เฟิงหลิงซ่านส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มบางเบามองมาที่ฉัน “เธอชื่ออะไร”
ฉันซึมไปเล็กน้อยท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาปีศาจเหล่านี้ฉันดูไร้ตัวตนจริงๆ ด้วยสินะจนถึงตอนนี้ถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าต้องถามชื่อฉันสรุปแล้วเื่ที่มาช่วยฉันไว้ก็เป็แค่เื่บังเอิญจริงๆ สินะมันก็เหมือนกับการเก็บขวดพลาสติกโยนลงถังขยะนั่นแหละยังไม่ได้มองให้ชัดเลยว่ามันเป็ขวดโค้กหรือว่าขวดเป็ปซี่หรือว่าถ้วยบะหมี่
ฉันกระตุกยิ้ม “ฉันชื่ออะไรก็ช่างมันเถอะฉันว่าฉันน่าจะอยู่ไม่นาน” ฉันมองดูพวกภูตผีไหนจะยังพวกงูพวกเทพที่อยู่บนเครื่องบินลำนี้ แล้วยังมีนายฝูซูที่บินมานั่นอีกนี่ฉันคงไม่ได้ฝันไปหรอกนะ
และแล้วเครื่องบินก็ค่อยๆ โน้มตัวเครื่องลงคล้ายกับกำลังจะร่อนลงและในตอนนั้นนั่นเองที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าตลอดทางที่นั่งมานั่นไม่มีแอร์โฮสเตสแม้กระทั่งเสียงประกาศของกัปตันก็ไม่มีเหมือนกับว่าเครื่องบินลำนี้มันขับเคลื่อนไปเอง ประหลาดมาก
“ชิ ทำเป็เล่นตัวทำเป็มีลับลมคมใน” ฝูซูตวัดสายตามองฉันและหัวเราะเบาๆ
“ผู้หญิงแบบเธอเนี่ยฉันเห็นมาเยอะแล้ว ก็แค่พวก้าดึงดูดความสนใจจากคนอื่น”
ฉันมองเขาด้วยหางตาแววตาคมฉายแววความเยือกเย็นขึ้นมาในทันที ทำไม นายใช้หางตามองฉันได้ฉันจะทำกลับบ้างไม่ได้รึไง นายอย่าคิดว่านายบินได้แล้วฉันจะกลัวนายนะ
ฉันหันหน้ากลับมา ไม่อยากสนใจพวกเขาเฟิงหลิงซ่านตบที่ไหล่ของฉันเหมือนกับรุ่นพี่กำลังตักเตือนฉันด้วยความหวังดี “ใกล้จะถึงแล้ว อย่าลุกเดินไปมาหลังลงจากเครื่องก็ตามฉันมา”
ฉันไม่พูดอะไรและเขาก็ไม่ได้กลับไปนั่งที่เดิมแต่กลับนั่งลงข้างๆไป๋อิ่งแทนแล้วยังจะหันมามองฉันด้วยสายตาที่เป็ห่วงอีกราวกับเป็รุ่นพี่ที่แสนจะใจดี
แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินลำนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไปฉันไม่กล้าเชื่อใจใครอีกแล้ว
ฉันมองดูโทรศัพท์ของตัวเองมองดูรูปฝูซูที่เพิ่งถ่ายไปก่อนหน้านี้ ลบทิ้งไปเลยดีกว่าถ้าเก็บไว้คงถูกคนหลงตัวเองอย่างฝูซูคิดว่าฉันชอบเขาแน่ๆ
ผู้ชายที่หยิ่งยโสแบบนี้ฉันเกลียดที่สุดเลย
“เธอ...ไม่กลัวฉันเหรอ” เสียงเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆ เอ่ยขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ฉันหันกลับไปมองและทันทีที่หันไปหน้าฉันก็ปะทะเข้ากับใบหน้าของงูเป็สิ่งแรกเ้างูตัวนั้นนั่นเองเด็กหนุ่มคนนั้นพูดกับฉันและจ้องมองฉันด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ไม่ต้องกลัวนะเสี่ยวไป๋ไม่ทำร้ายใครหรอก” เขาพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆโดยที่ยังคงหลบอยู่ข้างหลังงูขาวตัวนั้นเสียงแหบทุ้มเล็กๆ นั้นฟังดูเหมือนกับเสียงวัยรุ่นที่กำลังเข้าสู่่เสียงแตกหนุ่ม
ในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งจะได้เห็นเขาชัดๆเขามีผมสีขาวและเพราะว่าเขาอยู่กับงูหลามขาวอีกทั้งยังหลบอยู่ข้างหลังมันอีกทำให้ผมสีขาวของเขาไม่เป็ที่สะดุดตาฉันเห็นชุดที่เขาสวมใส่มาก่อนหน้านี้แล้วเป็ชุดรำไทเก๊กสีดำที่พวกคุณปู่คุณตาใส่แต่ชุดนั้นกระชับเข้ารูปไปกับเอวของเขามากกว่ายิ่งทำให้เขาออกแนวเป็ชายหนุ่มผู้กล้าหาญตามแบบหนุ่มตะวันตกไปเลยแต่น่าเสียที่เขาดูขี้กลัวอยู่ตลอดเวลาทำให้สิ่งนี้กลบความกล้าหาญของเขาไป
ฉันมองไปที่งูขาวตัวนั้นก่อนจะมองซ้ายมองขวาก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ “ฉันจะบอกความลับให้นายฟังอย่างหนึ่ง จนถึงตอนนี้ฉันยังคิดว่าฉันฝันอยู่เลย”
ร่างที่หลบอยู่ข้างหลังงูขาวตัวใหญ่หันหน้ากลับมาด้วยความกลัวอยู่นิดๆเผยให้เห็นดวงตาสีดำที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยผมหน้าม้ายาว “เธอ...ไม่เคยเจอพวกเรามาก่อนเหรอ”
“ฉันก็ไม่รู้” ฉันงงอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็เจอเด็กหนุ่มที่ดูๆไปแล้วก็น่าจะเป็เด็กดีอยู่ ก็อดที่จะพูดออกมาไม่ได้ “ปีนี้คะแนนสอบเข้ามหาลัยฉันไม่ค่อยดีฉันยังคิดอยู่เลยว่าจะต้องได้ไปเรียนขับรถขุดดินที่หลันเซียงหรือไม่ก็ซินตงฟางซะแล้วแต่แล้วก็มีผู้ชายชุดดำสองคนโผล่มาที่บ้านแล้วก็ส่งฉันมาที่นี่จากนั้นฉันก็เห็นแต่คนที่ทำตัวแปลกๆไหนจะยังมีนายฝูซูคนนั้นที่เหยียบกระบี่บินมานั่นอีกโชคดีนะที่ได้เห็นอะไรขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย ก็เลยไม่ได้ใอะไรมากมายเพราะงั้นนะ เท่าที่ฉันมองดูอีกรอบ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่างูของนายยังดูปกติมากกว่าอีก”
เขาพยักหน้าอยู่ด้านหลังงูใหญ่นั่นเบาๆยิ้มขึ้นมานิดๆ “ขอบคุณนะครับพี่สาวน้อยคนที่จะเข้ามาคุยกับผมมากขนาดนี้ เพราะว่า...ผมมันแย่มากเป็แค่เศษขยะในมหาลัยเทพและปีศาจแห่งนี้เท่านั้นแหละ ปกติแล้วไม่มีใครยอมพูดกับผมหรอก”
“มหาลัยเทพและปีศาจ!” ฉันแทบหยุดหายใจ "ถ้ามันเป็เื่จริงงั้นฉันพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วละ แต่ว่าทั้งๆ ที่ฉันเป็แค่คนธรรมดาแล้วทำไมฉันถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ทั้งหมดนี่มันคือเื่จริงงั้นเหรอ" ฉันยังไม่อยากจะเชื่อจนต้องหยิกตัวเองหนึ่งที โอ้ย เจ็บชะมัด
ฉันกัดฟันกลั้นเอาไว้นี่มันไม่ใช่ความฝัน
ซวยแล้ว
นี่มันไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย
ถ้างั้นผีกองกอยตัวนั้นก็ของจริงนะสิ
นายกวางเฉินคนนั้นก็อาจจะเป็แวมไพร์ดูดเืจริงๆ
ผู้หญิงที่ชื่อหงรื่อคนนั้นก็อาจจะฆ่าคนได้จริงๆ
พวกตราคำสาป กระบี่เหรียญเงินแล้วก็กริชพวกนั้นทั้งหมดนี่มันคือเื่จริง
นี่ฉันเข้ามาในโลกลึกลับอีกโลกหนึ่งงั้นหรือเนี่ย
ฉันรู้สึกตัวขึ้นอย่างตื่นใขากรรไกรค้างไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยสมองของฉันเริ่มรู้สึกสับสนเหมือนกำลังจะะเิรู้สึกเหมือนว่าโลกนี้กำลังแตกสลายและในที่สุดจิติญญาทั้งหมดของฉันก็โดนทำลายลงนี่ฉัน ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแล้วหรือเนี่ย
“ผมชื่อซืออีนั่วพี่สาวชื่ออะไร”
เสียงเรียกที่อบอุ่นนั้นทำให้ฉันได้สติกลับมาหลังจากที่สมองผ่าน่เวลาโกลาหลนั้นมาได้ฉันก็ค่อยๆ ยอมรับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นและตอบกลับไปอย่างเรียบนิ่ง “ฉันชื่อเซี่ยเสี่ยวหลัน” ในตอนที่ฉันกำลังพูดหัวของเ้างูขาวตัวนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นก่อนที่จะเอาหัวถูเข้ากับใบหน้าของฉันผิวของมันเย็นเย็น สบายจัง
ฉันก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่างูตัวใหญ่ขนาดนี้ฉันก็ยังไม่กลัวหรือว่าฉันจะเป็ทอม
“แฮะแฮะ...” ซืออีนั่วหัวเราะอย่างขลาดกลัวอยู่ด้านหลังเสี่ยวไป๋ “ดูเหมือนว่าเสี่ยวไป๋จะชอบพี่สาวเข้าแล้ว”
ตอนนี้ฉันไม่กลัวอะไรแล้วขอแค่ไม่ใช่เ้าผีกองกอยนั่นตัวอะไรจะชอบฉันก็ชอบเถอะ
“ดูสิ ถึงแล้ว” ซืออีนั่วชี้ออกไปที่นอกหน้าต่าง ฉันชะโงกหน้ามองออกไปและก็ต้องตะลึงตาค้างในทันที
เครื่องบินยังไม่ได้ร่อนลงเพราะยังอยู่ท่ามกลางกลุ่มก้อนเมฆและสิ่งที่ฉันเห็นมันคือ เมืองโบราณเมืองหนึ่งที่ใหญ่มาก
เมืองที่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้านี้ดูคล้ายกับเมืองโบราณกำแพงเมืองเป็ประติมากรรมที่ทำขึ้นจากหยก ทางเดินมีหลังคาปกคลุม แต่ว่าก็ยังคงมีลิฟต์ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานรถยนต์บินได้และมีความทันสมัยถึงแม้ว่าบางส่วนจะเป็เครื่องมือเทคโนโลยีที่ทันสมัยบวกกับความโบราณแต่กลับยิ่งทำให้เมืองนี้มีกลิ่นอายของความเป็จีนโบราณผสานไปกับความทันสมัยอย่างลงตัวทั้งตื่นตาตื่นใจและประทับใจมาก
เครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆจอดนิ่งสนิทที่ปลายทางเดินสะพานที่ทอดยาว และไม่ได้มีแค่เครื่องบินลำนี้เท่านั้นแต่บริเวณทั้งด้านหน้าด้านหลังนี้ก็ยังมีรถยนต์บินได้รูปทรงแปลกๆ หลากหลายชนิดจอดรวมอยู่ด้วย
แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
ตอนนี้ฉันรู้สึกตื่นเต้นแทนที่จะสงสัยแล้วฉันไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็อะไรน่าสนุกขนาดนี้เที่ยวสักรอบก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที
เมื่อเครื่องบินจอดสนิทฉันก็คว้ากระเป๋าวิ่งออกไปทันทีฉันไม่รอนายเฟิงหลิงซ่านคนลึกลับนั่นแล้ว ถึงเขาจะดูใจดีชอบช่วยเหลือคนแต่พอฉันเห็นว่าเขากับฝูซูมีบางอย่างไม่ปกติอีกทั้งฉันยังเป็เด็กใหม่ฉันก็ไม่อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในาแปลกประหลาดของพวกเขาหรอกนะ
ถ้าเป็ผู้ชายปกติตีกันหรือทะเลาะกันอย่างมากสุดก็โยนโต๊ะเรียนโยนเก้าอี้ใส่กัน แต่ที่นี่มันเป็มหาลัยเทพและปีศาจผีอะไรก็มี สัตว์อะไรก็มี ถ้าเกิดพวกเขาตีกันขึ้นมาฉันจะไม่โดนเผาเลยหรือ
คิดไปแล้วก็รู้สึกกลัวสรุปแล้วทำไมฉันถึงได้มาที่นี่นี่เป็เื่ที่ฉันต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนซะก่อน
ฉันรีบวิ่งลงมาจากเครื่องบินและยืนอยู่บนสะพานด้วยความตื่นเต้นฉันชะโงกหน้ามองลงไปข้างล่างด้วยความระมัดระวัง ทะเลหมอกที่ทอดยาวออกไปไกลอีกทั้งก้อนเมฆที่กลิ้งไปมาอยู่ใต้เท้าของฉันฉันอยากจะะโออกมาจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ามันจะดูปัญญาอ่อนเกินไป
ทนไว้ทนไว้ก่อนหน้านี้อยู่บนเครื่องก็ขายหน้าพอแล้ว แล้วที่นี่ก็ยังแปลกๆ อีก และทั้งๆ ที่อยู่บนท้องฟ้าสูงขนาดนี้แต่ฉันไม่รู้สึกถึงความกดอากาศความเย็นหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายมนุษย์ในขณะที่อยู่สูงเป็หมื่นฟุตเลยแต่อากาศภายนอกกลับบริสุทธิ์แถมค่าของฝุ่น pm2.5 ยังไม่เกินมาตรฐานอีกด้วย
ฉันมีความรู้สึกเหมือนว่าฉันจะเมาอากาศบริสุทธิ์นิดหน่อยแล้วนะเนี่ย~
“เหอะ สวยมากเหรอ” จู่ๆ เสียงฝูซูก็ดังขึ้นมาทางด้านหลังของฉัน ฉันไม่ตอบเขาแต่ทันใดนั้นร่างทั้งร่างของฉันก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมาฉันเห็นรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัยของเขา “งั้นเธอก็มองซะให้พอ”
“เอ๊ะ” ยังไม่ทันรู้ตัวร่างทั้งร่างก็ถูกเขาโยนออกจากอ้อมแขนตกลงไปในกลุ่มเมฆด้านล่างใบหน้าหล่อร้ายของฝูซูห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ฉันใจนร้องออกมาสุดเสียง
“กรี๊ดดดดดด”
ฉันเห็นสายตาของฝูซูที่ยืนมองฉันจากบนสะพานด้วยแววตาดูถูกดูแคลนเหมือนฉันเป็ผู้หญิงที่ชอบเสแสร้งเพียงเพื่อจะได้รับความสนใจจากเขา
ไอ้ผู้ชายห่วยแตก
“กรี๊ดดดดดดดด”
ตุบ ฉันตกลงมาใส่รถคันหนึ่ง ฉันรีบลุกขึ้นยืนด้วยความใทั้งร้องะโทั้งลูบคลำตัวเอง “กรี๊ดดดดด กรี๊ดดดดดกรี๊ดดดดด” ทันใดนั้นฉันก็หันไปเห็นคุณลุงคนขับรถที่อยู่ข้างๆฉันใจนพูดไม่ออกได้แต่ร้องะโ “กรี๊ดดดดดดดด”
“เสียงดังชะมัด” เสียงเ็าเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลังฉัน ฉันเงียบเสียงลงกลายเป็คนใบ้ไปในทันที
“สาวน้อย นั่งลงดีๆเถอะ” คุณลุงคนขับรถเอ่ยเตือนฉันยิ้มๆฉันรีบนั่งลงอย่างตื่นตระหนกกอดตัวเองเอาไว้พยักหน้าอย่างตื่นกลัว “ขะ ขอบคุณค่ะคุณลุง”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกทุกครั้งที่เปิดเทอมใหม่ก็มักจะมีผู้หญิงไม่คนก็สองคนตกลงมาในรถคุณชายของเราประจำแหละ”
“เอ๊ะนี่คุณลุงหมายความว่าฉันตั้งใจงั้นเหรอ” ฉันโกรธจนลืมความกลัวขึ้นมาในทันที “ตกลงแล้วที่นี่มันคือมหาลัยบ้าบออะไรกันแน่ทำไมแต่ละคนถึงได้คิดว่าตัวเองดีเลิศขนาดนั้นวันแรกที่ฉันมาเรียนก็ต้องเจอกับแวมไพร์ที่้าตัวฉัน หลังจากนั้นยังจะต้องมาเจอกับคนหยาบคายอย่างฝูซูที่คิดเองเออเองว่าฉัน้าที่จะดึงดูดความสนใจจากเขาถึงได้จับฉันโยนลงมาจากข้างบนนั้น นี่ลุง ฉันเป็แค่คนธรรมดาลุงมองไม่ออกหรือว่าฉันเป็แค่คนธรรมดาจริงๆฉันไม่เหมือนทุกคนที่นี่ที่จะได้เหยียบกระบี่แล้วบินไปบินมาได้นะ”
“หุบปาก” เสียงเ็านั้นดังขึ้นมาอีกครั้งฉันหันกลับไปมองด้วยความโมโหแต่กลับต้องเงียบเสียงลงอีกครั้ง
ฉันเห็นผู้ชายในชุดเสื้อเชิ้ตยาวสีขาวลายันั่งอยู่ข้างหลังอย่างเ็าคิ้วคมแววตาเยือกเย็น หางตาเรียวยาวผมยาวที่ไม่ได้ไถข้างของเขาบวกกับแว่นกันแดดที่ทันสมัยยิ่งทำให้เขาดูดื้อดึงปฏิเสธผู้คน ริมฝีปากบางที่เม้มเข้าหากันนิดๆ ยิ่งทำให้เขาดูเย็นช้าและเย่อหยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม
เสื้อเชิ้ตยาวที่อยู่บนตัวเขามองดูแล้วคล้ายชุดโบราณแต่ปกเสื้อกลับออกแบบได้อย่างโดดเด่นทันสมัยลายัที่อยู่บนเสื้อเชิ้ตขาวยิ่งทำให้มันดูมีชีวิตชีวาราวกับมันมีชีวิตเหมือนกับมีัออกมาจากตัวเขา
มองจากปกคอเสื้อลงมาจนถึงกระดุมที่เรียงเป็แถวยาวทำให้ฉันเกิดความรู้สึกว่าอยากจะเข้าไปปลดกระดุมนั้นออกทีละเม็ดกระดุมแบบนี้นี่มันล่อตาล่อใจมากเลยนะเนี่ย
เขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเ็ายกขาไขว่ห้างอีกมือถือหนังสือไม่สนใจมองสิ่งรอบข้างสีหน้าเรียบนิ่งสุขุมเหมือนกับเ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ตามสมัยโบราณแต่ผมตรงยาวสีดำของเขากลับยิ่งทำให้ผู้คนละสายตาออกไปไม่ได้เขาเหมือนกับหัวหน้าแก๊งอันธพาลไม่มีคำพูดหรือเสียงหัวเราะออกมา ทำให้คนที่เห็นเกิดความเกรงกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้เขา