หนังสือในห้องสมุดมหาวิทยาลัยซางตูมีประโยชน์มากแน่นอน หลิวหย่งศึกษาจนไม่เป็อันกินอันนอนทุกวัน
แต่เอกสารตัวอักษรแสนน่าเบื่อพวกนั้นจะเทียบกับภาพสีได้อย่างไรเล่า!
เนื่องจากเซี่ยเสี่ยวหลานเคยเจอตัวอย่างการตกแต่งภายในด้วยตาตัวเองจากอนาคตนับครั้งไม่ถ้วน และเธอเองก็เคยตกแต่งบ้าน ในอาชีพและชีวิตประจำวันของเธอมีตัวอย่างจริงแสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้ามากมายตลอดเวลา โรงแรมที่เธอเคยพัก หรือห้างสรรพสินค้าที่เคยเดินเล่น ร้านกาแฟที่เคยแวะซื้อกาแฟ... มีสถานที่ที่ไม่ตกแต่งอยู่น้อยมาก ความทรงจำของเธอเคยพบการตกแต่งภายในมามากมาย ทั้งเธอยังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการตกแต่งภายในของประเทศจีนั้แ่หลังยุค 90 เป็ต้นไปด้วย ถึงเธอจะไม่ได้เรียนอะไรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบภายใน แต่หลับตาก็สามารถรู้ได้ว่าบ้านหนึ่งหลังควรจะตกแต่งอย่างไร
ทว่าหลิวหย่งนั้นไม่ใช่
พื้นเพของเกษตรกร มีประสบการณ์ด้านการตกแต่งภายในจริงๆ จังๆ น้อย ปัจจุบันวิธีการส่งต่อข้อมูลรูปภาพและตัวหนังสือก็ล้าหลังอีก ให้เขาจินตนาการจากความว่างเปล่านั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน
เมื่อมีนิตยสารตกแต่งภายในพร้อมภาพประกอบสีสัน ถือเป็การช่วยชีวิตหลิวหย่งจากความทุกข์ยากสาหัสเลยทีเดียว
เขาได้นิตยสารพวกนี้มายังดีใจมากกว่าได้รับกระเป๋าเอกสารที่เซี่ยเสี่ยวหลานให้เสียอีก เซี่ยเสี่ยวหลานจะลากเขาไปร้านตัดเสื้อเพื่อสั่งตัดสูท หลิวหย่งยังเกรงว่าจะเสียเวลา หลี่เฟิ่งเหมยเองก็ไม่เข้าใจ
“ลุงของหลานสภาพนั้นตัดสูทอะไรกันเล่า ถ้าจะใส่สูท หยิบในร้านสักสองชุดก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าชุดสูทในร้านไม่เหมาะ “ถ้าลุงทำบ้านของคังเหว่ยได้ดี ก็จะได้คำสั่งงานอื่นๆ ในปักกิ่ง การแต่งกายจะต้องทำให้ผู้คนเชื่อมั่นว่าลุงมีความสามารถ”
หลิวหย่งโดนลากไปที่ร้านตัดเสื้อ
แน่นอนว่าไม่ใช่ร้านที่เซี่ยเสี่ยวหลานเคยเช่าเตารีดนั่น ร้านตัดเสื้อของซางตูมีอยู่ถมเถไป ขอแค่จ่ายเงินไหว ทั้งยังมีผ้าคุณภาพดีอีกด้วย
เพียงแต่เซี่ยเสี่ยวหลานรีบเร่งด้านเวลา ทำเอาเถ้าแก่ร้านตัดเสื้อรู้สึกหนักใจไม่น้อย
สำหรับคนเปิดร้านทำธุรกิจแล้ว ไม่มีความยากเย็นใดที่ต้าถวนเจี๋ยพิชิตไม่ได้ หากมี ก็คงเป็เพราะให้ต้าถวนเจี๋ยไม่มากพอน่ะสิ! ในเมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เสียดายต้นทุนการผลิต ทางร้านตัดเสื้อจึงตกลงรีบผลิตสูทสองชุดให้หลิวหย่งภายในสามวัน อีกทั้งเซี่ยเสี่ยวหลาน้าให้ชุดสูทพอดีตัว ไม่้าแขนเสื้อยาวคลุมหลังมือ และไม่้าขากางเกงกองยับยู่ยี่ที่ข้อเท้าด้วย
ใส่ฟองน้ำเสริมไหล่ได้เล็กน้อย แต่อย่าเกินงาม
โดยสรุปแล้วชุดจะต้องเหมาะสมกับสรีระของหลิวหย่งพอดี เซี่ยเสี่ยวหลานกล่าวกับช่างตัดเสื้อดังนี้
“สำหรับขนาดของสูท ด้านในจะใส่เพิ่มได้แค่เสื้อมีปกกับเสื้อกั๊กไหมพรมเท่านั้น ห้ามหลวมมากกว่านี้แล้ว!”
แน่นขนาดนี้เชียว?
ทุกวันนี้ไม่มีใครตัดชุดสูทแบบนี้หรอก
ใส่สูทในฤดูหนาวต้องสวมเสื้อไหมพรมเพิ่ม ตัดสูทขนาดเล็กเช่นนั้น หากอ้วนท้วนขึ้นนิดหน่อย หรืออากาศหนาวจนอยากเพิ่มเสื้อด้านในสักตัว มิใช่ว่าติดกระดุมไม่ได้หรือ?
ช่างตัดเสื้อขมวดคิ้วยู่ยับ เขากำลังหน่ายใจที่จะสื่อสารกับลูกค้าผู้ไม่เข้าใจวิชาชีพโดยสิ้นเชิง
ทว่าลูกค้าผู้ไม่เข้าใจวิชาชีพคนนี้ท่าทางไม่ติดขัดเื่เงิน เลือกผ้าราคาแพงที่สุด ให้ค่าแรงเป็สองเท่า ช่างตัดเสื้อจึงจดขนาดตามที่เซี่ยเสี่ยวหลานแจ้ง และเน้นย้ำหลายต่อหลายครั้งว่าถ้าตัดเสื้อออกมาไม่สวยงามจะไม่รับคืน
ขนาดชุดขี้งกยิ่งนัก หลิวหย่งรูปร่างก็ไม่สูงเสียด้วย สูทที่ตัดออกมาในลักษณะนี้ไม่เหมาะสำหรับให้คนอื่นสวมใส่ ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่รับสินค้า ร้านตัดเสื้อก็หาผู้ซื้อรายอื่นไม่ได้
“ฉันไม่คืนสินค้าแน่นอนค่ะ รบกวนคุณแล้ว”
ได้ คนจ่ายเงินว่าอย่างไรก็อย่างนั้น
หลังออกจากร้านตัดเสื้อ คนหน้าใหญ่ใจโตเสมออย่างหลิวหย่งยังรู้สึกเสียดายเงิน เขาคิดว่าเสื้อผ้าที่ขายในร้านตนเองถือว่าราคาแพงมาโดยตลอด ไม่คาดคิดว่าซางตูจะมีร้านตัดเสื้อหน้าเืขนาดนี้ สูทหนึ่งชุดสองร้อยกว่าหยวน เซี่ยเสี่ยวหลานสั่งให้เขาสองชุด จ่ายไป 500 กว่าหยวน! หลิวหย่งจะปล่อยให้หลานสาวออกเงินส่วนนี้ได้อย่างไร เป็เขาเองที่จ่ายเงินออกไป
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง หลิวหย่งจึงประหม่าต่อปักกิ่งไม่ได้
เขาไม่เคยไปปักกิ่ง มีความรู้สึกยำเกรงให้กับเมืองหลวงเป็ธรรมดา กลัวว่าตนเองซึ่งเป็คนจากสถานที่ต่ำต้อยจะทำขายหน้าในปักกิ่ง เลยไม่คัดค้านการตัดสูทแพงระยับขนาดนี้ หลิวหย่งยังมีความกังวลอีกอย่างหนึ่ง คังเหว่ยสนิทสนมกับโจวเฉิงมาก ครอบครัวย่อมรู้จักซึ่งกันและกัน ถ้าเขาเสียหน้าต่อหน้าคนตระกูลคัง ก็ไม่ต่างอะไรจากเสียหน้าต่อหน้าคนตระกูลโจว!
จะทำให้หลานสาวเขาขายขี้หน้าไม่ได้ หลิวหย่งจำต้องอกผายไหล่ผึ่ง
“พวกเราจองตั๋วเมื่อไร หลานจะไปด้วยจริงหรือ? ลุงว่าหลานทบทวนบทเรียนอยู่บ้านก็ได้ เหลืออีก 4 เดือนก็ใกล้สอบเกาเข่า...”
บ้านของคังเหว่ยจะตกแต่งอย่างไร?
หลิวหย่งได้รับนิตยสารตกแต่งภายในส่วนหนึ่งแล้วก็จริง อย่างเก่งที่สุดไม่พ้นวาดน้ำเต้าตามแบบอยู่ดี [1]
เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายหน้า “ฉันจะแวะไปดูโจวเฉิงเสียหน่อยน่ะค่ะ”
ความเจ็บใจนั่นเป็ของหลิวหย่ง!
โจวเฉิงมีอะไรให้ดูกัน ตัวเขาไม่หนีไปหรอก
หนุ่มสาวคบหาดูใจกันก็รู้สึกถวิลหา เพิ่งแยกจากกันไม่นานเท่าไร จะถ่อไปพบโจวเฉิงเสียแล้ว ทัศนคติในสมองของหลิวหย่งยังคงเป็แิกระแสหลักของปัจจุบัน รักทางไกลในทุกวันนี้มีอยู่ไม่ใช่น้อย มีคู่ที่พบกันหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปีตั้งมากมาย คั่นห่างด้วยสองสถานที่ ทุกคนเดินทางไปเยี่ยมเยียนถึงปักกิ่งเหมือนเซี่ยเสี่ยวหลานเสียที่ไหน? เป็เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ขาดแคลนเงินทอง ตั๋วรถไฟเที่ยวไปกลับแพงแสนแพง เท่าค่าครองชีพหนึ่งเดือนของคนทั่วไปแล้ว แต่เธอกลับซื้อได้อย่างไม่ลังเล
ดังนั้นถึงได้มีคนพูดไว้ จะคบหาคนรักก่อนสอบเกาเข่าไปทำไม เป็เหตุให้จิตใจไขว้เขวยิ่งนัก
หลิวหย่งประชดประชัน ในขณะเดียวกันยังต้องทำหน้าที่สถานะคุณลุง ไปจองตั๋วรถไฟแทนเซี่ยเสี่ยวหลาน
หลิวหย่งพาคนงานสองคนไปจากซางตู รวมตัวเขาก็เป็ 3 คน ช่างไม้สามารถจ้างในปักกิ่งได้ บวกเซี่ยเสี่ยวหลานและนักศึกษากงหยางจากคณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยซางตูอีก รวมแล้วต้องจองตั๋วรถไฟไปปักกิ่งทั้งหมด 5 ใบ
สามวันให้หลัง สูทสามชุดของหลิวหย่งก็เสร็จเรียบร้อย
เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกเสื้อมีปกในร้านให้หลิวหย่งใส่เข้าคู่สองตัว พอเดินออกมาจากห้องลองชุด หลิวหย่งมองตัวเองในกระจกลองเสื้อ คิดว่าสูทหนึ่งชุดราคาสองร้อยกว่านี้ ไม่ได้จ่ายเงินสูญเปล่าจริงๆ !
คนบ้านหลิวล้วนหน้าตาไม่เลว
มิเช่นนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่หน้าตาสะสวยแบบนี้แน่
ทว่าตอนยังเด็กหลิวหย่งรับสารอาหารไม่ครบถ้วน ดังนั้นความสูงของเขาจึงไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ รูปร่างก็ผอมแห้ง ทำให้ไม่สามารถแสดงมาดชายชาตรีออกมา
เสื้อตัวบนของสูทชุดนี้ค่อนข้างสั้น กางเกงความยาวเหมาะสม เมื่ออยู่บนร่างหลิวหย่งจึงทำให้เขาดูสูง เสื้อผ้าพอดีตัว ดูมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม เขาแค่ผิวดำคล้ำ ทว่าเครื่องหน้าดูดีไม่หยอก
หลี่เฟิ่งเหมยเหม่อลอย นี่คือสามีของเธอหรือ?
ลูกชายโตจนเข้าโรงเรียนแล้วแท้ๆ หลี่เฟิ่งเหมยเพิ่งพบว่าสามีของเธอหน้าตาหล่อเหลาเอาการ
เซี่ยเสี่ยวหลานส่งกระเป๋าเอกสารให้หลิวหย่ง เขาหนีบไว้ใต้รักแร้ ลองย่างสองก้าว “เหมือนพวกเ้าของกิจการทางใต้ทีเดียว”
เซี่ยเสี่ยวหลานจัดการห่อหลิวหย่งอยู่นานสองนาน ถึงออกเดินทางไปปักกิ่ง กงหยางถือกระเป๋าหนึ่งใบ ข้างในใส่เสื้อผ้าและอุปกรณ์วาดภาพของเขา เขาบอกอาจารย์และเพื่อนนักศึกษาทุกคนว่าไปปักกิ่งเพื่อวาดภาพ เพื่อนร่วมหอนอนล้วนอิจฉาเขา
กงหยางก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน แค่ช่วยคนวาดโปสเตอร์ไม่กี่แผ่น ทำไมจึงพาตัวเองไปวาดถึงเมืองหลวงได้เล่า
“กงหยาง เธอลองอ่านนิตยสารพวกนี้สิ”
ขึ้นรถไฟแล้ว สติของกงหยางยังไม่กลับมา
เซี่ยเสี่ยวหลานวางนิตยสารไว้ตรงหน้าเขา ด้านในมีผลงานของนักออกแบบอีกมากมาย
กงหยางนึกว่าไปปักกิ่งคราวนี้มีเพียงเขาและเซี่ยเสี่ยวหลานเท่านั้น หากนั่งรถราวสิบชั่วโมงกับเซี่ยเสี่ยวหลานผู้อ่อนเยาว์จิ้มลิ้มพริ้มเพรา กงหยางคงจะทำตัวไม่ถูกแน่นอน ต่อมาพอรู้ว่ามีคุณลุงของเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยเขาถึงหายประหม่า หลิวหย่งแต่งกายธรรมดาเสมอ และไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยซางตู กงหยางเคยทักทายกับหลิวหย่งสองหน
หลังขึ้นรถก็พบว่า หลิวหย่งผู้ใส่เสื้อผ้าธรรมดาสามัญในภาพจำของกงหยาง ตอนนี้แต่งตัวเป็ทางการอย่างยิ่ง
สวมสูทผูกเนคไทพร้อมถือกระเป๋าเอกสาร ไปปักกิ่งเพื่อทำธุรกิจใหญ่โตขนาดไหนกันแน่นี่!
สิ่งที่ทำให้กงหยางไม่เข้าใจอีกอย่างคือ หลังรถไฟเคลื่อนขบวน เซี่ยเสี่ยวหลานล้วงหนังสือหนึ่งเล่มออกมาจากในกระเป๋าและเริ่มอ่าน เขานึกว่าอ่านนิตยสารแต่งบ้าน แต่พอเพ่งมอง กลับกลายเป็หนังสือเคมีมัธยมปลาย—ในสมองของกงหยางเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม คนประกอบธุรกิจอิสระอ่านหนังสือเคมีมัธยมปลายเพื่ออะไรกัน!
เชิงอรรถ
[1]依样画葫芦 วาดน้ำเต้าตามแบบ หมายถึง เลียนแบบตัวอย่างเก่า ขาดความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้