ในหอคอยอาชาขาว
“ไม่ทราบว่าเย่โหวเหย่้าการชดใช้อะไรหรือ?” จางซานพิงเก้าอี้พลางมองเ่ิูกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม น้ำเสียงไม่ปิดบังความถากถางและเหยียดหยาม
ด้านหลังเขามีจ้าวหรูอวิ๋นที่ยืนภาคภูมิอย่างกับหอก ริมฝีปากยกขึ้นอย่างได้ที
เป็กลุ่มอันแข็งแกร่งของนายทัพจัดสรรฝ่ายพลาธิการ จ้าวหรูอวิ๋นได้ความชื่นชมจากหัวเรือใหญ่อย่างจางซานไม่ใช่ย่อย อีกทั้งยังเข้าใจนิสัยอารมณ์ของจางซานอย่างหมดจด จ้าวหรูอวิ๋นกระจ่างในใจนักว่ายามใดที่ใบหน้าของหัวหน้าเป็แบบนั้น ย่อมหมายความว่ามีคนกำลังจะซวยแล้ว
เขามองเ่ิูด้วยั์ตาเย็นเยียบ
เขารอเวลาที่เ้าเ่ิูจะซวยดังที่ว่า
อีกด้าน
เ่ิูยิ้มไม่แยแส
ราวกับว่าไม่ได้ยินคำยั่วยุจากปากของจางซาน หนุ่มน้อยตอบอย่างจริงจัง “สิ่งที่ข้า้านั้น ง่ายดายมาก ใครอยู่เื้ัการเล่นลูกไม้สกปรกทำร้ายคนของหอคอยอาชาขาว ใครทำก็จงยืดอกรับบทลงโทษตามกฎอัยการศึกเสีย และกองทัพยังคาดโทษการวางอุบายทำร้ายคนอื่นว่าเป็การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎอย่างร้ายแรง ไม่อาจละเว้นได้”
จางซานฟังคำแล้วก็หัวเราะร่า
จ้าวหรูอวิ๋นผู้ยืนอยู่ด้านหลังยิ้มเยาะเย้ย เขามองเ่ิูเหมือนมองคนปัญญาอ่อน
“แล้วถ้าหากว่าคนที่อยู่เื้ัลูกไม้สกปรกนั่นคือข้าเล่า?” จางซานวางขาพาดโต๊ะ โยกคลอนมันอย่างจองหอง สั่นโต๊ะทั้งตัวให้สั่นกุกกักๆ เขาก้มหน้ามองเ่ิู ลมปากนั้นมีความหยอกล้อแทรกมาด้วย
ั์ตาเ่ิูมองตรงไปยังดวงตาของจางซาน ไม่มีแม้เศษเสี้ยวความหวาดกลัว “แตกต่างกันด้วยหรือ?”
จางซานอึ้งเล็กน้อย ฉับพลันก็หัวเราะเหอะๆ “ท่านหมายความว่า หากคนๆ นั้นคือข้า ท่านก็จะให้ข้าไปรับบทลงโทษตามกฎอัยการศึกหรือ?”
“มีตรงไหนไม่ถูกหรือเปล่าเล่า?” เ่ิูหัวเราะผะแ่บ้าง “กระทั่งใต้เท้าลู่เฉาเกอที่เป็เทพาโยวเยี่ยน หากทำผิดกฎอัยการศึก ยังต้องรับสิ่งตอบแทนตามมา หัวหน้าจางทำไมจะทำไม่ได้กัน? หรือว่าหัวหน้าจางคิดว่าตัวท่านสามารถไม่เห็นหัวขั้นตอนทางกฎหมายอย่างนั้นหรือ?”
“โอหัง รนหาที่” จ้าวหรูอวิ๋นตวาดเกรี้ยวกราด
เ่ิูเงยหน้ามอง
ในแววตานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยามและไม่เห็นค่าเหมือนเป็ฝุ่นผง
จ้าวหรูอวิ๋นรู้สึกว่าตนพ่ายแพ้ราบคาบ โมโหและตะลึง
สายตาของเ่ิูมีความะเืที่น่ากลัวเหลือเกิน มีความหมายโดยนัยที่ทั้งตรงจุดและทิ่มแทงใจจ้าวหรูอวิ๋นอย่างจัง ความหมายนั้นคือเ้าเป็ใคร ถึงมีสิทธิ์มาพูดพล่อยๆ?
บรรยากาศเงียบงันเล็กน้อย
จางซานมองสีหน้าเ่ิูอย่างละเอียด ยืนยันให้มั่นใจว่าคนหนุ่มนี้ไม่ได้จงใจล้อเล่นเพื่อเอาใจมหาชนอะไรเทือกนั้น เขาถึงได้พยักหน้ากลั้วหัวเราะ
“ยังหนุ่มยังแน่นนี่ดีจริง ใจมีเืร้อนตลอดเวลา ทำเื่อะไรไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ความไม่ใส่ใจเหมือนไร้สมองเช่นนี้บางทีก็ทำให้คนอิจฉาเอาได้นะ แต่ว่า...เ้าหนุ่ม บางเื่ไม่ใช่ว่าจะใช้ความเืร้อนมาตัดสินได้นะ เด็กหนุ่มหัวรั้นเยี่ยงเ้า ข้าเห็นมามากแล้ว แต่สุดท้ายถ้าไม่กลายเป็ศพในสมรภูมิ ก็กลายเป็ขยะที่วันๆ ได้แต่หุบปากเงียบ”
เอ่ยถึงตรงนี้ จางซานก็เอาเท้าที่เคยวางไว้บนโต๊ะกลับเข้าที่
“ก็เหมือนกับโต๊ะตัวนี้ วัสดุที่ทำแข็งเกินไป ถ้าไม่อ่อนลงเสียหน่อย หากเจอแรงกดดันมากเข้าก็แหลกได้ง่ายดาย” ตามคำของเขา โต๊ะหินพลันสั่นไหวเล็กน้อย มันกลายเป็ฝุ่นผงขาวราวกับแป้งมันกองหนึ่ง ไม่รู้ถูกกำลังภายในของจางซานทำลายไปตอนไหน
ทักษะสูงล้ำเป็ที่สุด
กล่าวกันว่าผีกลุ้มจางซานนั้น ไม่เพียงเป็หัวหน้าฝ่ายพลาธิการเท่านั้น ยังเป็ผู้แข็งแกร่งพลังวรยุทธ์เลิศล้ำคนหนึ่งอีกด้วย ว่ากันว่าเมื่อสิบปีก่อนก็ก้าวเข้าอาณาทะเลระทมเรียบร้อยแล้ว
จ้าวหรูอวิ๋นเผยรอยยิ้มยินดีในความหายนะของผู้อื่น
เขาเกือบจะหัวเราะออกมาอยู่รอมร่อ
เห็นแล้วหรือยัง จุดจบของโต๊ะตัวนี้น่ะ
เฮอะๆ เ่ิู เ้าจะเอาอะไรไปสู้กับหัวหน้าจางได้กัน?
ครั้นจะเอ่ยเื่ตำแหน่งทางการทหาร คุณสมบัติและประสบการณ์ของเขาในด่านโยวเยี่ยน หัวหน้าจางเป็ผู้ทำทุกความดีความชอบมากมาย หากเอาวีรกรรมทั้งหมดของเขามาร้อยเรียงกันต้องร้อยเป็โซ่เกราะชุดหนึ่งได้อย่างแน่นอน แล้วเ่ิู เ้าเพิ่งมาด่านโยวเยี่ยนได้แค่สามเดือน มีคุณสมบัติอะไร? เ้ายังห่างชั้นนัก
ครั้นจะวัดกันที่พลังวรยุทธ์ หัวหน้าจางเข้าอาณาทะเลระทมั้แ่สิบกว่าปีที่แล้ว แต่เ้าเ่ิูเป็แค่คนอาณาน้ำพุิญญาเท่านั้น ห่างไกลจนไม่รู้จะห่างไกลอย่างไร
มาตรฐานวัดพลังสองข้อนี้เ้าล้วนน้อยกว่าท่านโข หากมิใช่เพราะเ้าดวงดี จับพลัดจับผลูถูกแต่งตั้งเป็ทหารวีรบุรุษต้นแบบ สร้างสถานการณ์ประกาศกันใหญ่โต มีความหมายพิเศษในการปกครองเสียหน่อย หัวหน้าจางจะมีแก่ใจมาคุยไร้สาระกับเ้าวันนี้ได้อย่างไร คงเรียกคนมามัดตัวเ้าแล้วเอาไปแขวนไว้บนเสาลงทัณฑ์ประจานสักสิบวันสิบคืนตั้งนานแล้ว ถึงเวลานั้นก็รอดูแล้วกันว่าเ้าจะยอมหรือไม่ยอม
เ่ิูมองผงหินสีขาวบนพื้น เขาเงียบงันไปพักหนึ่ง
ตอนที่จ้าวหรูหวิ๋นคิดว่าเ้าทูตถือดาบตรวจการณ์นายนี้โชคร้ายจนยอมแพ้แล้ว เ่ิูก็เปิดปากพูดขึ้นมา
“จ่ายมา” เขาว่า
“อะไรนะ?” จางซานชะงัก
เ่ิูตอบอย่างจริงจัง “เ้าทำลายโต๊ะข้าพัง จ่ายค่าเสียหายมา”
จางซานนิ่งอึ้ง
เขาลองใช้อำนาจข่มขู่ดูว่าทูตถือดาบตรวจการณ์คนนี้จะตอบโต้อย่างไร อย่างมากก็มีสองอย่าง ระหว่างเงียบและยอมจำนนหรือแข็งข้ออย่างสุดชีวิต แต่ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าเ่ิูจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา
จ่ายค่าโต๊ะ?
บ้าไปแล้ว?
นี่มันปัญหาของโต๊ะหรือไง?
ประเด็นหลักของบทสนทนาคือจ่ายหรือไม่จ่ายค่าโต๊ะหรือ?
จางซานคิดว่าเขาถูกล้อเลียนเข้าให้แล้ว
เขาเริ่มไม่พอใจน้อยๆ ยามจ้องเ่ิูเ้ากรรม
จางซานรู้สึกร้องไห้ไม่ออก
เขาคิดว่าทูตถือดาบตรวจการณ์อายุน้อยผู้นี้แสดงอาการแข็งกร้าวมาโดยตลอด รู้อยู่แก่ใจถึงนิสัยปกป้องพวกพ้องของตัวเขาแต่ก็ยังกล้าลงมือกับจ้าวหรูอวิ๋น บางทีคงไม่ใช่เพราะเหตุผลจำพวกเขามีนิสัยรักความยุติธรรมสุดโต่งหรอก แต่เป็เพราะเ้าเด็กนี่สมองมีปัญหาล้วนๆ
เ่ิูคนนี้ เป็โรคประสาท
สมองเขามีปัญหา ถึงได้แยกแยะหนักเบาไม่ออก
คนที่สมองปกติต้องไม่มีทางช่างหัวส่วนได้ส่วนเสีย แล้วกวนโมโหเขาเช่นนี้หรอก
จางซานหยิบทองคำบริสุทธิ์ก้อนหนึ่งออกมาจากในแหวนเก็บข้าวของของเขา แล้วโยนให้ที่เท้าเ่ิู เขาว่ากลั้วหัวเราะ “โต๊ะตัวเดียวมีค่าแค่ตำลึงเดียว ทองคำก้อนนี้มีค่าร้อยตำลึง ข้าให้เ้า ไม่ต้องไปหาแล้ว ที่เหลือก็เตรียมเก็บไว้เสีย วันไหนเกิดออกจากบ้านไปโขกไปชนอะไรเข้า หรือโดนใครกระทืบ ได้ซื้อยาต้มมาดื่มเสียบ้าง”
นี่เป็ความคุกคามอย่างน่าเกลียด
เ่ิูมองทองคำบริสุทธิ์ใกล้เท้า แล้วก็มองจางซานที่นั่งหัวเราะเย็นอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาพลันเกิดความรู้สึกชั่วแวบขึ้นมาว่า คนที่นั่งอยู่หน้าเขานี้ ไม่ใช่ชั้นหัวเรือใหญ่เปี่ยมคุณวุฒิและทรงอำนาจของกองทัพโยวเยี่ยน แต่เป็อันธพาลข้างถนนคอยรีดไถชาวบ้าน
คนๆ นี้มานั่งอยู่ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพลาธิการได้ ช่างน่าแปลกเสียจริง
คิดไปคิดมา เ่ิูแบมือกระตุ้นกำลังภายใน ฝ่ามือสูบมันเข้ามา
ทองคำลอยล่องมาในฝ่ามือเขา
ยามที่ถึงมือ เ่ิูกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แล้วการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทันใดนั้น กลิ่นอายความร้อนอย่างเหลือเชื่อก็ะเิออกมาจากทองคำนั้น ราวกับมือกำลังกำพระอาทิตย์ดวงเล็ก ความร้อนอันน่ากลัวกำลังจะละลายแขนเขาไปครึ่งท่อน
จางซานช่างเป็คนดีอะไรเช่นนี้ แอบเก็บพลังมืดเอาไว้ในทองคำนี้เสียด้วย
เ่ิูประหลาดใจเสร็จแล้วก็ไม่ส่งเสียงหรือขยับอะไร แต่กลับระดมกำลังเพลิงน้ำแข็งยอดยุทธ์
นิ้วทั้งห้าของเขามีแสงสีเงินเปราะบางกะพริบไหว
พลังงานมืดร้อนจนลวกในทองคำอันตรธานอย่างไร้ร่องรอย
“ขอบพระคุณท่านหัวหน้าจาง” เ่ิูยิ้ม เขาจิกเล็บลงบนทองคำ ตัดมันเละเหมือนหั่นเต้าหู้ ทำให้ทองคำก้อนน้อยๆ เหลือเพียงครึ่งเดียวแล้วจึงส่งคืน “ข้ารับแค่สิ่งที่ข้าควรรับ ไม่กล้ารับมากไปกว่านั้น หาไม่แล้วถ้าเกิดถูกใครใส่ความว่าลักเบี้ยหวัดทหารขึ้นมา ความผิดเช่นนี้ข้าคงรับไว้ไม่ไหว”
ทองคำกลายเป็แสงโค้งพุ่งสู่หน้าจางซาน
“โอหัง เ้าสวะหาเื่ตาย!”
จ้าวหรูอวิ๋นทั้งโกรธทั้งตะลึง เ่ิูนี่อยากตายชัดๆ กล้าไร้มารยาทโยนของใส่หน้าหัวหน้าจาง การกระทำเช่นนี้ต่อให้เป็ผู้บัญชาการทัพทั้งสี่ยังไม่กล้าทำเลย
เขาย่างสามขุมเข้าไปก้าวหนึ่ง เหยียดแขนจะคว้าทองคำนั่นไว้
มือตะครุบออกไป ทองคำก็อยู่ในอาณัติ
“เ้าสวะ เ้าสมควรตายเป็หมื่นๆ ครึ่ง” จ้าวหรูอวิ๋นสาปส่งด้วยโทสะ มีจางซานอยู่ข้างๆ เขาไม่มองเ่ิูอยู่ในสายตาทั้งนั้น
แต่ว่า ยังไม่ทันพูดประโยคนี้จบ เขาก็รู้สึกถึงความเย็นะเืะเิอยู่กลางฝ่ามือ
เขาก้มหน้ามอง สีหน้าพลันแตกตื่นอย่างยากจะยับยั้ง
เพียงเห็นน้ำค้างแข็งสีเงินอ่อนะเิและลุกลามอยู่ในมือเขา แช่แข็งเขาไปครึ่งแขน น้ำค้างแข็งสีเงินนี้น่ากลัวยิ่งนัก ทุกที่ที่มันเฉียดผ่าน ส่วนนั้นไร้ความรู้สึก อยากจะกระตุ้นพลังภายในต่อต้านความเย็นนั้น แต่กลับพบว่าพลังภายในตรงส่วนแขนใช้การไม่ได้แล้ว
“อ๊าก”
จ้าวหรูอวิ๋นร้องลั่นอย่างตระหนก
พริบตาเดียว น้ำค้างแข็งสีเงินก็ลุกลามจนถึงไหล่ของเขาแล้ว
จางซานเห็นท่าไม่ดีจึงส่งเสียงฮึเบาๆ แล้วเงื้อมือประทับบนไหล่จ้าวหรูอวิ๋นเบาๆ
กระแสอุ่นๆ ไหลเข้าไปในร่างกายจ้าวหรูอวิ๋น ต่อต้านไอเย็นจากน้ำค้างแข็งสีเงิน
ครั้นเห็นจางซานลงมือ จ้าวหรูอวิ๋นก็สบายใจแล้ว
ทว่ารวดเร็วนัก ด้านหลังเริ่มมีเสียงใดังมา
“เอ๋?”
จางซานที่เคยมีสีหน้าดูถูกและสบายอารมณ์พลันฉายแววประหลาดใจ มือข้างที่ตบลงบนไหล่จ้าวหรูอวิ๋นไปตามเื่สั่นะเืเล็กน้อย จากนั้นจึงเบ่งบานเป็แสงสีส้มทิ่มตา พลังความร้อนอันน่ากลัวที่สุดะเิออก
พริบตาต่อมา น้ำค้างแข็งสีเงินบนไหล่จ้าวหรูอวิ๋นก็ค่อยๆ หายไป
จ้าวหรูอวิ๋นผ่อนคลายลงได้บ้าง
“เ้าสวะ ทำเป็เก่งใช่ไหม? แค่ตัวตลกวิ่งเต้นไปทั่วยังไม่สำเหนียกพลังตัวเองอีก” เขาด่าไปฉอดหนึ่ง ในมุมมองของเขา มีจางซานลงมือเอง การฝึกฝนจุดนั้นของเ่ิูล้วนไม่มีค่าพอให้เป็ปัญหา
ทว่าเขามองไม่เห็นเลยว่า นิ้วทั้งห้าของจางซานนั้นยังมีน้ำค้างแข็งสีเงินจางๆ ที่ยังไม่หายไป
จ้าวหรูอวิ๋นหันกายอย่างเคารพ เขาหยิบทองคำครึ่งก้อนในมือมอบให้จางซานที่อยู่ด้านหลัง
จางซานรับเอาทองคำมา
สีหน้าของเขาแอบซ่อนความตื่นตระหนกที่ยากจะมองเห็นได้ เขาหนีบทองคำไว้ในมือแล้วเล่น ครู่ต่อมาถึงพยักหน้าแล้วเอ่ย “น่าสนใจใช่ย่อย ข้ากลับดูเบาเ้าเกินไป มิน่าเล่าถึงกล้าอหังการถึงเพียงนี้”
เ่ิูยิ้มบาง
“ดูเหมือนวันนี้เราจะตกลงกันไม่ได้ใช่ไหม?” จางซานกลับไปวางสีหน้าทระนงและองอาจเช่นเดิม เขาจ้องเ่ิูตรงๆ แล้วเสริมต่อ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เย่โหวเหย่้าเป็ปรปักษ์กับฝ่ายพลาธิการของข้าใช่หรือไม่?”
“ข้าเพียง้าการชดใช้เท่านั้น” เ่ิูเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ง่ายแค่นี้ หอคอยอาชาขาวของข้าควรได้รับมัน”
จางซานตอบ “อยากได้การชดใช้ ก็จงจ่ายราคามาเสีย”
“ราคาหรือ?” เ่ิูชี้ฝุ่นผงสีขาวกลุ่มนั้นบนพื้นห้อง เขาว่า “โต๊ะของข้า หากไม่แข็งพอ แล้วจะวางของอะไรไว้้ามันได้ไหม? จับนิดจับหน่อยก็อ่อนเสียแล้ว นั่นไม่ใช่วิสัยของโต๊ะ ของพรรค์นั้นไม่ควรเรียกว่าโต๊ะ ดังนั้นมันถึงได้กลายเป็ผุยผงอยู่ใต้แทบเท้าหัวหน้าจาง แต่ไม่ใช่บิดเบี้ยวจนกลายเป็โคลน”
เอ่ยถึงตรงนี้ เ่ิูก็ปรายตามองจ้าวหรูอวิ๋น เขาเอ่ยอย่างมีนัย “มีคนเลือกยอมเป็โคลนที่จะขยำอย่างไรก็ได้ แต่ข้ายินดีจะเป็โต๊ะที่แหลกแต่ไม่เบี้ยว”
จ้าวหรูอวิ๋นหน้าแดงจัดเหมือนละเลงด้วยเืหมู