แคว้นซ่ง เมืองหลวงซ่งเฉิง
ณ พื้นที่ห่างไกลจากตัวเมือง ในจวนหลังหนึ่งนามว่า “จวนสกุลเถียน”
ตอนนี้เป็เวลาดึกมากแล้ว แต่ห้องโถงใหญ่ยังมีแสงไฟสว่าง
ภายในห้องนั้น มีคนเพียงสองคน หนึ่งในนั้นคือกู่ไห่ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ยังอยู่ที่จวนสกูลกู่
ร่างกู่ไห่เต็มไปด้วยฝุ่น ราวกับรีบเร่งเดินทางมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แต่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งในด้านรูปลักษณ์ นั่นคือเส้นผมสีขาวราวกับหิมะก่อนหน้านี้ ได้กลายเป็สีดำไปแล้ว
ส่วนอีกคนหนึ่ง เป็ชายในชุดคลุมสีเหลือง อายุราวสามสิบปี ใบหน้าเหลี่ยม คิ้วดกหนา ั์ตาแหลมคม
“พ่อบุญธรรม ท่านเดินทางมาถึงเร็วจริงๆ” ชายชุดคลุมเหลืองยื่นผ้าร้อนให้ ยิ้มทั้งกล่าวไปด้วย
กู่ไห่รับผ้ามาเช็ดใบหน้าและมือเบาๆ ก่อนจะส่งคืน
“ข้าอายุมากแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่ปี คงจะวิ่งรอกไปไหนมาไหนมิได้ ฉะนั้น ครานี้ข้าจะล้มเหลวไม่ได้!” กู่ไห่กล่าวเสียงขรึม
ชายชุดคลุมเหลือง ซึ่งคือกู่ฮั่น รีบชงชาถ้วยหนึ่งส่งให้กู่ไห่ด้วยความเคารพทันที
“พ่อบุญธรรม หัวหน้าสำนักชิงเหอ ตอบรับแล้วหรือ?” กู่ฮั่นถามอย่างมีความหวัง
กู่ไห่พยักหน้า “ถูกต้อง มิเช่นนั้น ข้าคงไม่มาที่นี่!”
“ช่างดียิ่ง หากพ่อบุญธรรมสามารถบรรลุพลัง ไปถึงระดับก่อ์ได้ ตระกูลกู่ของเราจะต้องรุ่งเรืองไปอีกร้อยปีแน่นอน ไม่สิ! พ่อบุญธรรม เมื่อทะลวงฝ่าไปได้ ก็ไม่มีใครสามารถหยุดท่านได้แล้ว!” กู่ฮั่นกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ข้าดูแลพวกเ้าพี่น้องมาจนเติบใหญ่ แก่นรากของพวกเ้าล้วนยอดเยี่ยมหาใดปาน แม้จะไม่มีข้า ไม่ช้าก็เร็ว เส้นทางการฝึกตนย่อมเปิดออก!” กู่ไห่เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ขอรับ ข้าและพี่ใหญ่เชื่อใจพ่อบุญธรรม!” กู่ฮั่นกล่าวเสียงหนักแน่น
“เอาเถอะ กู่ฉินรับตำแหน่งผู้บัญชาการด่านหู่เหลาแทนข้า เกาเซียนจืออาจโจมตีได้ตลอดเวลา เรามีเวลาน้อยมาก ก่อนอื่นเ้าเล่าเื่เกี่ยวกับแคว้นซ่งมาให้ข้าฟังก่อน เพราะข้าไม่ได้มาแคว้นซ่งกว่าสิบปีแล้ว ในการต่อสู้ระหว่างสองแคว้นนี้ มีสิ่งใดเป็พิเศษหรือไม่?” กู่ไห่กล่าวเสียงเคร่งขรึม
สีหน้าของกู่ฮั่นเปลี่ยนเป็จริงจัง พยักหน้าและกล่าวว่า “ขอรับ ฮ่องเต้ซ่งมีพระราชโองการให้เกาเซียนจือนำทัพโค่นแคว้นเฉิน มีอิสระในการสั่งการกองทัพทั้งหมด
แต่ฮ่องเต้ซ่งก็ทรงกังวลพระทัยเช่นกัน จึงแต่งตั้งให้องค์รัชทายาทเป็รองแม่ทัพ และเดินทางไปพร้อมกัน ถือเป็การจับตาดูเกาเซียนจืออีกทาง แต่องค์รัชทายาทก็มิได้มีอำนาจทางทหารแต่อย่างใด
ลูกอยู่แคว้นซ่งมาแปดปี รับผิดชอบดูแลร้านค้าทั้งหมดที่นี่ และเปลี่ยนชื่อเป็เถียนฮั่นตามคำสั่งพ่อบุญธรรม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าสนับสนุนองค์รัชทายาทอย่างเต็มที่
การที่เขาสามารถเลื่อนตำแหน่งจากองค์ชาย ไปเป็องค์รัชทายาทได้นั้น ล้วนเกิดจากการสนับสนุนด้านการเงินของเรา ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้รับความไว้วางใจจากองค์รัชทายาท”
“องค์รัชทายาท?” สีหน้ากู่ไห่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
"ขอรับ"
“หลายปีที่ผ่านมา เ้าคงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับราชสำนักของแคว้นซ่งได้ไม่น้อย?” กู่ไห่ไต่ถาม
กู่ฮั่นพยักหน้า “ขอรับ ข้าได้จัดรวมเป็เล่มไว้แล้วขอรับ”
กู่ไห่พยักหน้า และกล่าวว่า “รีบส่งข้อมูลทั้งหมดของฮ่องเต้มาให้ข้า ข้า้าศึกษาเพื่อหาวิธีจัดการกับแคว้นซ่ง”
“พ่อบุญธรรม ท่านเพิ่งรีบเร่งเดินทางมา เหตุใดมิพักเสียหน่อยล่ะขอรับ” กู่ฮั่นกล่าวอย่างเป็ห่วง
“ไม่จำเป็ เวลาไม่คอยใคร เร็ว!” กู่ไห่กล่าวอย่างเยือกเย็น"ขอรับ!" กู่ฮั่นรับคำ
...
หอประชุมใหญ่ สำนักชิงเหอ
หัวหน้าสำนักชิงเหอ หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ย รวมทั้งไต้ซือหลิวเหนียน และหญิงสาวนางนั้นยังคงประจำอยู่ที่เดิม
ทุกคนกำลังดูแผนที่กันอยู่
“ไต้ซือหลิวเหนียน ท่านคิดว่ากองทัพของทั้งสองแคว้น จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป?” หญิงสาวถาม
“กองทัพของเกาเซียนจือมีขวัญกำลังใจดี ตอนนี้ควรมุ่งตรงไปที่ด่านหู่เหลา ส่วนแคว้นเฉินในขณะนี้ การตายของฮ่องเต้ ทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพตกต่ำ จึงเป็เวลาที่ดีที่สุดในการโจมตี
อีกทั้ง กู่ไห่ผู้นี้ก็เป็เพียงพ่อค้าคนหนึ่งเท่านั้น พึ่งเคยออกรบ และบัญชาทหาร เกาเซียนจือเป็คนฉลาดเฉลียวยิ่งผู้หนึ่ง ควรเร่งเดินทาง และใช้กองกำลังชั้นยอดจู่โจมดุจสายฟ้าแลบ บุกด่านหู่เหลาในทันที แคว้นเฉินก็จะไร้ทางต้าน และาก็จะสิ้นสุดลง!” ไต้ซือหลิวเหนียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“โอ้? ท่านไม่ดูถูกกู่ไห่เกินไปหรือ?” หญิงสาวสงสัยยิ่ง
“ไม่มีประโยชน์ สายเกินไปแล้ว! เกาเซียนจือไม่ใช่คนโง่ ใครจะสู้เขาได้?” ไต้ซือหลิวเหนียนกล่าว พลางยิ้ม
"รายงาน!"
ทันใดนั้น เสียงะโดังมาจากนอกห้อง
“ฮ่า! ผู้ส่งสารมาแล้ว มาดูกันว่าการวิเคราะห์ของไต้ซือหลิวเหนียนถูกหรือผิด?” หญิงสาวหัวเราะ
ไม่นาน ชายชุดขาวคนหนึ่งก็เข้ามาในห้อง
“คารวะถังจู่ ท่านหัวหน้าสำนัก และท่านหัวหน้าสำนักชิงเหอ” ชายในชุดขาวผู้นั้นกล่าว
“เป็อย่างไรบ้าง? กองทัพของเกาเซียนจือบุกด่านหู่เหลาได้หรือยัง?” หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ยถาม
ชายชุดขาวผู้นั้นกลับส่ายหน้า กล่าวว่า “พวกเขายังไม่ได้บุกด่านหู่เหลา แต่กลับค่อยๆ บุกยึดเมืองโดยรอบแทนขอรับ”
“โอ้?” ไต้ซือหลิวเหนียนประหลาดใจเล็กน้อย
"เกิดอะไรขึ้น?" หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ยถาม พร้อมหรี่ตามอง
“ศิษย์ติดตามข้างกายเกาเซียนจือตลอด เมื่อได้รับข่าวสารใดมา ก็ส่งมาที่นี่ทันที เดิมที หลังจากเอาชนะด่านทั้งสามได้ เขาก็สะสางจัดระเบียบทหารแปดแสนนาย เตรียมส่งทหารห้าแสนนายเข้ายึดเมืองโดยรอบอย่างช้าๆ
ส่วนที่เหลือสามแสนนาย ติดตามเกาเซียนจือพุ่งตรงบุกด่านหู่เหลา แต่เมื่อมีข่าวว่าแคว้นเฉินใช้งานกู่ไห่ เกาเซียนจือก็หยุดทันที!” ชายชุดขาวกล่าวรายงาน
“โอ้? เพราะกู่ไห่หรือ?” ดวงตาของหัวหน้าสำนักชิงเหอพลันเปล่งประกาย
ชายชุดขาวพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก
“เป็ไปได้อย่างไร? กู่ไห่เป็เพียงชายชราใกล้ลงหลุมคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดเกาเซียนจือถึงได้กริ่งเกรงนัก?” ดวงตาของหัวหน้าสำนักซ่งเจี่ยเบิกกว้าง
ชายชุดขาวกล่าวอย่างขมขื่นว่า “ปฏิกิริยาของเกาเซียนจือรุนแรงยิ่ง ถึงกับส่งจดหมายกลับไปยังฮ่องเต้ซ่ง ให้ตรวจสอบพ่อค้าทั้งหมดในแคว้นทันที ป้องกันไม่ให้ก่อความวุ่นวาย ขณะเดียวกันก็ให้ควบคุมร้านขายธัญพืชและร้านขายยาทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้กู่ไห่ตัดเสบียงของกองทัพ”
“เกาเซียนจือคิดมากไปแล้ว แค่พ่อค้าตัวเล็กๆ จะส่งผลต่อการรบได้อย่างไร? ร้านขายธัญพืช? ร้านขายยา? กู่ไห่จะมีความสามารถใดส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศได้?” หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ยเอ่ยถามด้วยโทสะ
ชายชุดขาวยิ้มอย่างตรอมตรม และกล่าวว่า “ศิษย์ได้ถามเขาด้วยคำถามเดียวกันนี้ เกาเซียนจือกลับบอกว่ากู่ไห่ผู้นั้น สามารถทำได้ขอรับ!”
หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ยตะลึงงัน
“ฮ่าๆๆๆๆ!” กลับเป็หัวหน้าสำนักชิงเหอที่อารมณ์ดีแทน
…
ไต้ซือหลิวเหนียนและหญิงสาว แลกเปลี่ยนสายตากันและแสดงท่าทางกังขา
“สถานการณ์ตอนนี้ เป็อย่างไรบ้าง?” หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ยถามเสียงมึนตึง
“ได้ยินมาว่าสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว แคว้นซ่งได้ส่งทหารจำนวนมาก ไปดูแลอาหารและยาเพื่อให้เพียงพอสำหรับกองทัพที่อยู่แนวหน้าแล้ว ปลอดภัยแน่นอนขอรับ!” ชายชุดขาวกล่าว
“ในเมื่ออาหารและยาปลอดภัยแล้ว เหตุใดยังไม่โจมตีอีก?” หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ยถามอย่างไม่พอใจ
“เกาเซียนจือกล่าวว่า ตอนนี้เื่ที่สำคัญคือการยึดเมืองโดยรอบ เพื่อตัดโอกาสที่แคว้นเฉินจะตีโต้กลับขอรับ ดังนั้นการโจมตีด่านหู่เหลาจึงถูกระงับไว้
เขาบอกว่า เมื่อยึดพื้นที่สามในสี่ส่วนได้แล้ว ผู้คนในด่านหู่เหลาย่อมต้องตื่นตระหนกขวัญเสีย ยิ่งผ่านไปนานเท่าใด ความตื่นตระหนกก็จะยิ่งเพิ่มพูนทบทวี ถึงเวลายึดด่านหู่เหลา พวกเขาอาจไม่จำเป็ต้องโจมตีด้วยซ้ำ!” ชายชุดขาวกล่าว
“โอ้? าจิตวิทยา? แต่วิธีนี้จำเป็ต้องใช้เวลานานนี่” ไต้ซือหลิวเหนียนขมวดคิ้ว
หัวหน้าสำนักซ่งเจี่ยซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าว “าจิตวิทยา? จะยื้อเวลาอีกนานแค่ไหน? เกาเซียนจือเป็นักกลยุทธ์ชั้นยอดมิใช่หรือ? คนแก่ใกล้ลงโลงคนหนึ่ง กลัวอันใดกัน?”
“ศิษย์ก็เคยถามเขาด้วยคำถามนี้เช่นกันขอรับ” ชายชุดขาวฝืนยิ้ม
“โอ้? เกาเซียนจือตอบว่าอย่างไร?” ไต้ซือหลิวเหนียนถามอย่างใคร่รู้
“เกาเซียนจือกล่าวว่า แม้กู่ไห่จะเป็แค่พ่อค้า แต่ฝีมือบัญชาการรบ กลับเป็หนึ่งในใต้หล้าขอรับ!” ชายชุดขาวกล่าวพร้อมยิ้มขื่น
ดวงตาของหัวหน้าสำนักชิงเหอเป็ประกายขึ้นมาทันที นี่คือการประเมินของเกาเซียนจือหรือ! เป็หนึ่งในใต้หล้า? เป็ไปได้อย่างไร?
หลังจากได้ยินการประเมินของเกาเซียนจือ หัวหน้าสำนักชิงเหอก็มีความสุขยิ่ง บางทีแคว้นเฉินอาจพลิกสถานการณ์ได้
“บัญชาการกองทัพเก่งกาจที่สุดในใต้หล้า” หญิงสาวสนใจทันที
“ถังจู่ นี่เป็การมองของเหล่าปุถุชน จำกัดอยู่แค่โลกของพวกเขา เพียงหกแคว้นของปุถุชน ท่านอย่าได้ถือจริงจัง!” ชายในชุดขาวส่งเสียงหัวเราะทันที
“หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว เหตุใดเกาเซียนจือผู้นั้น ถึงบอกว่ากู่ไห่บัญชาการรบได้เก่งกาจเป็หนึ่งในใต้หล้า? หากดูวิธีที่เขานำทัพ เกาเซียนจือมีทั้งความมั่นใจ และหยิ่งผยองอย่างหาใดเปรียบ เหตุใดเขาจึงมาระมัดระวังเอาในตอนนี้?” หญิงสาวเอ่ยถาม
“ขอรับ ผู้น้อยได้ถามเกาเซียนจือเช่นกัน เขาจึงบอกความจริงกับข้าน้อย ว่ากู่ไห่ผู้นี้ เคยบัญชาการกองทัพในอดีต และผลลัพธ์ที่ได้ยังน่าทึ่งหาใดเปรียบด้วยขอรับ!” ชายชุดขาวตอบ
“โอ้? เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่มีใครรายงาน พวกท่านบอกว่าเขาเป็เพียงพ่อค้ามิใช่หรือ?” หญิงสาวขมวดคิ้ว
“เื่นี้เป็ความลับ ข้าน้อยไม่รู้จนกระทั่งก่อนหน้านี้ เกาเซียนจือทราบเื่นี้มาจากบิดาขอรับ เมื่อสี่สิบปีก่อน กู่ไห่โผล่มาจากที่ใดก็ไม่ทราบ ย้อนกลับไปตอนนั้น เขาอายุสามสิบปี ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขารู้จักกับฮ่องเต้เฉิน เฉินไท่จี๋ได้อย่างไร
ในเวลานั้น มีแคว้นทั้งหมดแปดแคว้น และแคว้นเฉินที่มีขนาดเล็กที่สุดนั้น กำลังเผชิญอันตราย กู่ไห่ได้กลายเป็ที่ปรึกษาทางทหารของเฉินไท่จี๋อย่างลับๆ ช่วยเฉินไท่จี๋บัญชาการกองทัพ ใน่เวลาสั้นๆ เภทภัยทั้งหมดก็ได้รับการแก้ไข ภายใต้การสั่งการของกู่ไห่ ขวัญกำลังใจของกองทัพเฉินสูง หาใดเปรียบ!”
“โอ้? หาใดเปรียบหรือ?” หญิงสาวถามอย่างอัศจรรย์ใจ
“ขอรับ หาใดเปรียบ กองทัพอื่นๆ ยิ่งต่อสู้ ยิ่งมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ แต่กองทัพที่กู่ไห่บัญชาการ ยิ่งสู้กลับยิ่งเพิ่มพูน ในตอนนั้นปรากฏกลศึกขึ้นมากมาย เช่น ตีโอบล้อมเมือง, านกกระจอก[1], าในอุโมงค์, ล้อมเว่ยช่วยจ้าว[2], กลยุทธ์ยืมทางพรางกล[3]
กลยุทธ์เหล่านี้ข้าน้อยก็ไม่ใคร่เข้าใจนัก แต่เกาเซียนจือกลับกล่าวด้วยท่าทีที่คุ้นชิน นี่เป็คำที่กู่ไห่ใช้ในตอนนั้น อีกทั้ง เขายังใช้กลศึกไม่คุ้นชื่อเหล่านี้ รบชนะครั้งแล้วครั้งเล่า ใน่ห้าปีที่ต่อสู้อย่างต่อเนื่องนั้น เขาไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว จากที่แคว้นเฉินกำลังจะถูกทำลาย กลับกลายเป็ผู้ชนะ และยึดครองแคว้นใหญ่ได้หนึ่งแคว้น
ในตอนนั้นมีแปดแคว้น แต่หลังจากแคว้นเฉินทำลายแคว้นหนึ่งลงไป อีกหกแคว้นพลันตื่นตระหนก และจับมือกันเพื่อต้านแคว้นเฉิน!” ชายชุดขาวเล่า
“จากที่ใกล้ถูกกำจัด กลับพลิกทำลายล้างแคว้นใหญ่ไปหนึ่งแคว้น ยิ่งกว่านั้น ยังต้องเจอกำลังพันธมิตรของหกแคว้นอีก?” สีหน้าไต้ซือหลิวเหนียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ขอรับ เกาเซียนจือกล่าวว่า เมื่อกู่ไห่เป็ผู้บัญชากองทัพ หกแคว้นพันธมิตร ก็ยังตกอยู่ในกำมือกู่ไห่ รวมหกแคว้น กำลังทหารกว่าสองล้านคน แต่กลับล้มเหลว ท้ายที่สุด แคว้นเฉินยังคงรุกไล่และทำลายไปอีกแคว้นหนึ่ง” ชายชุดขาวกล่าวเสียงเครียด
“ทำลายไปอีกแคว้นหนึ่ง?” หญิงสาวอุทานอย่างใ
“ขอรับ กองทัพใต้อาณัติกู่ไห่ ประดุจธารน้ำทุกสายไหลลงสู่ทะเล เขายอมรับทุกคนเข้ามา แม้กระทั่งศัตรู ดังนั้นกองทัพเฉินจึงมีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แคว้นเฉินจึงเหิมเกริมขึ้นทุกที
สมัยนั้น พ่อของเกาเซียนจือเป็แม่ทัพที่มีชื่อเสียง เป็ภาคีกองทัพพันธมิตร แต่หลังจากต่อสู้กับกู่ไห่แล้ว กลับสูญเสียความมั่นใจในการรบไปสิ้น และเกษียณกลับบ้านเกิด
กองทัพของกู่ไห่ เป็เหมือนดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกชักจากฝัก คมดาบชี้ไปที่ใด จะต้องเกิดการทำลายล้างตามมา ในเวลานั้น กู่ไห่ได้เตรียมพร้อมที่จะทำลายทั้งห้าแคว้น แต่สำนักใหญ่เข้ามาแทรกแซง แคว้นเฉินจึงยุติการก่อา
ถึงกระนั้น อีกห้าแคว้นที่เหลือก็ยังคงกลัวฝังใจ! หลายสิบปีแล้ว ก็ยังไม่กล้าโจมตีแคว้นเฉิน” ชายชุดขาวอธิบาย
หัวหน้าสำนักชิงเหอขมวดคิ้ว และกล่าวว่า “ตอนนั้นมีหลายๆสำนักมาหาข้า เพื่อผลประโยชน์ของสำนัก ข้าจึงออกคำสั่งให้เฉินไท่จี๋หยุดมือ แท้จริงแล้วเขากลับไม่ใช่ผู้นำทัพ แต่เป็กู่ไห่ที่บงการอยู่ในเงามืดหรือนี่?”
“ความสามารถบัญชาทหารของกู่ไห่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้?” ดวงตาหญิงสาวเปล่งประกายวับวาว
“เกาเซียนจือกล่าวว่า พ่อเขาพบโดยบังเอิญ ว่ากู่ไห่เป็ผู้บัญชาการกองทัพ หลังจากเกษียณตัวเองกลับบ้าน ก็ได้รวบรวมข้อมูลการต่อสู้ครั้งก่อนๆ ของกู่ไห่เอาไว้ทั้งหมด และจัดทำเป็หนังสือ ให้เกาเซียนจือศึกษาั้แ่เด็ก
เขาได้ศึกษาการต่อสู้ของกู่ไห่มาต่อเนื่องยาวนาน หลังจากศึกษามาหลายปี ก็เข้าใจถึงความน่ากลัวของกู่ไห่อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นจึงเลือกวิธีปลอดภัยที่สุดในการทำลายด่านหู่เหลา” ชายชุดขาวกล่าว
“เ้าพึ่งบอกว่าตลอดห้าปี กู่ไห่ชนะการรบอย่างต่อเนื่องกว่าร้อยศึก และไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว?” ไต้ซือหลิวเหนียนถามอย่างข้องใจ
“ศัตรูมากมาย แต่เขาใช้เวลาแค่ห้าปี?”
“ขอรับ นั่นคือสิ่งที่เกาเซียนจือบอก เขากล่าวว่ากู่ไห่สามารถทำศึกหลายครั้งได้ในเวลาเดียวกัน ใช้เวลาห้าปีก็สามารถพลิกแคว้นเฉินที่ใกล้จะถูกทำลาย ให้กลับมาแข็งแกร่งที่สุดในหกแคว้นได้
เพียงแต่หลังจากนั้น ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงได้ขัดแย้งกับเฉินไท่จี๋ จึงได้เลิกยุ่งเกี่ยวกับการทหารและการเมือง กลายเป็พ่อค้าที่ร่ำรวยผู้หนึ่ง แม้จะเป็เพียงพ่อค้า แต่เขาก็ยังร่ำรวยที่สุดในหกแคว้น!” ชายชุดขาวยิ้มอย่างจำยอม
ภายในห้องโถงใหญ่ ผู้คนต่างเงียบ เพราะสิ่งที่ได้ยินเหล่านี้ ช่างดูพิศวง น่ากลัวยิ่ง
------------------------------------
[1] านกกระจอก กลยุทธ์การจู่โจม ซึ่งเลียนแบบการหาอาหารของนกกระจอก ที่แยกกันโจมตี คล้ายวิธีการต่อสู้แบบกองโจร
[2] กลยุทธ์ล้อมเว่ยช่วยจ้าว กลยุทธ์ในการดึงแยกศัตรูให้แตกออกจากกัน
[3] กลยุทธ์ยืมทางพรางกล เป็กลยุทธ์ให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้