ได้จุดตะเกียงกรรม และคนเหล่านี้ล้วนต้องตายอย่างน่าอนาถภายในเวลาสามปี แต่นึกไม่ถึงว่าในครั้งนี้จะมีศิษย์ใหม่ที่ไม่ได้จุดตะเกียงกรรมขึ้นมาอีกคน และในตอนนี้ ศิษย์ใหม่คนนี้ได้ล่วงเกินน้องชายของจ้าวเฟิงอวิ๋น เกรงว่าครั้งนี้ตำนานก็คงจะเป็จริง คนผู้นี้คงมีชีวิตอยู่ไม่เกินสามปี
แต่ท่าทีของผู้ดูแลลี่ยังคงนิ่งขรึม เขาเหลือบมองไปทางฉินอวี่ และพูดขึ้น “เ้าชิงลูกหมาป่าของเขาไปหรือ?”
ฉินอวี่พูดด้วยสีหน้านิ่ง “ในตอนนั้นที่ข้าอยู่ในแดนสุสานอสูรได้พบกับลูกหมาป่าตัวหนึ่ง และศิษย์พี่ผู้นี้ก็เข้ามาสนใจพอดีเช่นกัน ดังนั้นจึงเกิดการวิวาทกัน ข้าเป็ฝ่ายชนะ ดังนั้นจึงเป็คนพาลูกหมาป่าไป ขอเรียนถาม ผู้ดูแลลี่ เมื่อเป็เช่นนี้จะนับว่าข้าชิงลูกหมาป่าของเขาหรือไม่?” ฉินอวี่พูดสื่อถึงชายหนุ่มคนนั้น ด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมไม่หยิ่งผยอง
“เช่นนี้นี่เอง พละกำลังสู้เขาไม่ได้ แต่กลับกล่าวว่าศิษย์ใหม่คนนี้ไปชิงลูกหมาป่าของเขา? สิ่งที่ไร้เ้าของ หากแข็งแกร่งกว่าก็ได้รับไป นี่เรียกว่าการแข่งขันมิใช่การปล้นชิง!” มีลูกศิษย์บางคนเริ่มทนไม่ได้ และอดไม่ได้ที่จะพูดออกไปอย่างเหยียดหยาม
“เ้า... ตอนนั้นก็เห็นชัดอยู่ว่าข้าเป็คนสนใจมันก่อน” ชายหนุ่มคนนั้นโต้กลับด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ฉินอวี่ไม่ได้สนใจจะตอบโต้ ได้แต่มองไปทางผู้ดูแลลี่
ผู้ดูแลลี่ขมวดคิ้ว หากเป็ไปตามที่ฉินอวี่กล่าวมา เช่นนั้นจะกล่าวว่าปล้นชิงมาได้อย่างไร? สัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่มีเ้าของ ย่อมเลี่ยงได้ยากที่จะเกิดการแข่งขัน ผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าย่อมมีสิทธิ์ได้ไปอย่างแน่นอน ทันใดนั้น ผู้ดูแลลี่ก็เหลือบมองจ้าวเจิ้นหย่วน และพูดขึ้น “เื่นี้เ้าเป็ฝ่ายผิด จงหยุดเสียเถอะ! หากใครกล้าลงมือในสำนัก ต้องถูกลงโทษด้วยกฎสำนัก”
จ้าวเจิ้นหย่วนนึกไม่ถึงเลยว่าผู้ดูแลลี่จะยืนอยู่ฝั่งฉินอวี่ ทำให้เขาไม่อาจจะทนต่อไปได้ เขาจ้องไปทางฉินอวี่อย่างเยือกเย็น และะโออกไป “หากไม่ส่งลูกหมาป่ามา สามวันหลังจากนี้ ข้าจ้าวเจิ้นหย่วนขอท้าประลองกับเ้าที่สถานที่ประลอง! เ้าต้องสำเหนียกไว้ด้วยว่าเ้ามันคนใกล้ตาย ส่งลูกหมาป่ามาให้ข้า ทุกอย่างก็เป็อันเลิกแล้วต่อกัน”
“คนใกล้ตายไม่ใช่คนแล้วหรือ? เขาไม่มีเกียรติหรือ? ในเมื่อเ้าอยากจะสู้ เช่นนั้นเลือกวันอย่างไรก็สู้วันที่เหมาะสมไม่ได้ เช่นนั้นก็สู้กันวันนี้เสียเลยเถอะ” ฉินอวี่แสร้งทำเป็รำคาญและพูดออกไปเหมือนโกรธจัด แต่ในใจคิดเอาไว้แล้วว่าจะเอาชนะจ้าวเจิ้นหย่วนด้วยหมัดะเิฟ้าที่ผสานกับพลังของอสุนีลึกลับ
เกิดความวุ่นวายขึ้นในบรรดาศิษย์ที่อยู่รอบด้านทันที เพราะนึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะกล้ารับคำท้า อีกทั้งประโยคนั้น... ‘คนกำลังใกล้ตาย’ ที่แสนคับแค้นใจ และสะกิดใจใครหลายคน แม้แต่ผู้ดูแลลี่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉินอวี่
“อย่าได้คิดว่าเป็น้องชายของจ้าวเฟิงอวิ๋นแล้วจะสามารถรังแกคนที่อ่อนแอกว่าได้ ขั้นปราณเสถียรระดับปลายคิดจะรังแกศิษย์ใหม่ ขั้นปราณเสถียรระดับต้นหรือ?” มีเสียงที่เ็าเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ฉินอวี่ถึงกับผงะ สายตาของทุกคนต่างจ้องมองไปยังร่างที่ค่อยๆ เดินออกมาจากฝูงชน
