บทที่ 10 ข้าจะปิดปากเงียบดุจหินผา!!
ภายในห้องนอนเล็กๆ มู่ชิงเหยียนกำลังยืนกอดอก มองไปยังมู่เจ๋ออวี่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ดวงตาแป๋วใสของเด็กชายฉายแววครุ่นคิดอย่างจริงจังเกินวัย หลังจากที่พี่สาวได้เล่าเื่ราวเซียนหนวดขาว และ มิติโอสถิญญา จบลงอย่างแเี
“พี่ใหญ่” มู่เจ๋ออวี่เอ่ยขึ้นอย่างฉะฉาน
“แม้ข้าจะยังไม่เคยเห็นเซียนหนวดขาวผู้นี้ แต่หากสิ่งที่ท่านว่ามาเป็จริง มิติโอสถิญญานั้นช่างวิเศษนัก ขอรับ!”
มู่ชิงเหยียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาแฝงความขบขัน
“เ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันวิเศษ?”
“หากมิวิเศษจริง เหตุใดจึงมีซาลาเปาไส้เนื้อหอมๆ ออกมาได้เล่าขอรับ?” มู่เจ๋ออวี่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ทำเอาพี่สาวถึงกับยิ้มขำกับความฉลาดแกมซื่อของน้องชาย
“ถูกต้อง! เ้าฉลาดหลักแหลมนัก” มู่ชิงเหยียนพยักหน้า “แต่ว่า... ท่านเซียนหนวดขาวมีข้อจำกัดอยู่”
มู่เจ๋ออวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย
“ข้อจำกัดอันใดหรือขอรับ?”
“หากข้าเอาของออกมามากเกินไป จะเป็การผิดกฎ์ ท่านเซียนเตือนว่าฟ้าจะลงโทษ”
นางกล่าวพลางทำท่าทางขึงขังเล็กน้อย
“ฉะนั้น... เราจึงต้องคิดหาวิธีนำของวิเศษเหล่านี้ออกไปใช้ โดยไม่ให้ผู้ใดสงสัย มิเช่นนั้น... ครอบครัวของเราอาจประสบเคราะห์ร้ายยิ่งกว่าเดิม”
มู่เจ๋ออวี่เด็กน้อยวัยแปดขวบที่มีดวงตาเฉลียวฉลาดราวอัญมณี จากนั้นนางก็หยิบโสมจากมิติลับรากโสมสีทองอร่าม กลิ่นหอมฟุ้งราวกับน้ำอมฤตและวางลงตรงหน้า
“อวี่เอ๋อร์ เ้าคิดว่าพวกเราจะนำของวิเศษนี้ไปขายได้อย่างไร โดยไม่ให้ผู้ใดสงสัย?” นางถาม น้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงความลึกซึ้ง
มู่เจ๋ออวี่ ขมวดคิ้วเล็กๆ มือเล็กๆ ลูบคางราวกับนักปราชญ์ที่กำลังครุ่นคิดปัญหาที่ยากจะแก้ไข
“โสมชั้นเลิศเช่นนี้ หากนำออกมาโจ่งแจ้ง ทุกคนต้องสงสัยแน่ขอรับพี่ใหญ่!”
เด็กน้อยตาเป็ประกายอย่างมีสติปัญญา
“ข้าคิดว่าเราต้องหาแหล่งที่มาของโสมให้ดูสมเหตุสมผล!”
มู่ชิงเหยียนยังคงนั่งนิ่ง มองดูน้องชายตัวน้อยของนางคิดหาทางช่วยเหลืออย่างเงียบๆ
“แต่ว่าในหุบเขาเมฆามีสมุนไพรล้ำค่าซ่อนอยู่มากมาย ชาวบ้านก็เชื่อเื่นี้อยู่แล้ว” มู่เจ๋ออวี่กล่าวต่อ แววตาของเขาฉายแววเฉลียวฉลาดเกินเด็ก
“หากว่าพวกเราขึ้นเขาไปและบอกกับทุกคนในบ้านว่าเจอโสม ทุกคนต้องเชื่ออย่างแน่นอนขอรับพี่ใหญ่!”
แววตาชาญฉลาดและแผนคิดอ่านที่สมเหตุสมผลเกินเด็กในวัยเดียวกัน ทำให้มู่ชิงเหยียนถึงกับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง… เ้าน้องชายของนางนั้นฉลาดมาก! อายุแค่นี้ก็คิดรอบด้านได้แล้ว เสียดายอย่างเดียวที่ครอบครัวพวกเขาตกยากหาไม่แล้ว น้องชายคนนี้จะต้องเป็คุณชายน้อยที่เก่งกาจของเมืองหลวงอย่างแน่แท้…
'ไม่เป็ไร…เดี๋ยวพี่ใหญ่จะทำให้เ้าได้กลับมาเป็คุณชายน้อยผู้ยิ่งใหญ่เอง'
มู่ชิงเหยียนมองน้องชาย พลางคิดเรื่อยเปื่อยไป… ในใจของนางรู้สึกดีใจที่ในที่สุดนางก็ได้เจอคู่หูที่จะร่วมเดินทางไปในเส้นทางแห่งการพลิกชะตาชีวิต!
มู่ชิงเหยียนยิ้มกว้าง ใจพองโตด้วยความฉลาดของน้องชาย
“เ้าฉลาดยิ่งนัก อวี่เอ๋อร์! ดี! พรุ่งนี้เราจะขึ้นเขาทำทีว่าหาสมุนไพร แล้วนำโสมและเห็ดหลินจือจากมิติไปขาย!” นางตบไหล่เด็กน้อย
ทั้งสองพี่น้องวางแผนอย่างรอบคอบ มู่ชิงเหยียนหยิบเห็ดหลินจือสีแดงเข้มจากมิติขนาดใหญ่ กลิ่นหอมเย้ายวนราวสมบัติแห่งเซียน
“ของเหล่านี้จะเปลี่ยนชะตาครอบครัวเรา” นางพูด ขณะที่มู่เจ๋ออวี่ตาโต
“พี่ใหญ่ ถ้าขายได้เงินมากข้าจะซื้อรองเท้าใหม่ให้หร่วนเอ๋อร์ นางวิ่งเล่นจนเท้าบวมแดง!” ความรักของเด็กน้อยทำให้นางน้ำตาคลอ
“เ้าเป็น้องชายที่ดีที่สุด อวี่เอ๋อร์” นางกอดเขาแน่น
“เราจะทำให้ทุกคนในบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยมือของเราเอง!”
สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มสมรู้ร่วมคิด ความลับที่เชื่อมโยงพวกเขาทั้งสองเข้าด้วยกัน บัดนี้มิใช่เพียงความลับส่วนตัว แต่เป็หนทางแห่งการพลิกฟื้นตระกูลมู่ขึ้นมาใหม่!
“จงจำไว้ อวี่เอ๋อร์” มู่ชิงเหยียนกล่าวเสียงจริงจังขึ้นอีกครั้ง “ความลับนี้... เป็ยิ่งกว่าชีวิตของพวกเราสองคน หากมีผู้ใดล่วงรู้ ไม่เพียงแต่มิติของท่านเซียนจะถูกยึดคืน ชีวิตของพวกเราก็อาจตกอยู่ในอันตรายได้”
มู่เจ๋ออวี่พยักหน้าอย่างหนักแน่น ใบหน้าเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและรับผิดชอบเกินวัย
“ข้าเข้าใจขอรับพี่ใหญ่! ข้าจะเก็บเป็ความลับยิ่งชีพ!”
คำพูดของเด็กน้อยดังก้องในความเงียบ มู่ชิงเหยียนยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เธอเชื่อมั่นในตัวน้องชายคนนี้อย่างสุดหัวใจ นางหยิบซาลาเปาไส้เนื้อลูกอวบอ้วนออกมาจากถุงผ้าอีกครั้ง แล้วยื่นให้น้องชาย
“กินเสียเถิด อวี่เอ๋อร์” นางกล่าวอย่างปลอบโยน
“ไม่ต้องห่วงเื่น้องเล็ก พรุ่งนี้หลังจากที่เรากลับมาจากขายโสม พี่จะนำออกมาให้ทุกคนได้กินเอง”
มู่เจ๋ออวี่รับซาลาเปามาด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความดีใจและความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ เขาไม่ได้กินเนื้อมานานมากแล้ว เขากัดเข้าไปคำใหญ่ๆ อย่างเอร็ดอร่อยจนปากเปื้อนคราบซาลาเปา
“อึก…อร่อย…ที่สุดเลยขอรับพี่ใหญ่”
เขาพึมพำ น้ำตาของเขาไหลออกมาอย่างเงียบๆ มู่ชิงเหยียนมองน้องชายด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น ความยากลำบากที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญบัดนี้ได้กลายเป็แรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอแล้ว
เมื่อกินซาลาเปาเสร็จแล้ว มู่เจ๋ออวี่ก็รีบจัดการเก็บข้าวของที่เหลือใส่ถุงผ้าให้พี่สาวอย่างเรียบร้อย ก่อนจะออกไปด้านนอกเพื่อดูอาการของท่านปู่ที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวัง
----
ในอีกมุมหนึ่งของกระท่อม ซูิเสวี่ยผู้ซึ่งความทรงจำและพลังเริ่มฟื้นคืนมาบ้างแล้ว กำลังนั่งจิบชาสมุนไพรอุ่นๆ ที่มู่ชิงเหยียนต้มให้ ใบหน้าของนางยังคงดูสงบนิ่ง แต่ในดวงตาที่ลึกล้ำราวห้วงดาราฉายแววพินิจพิจารณาอย่างไม่วางตาไปที่บุรุษผู้หนึ่ง
นั่นคือ มู่เฉิงเฟิง ผู้ซึ่งยังคงนั่งจิบสุราอยู่มุมห้อง ใบหน้าของเขาแดงก่ำเล็กน้อยจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ และดูเหมือนจะยังคงจมอยู่กับความสิ้นหวังในอดีต
‘หึ! เ้าลูกเต่าผู้นี้!’ เสียงความคิดของซูิเสวี่ยดังก้องอยู่ในใจของนาง ‘หมอกระจอกผู้หนึ่ง มิหนำซ้ำยังทำผิดพลาดจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาจากเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองราวกับสุนัขจรจัด!’
นางจิบชาช้าๆ ััถึงพลังปราณที่เริ่มไหลเวียนในกาย แม้จะยังอ่อนแอจนมิอาจใช้วิชาเต๋าขั้นสูงได้ ทว่าความทรงจำอันเ็ปที่เคยถูกปิดผนึกไว้ บัดนี้กลับมาหลั่งไหลราวเขื่อนแตก โดยเฉพาะความทรงจำในคืนที่เขามึนเมาแล้วรวบรัดนาง…
‘หน้าด้าน! ไร้ยางอาย! ไร้ซึ่งความละอายแก่ใจ! นางผู้เป็ปรมาจารย์แห่งดวงดาว! ยอดเซียนหญิงผู้สง่างาม! กลับต้องมาตกเป็ของบุรุษผู้สิ้นหวังเช่นนี้ได้อย่างไร!’
ความคิดที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองและหมั่นไส้ผุดขึ้นมาไม่หยุดย่อน
‘ดีแต่หน้าตาเท่านั้น! หากวันใดพลังของข้ากลับมาเต็มที่ เ้าได้รู้ซึ้งถึงคำว่า ‘์มีตา นรกมีจริง’ เป็แน่!เ้าแก่’
นางเหลือบตามอง มู่เฉิงเฟิง อีกครั้ง เขายังคงนั่งจิบสุราอย่างเพลิดเพลินเสียจนมิได้สังเกตถึงบรรยากาศคุกคามที่แผ่ออกมาจากภรรยาผู้แสนสงบของเขา
‘บุรุษไร้แก่นสาร! แทนที่จะออกไปหาเลี้ยงครอบครัว กลับมานั่งจิบสุรา... รีดไถเงินจากบุตรีและน้องสาวผู้อ่อนแอ... หึ! โชคดีของเ้า ที่มีบุตรสาวที่ยอดเยี่ยมมาช่วยพลิกชะตา มิเช่นนั้น... ข้าคงจะเสกเ้าให้กลายเป็หินไปแล้ว! รู้ไปถึงไหน อายไปถึงนั่นจริงๆ!’
ซูิเสวี่ย คิดเสร็จก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสงบเสงี่ยม แต่ในแววตาที่ว่างเปล่ากลับฉายแววที่ยากจะเข้าใจ ชาที่นางจิบนั้นเป็ชาธรรมดาที่เหลืออยู่ในบ้าน แต่เมื่อผ่านริมฝีปากของนาง รสชาติของมันกลับกลายเป็ชาชั้นเลิศราวกับมีชีวิตเป็ของตัวเอง
นางรู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาของนางที่จะลงมือ นางเหลือบตามองไปที่ห้องของลูกสาวอีกครั้ง แน่นอนว่าบทสนทนาของลูกน้อยทั้งสองของนางนั้น นางย่อมได้ยินเพราะพลังที่เริ่มฟื้นคืน... ให้เด็กๆ แสดงฝีมือก่อนก็แล้วกัน หากว่าไม่ไหวหรือคิดขัดนางถึงจะลงมือช่วยเหลือเอง...
ท่านปรมาจารย์เทพชะตาผู้ยิ่งใหญ่คิดพลางเอนหลังลงไปบนเก้าอี้โยก ที่อยู่ๆ ก็ปรากฏออกมาจากอากาศธาตุเพื่อรองรับแผ่นหลังอันบอบบางแต่ยิ่งใหญ่ของนางเอาไว้อย่างนุ่มนวล ราวกับว่าเก้าอี้ตัวนั้นเคยเป็ส่วนหนึ่งของนางมานานแสนนาน พลางหลับตาลงอย่างช้าๆ แล้วเริ่มโคจรพลังปราณของตัวเองอย่างเป็ธรรมชาติ พลังปราณที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตบัดนี้ค่อยๆ ไหลเวียนกลับมาในร่างของนางอย่างช้าๆ ราวกับสายน้ำที่กำลังหล่อเลี้ยงต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง...
‘ข้าจะเฝ้ามอง... แต่ถ้าชะตาจะเล่นตลกกับพวกเ้า... ข้าท่านแม่ผู้นี้...จะลงมือเอง’
----
นอกกระท่อมไม้ผุพัง เหล่าอาสาวทั้งสามของมู่ชิงเหยียนกำลังขะมักเขม้นกับการงาน เพื่อประทังชีวิตของครอบครัว
มู่หลิวเอ๋อร์ อาสาวคนโตของมู่ชิงเหยียน ผู้มีบุคลิกห้าวหาญและฉลาดหลักแหลม กำลังก้มหน้าก้มตาซักเสื้อผ้ากองโตให้แก่ชาวบ้านที่มาจ้างให้นางทำ ด้วยร่างกายที่ซูบผอมของนาง เสื้อผ้าที่หนักอึ้งเมื่อเปียกน้ำทำให้แขนของนางปวดเมื่อยไปหมด ทว่านางก็มิเคยปริปากบ่น ดวงตาที่คมกริบของนางจับจ้องไปยังลำธารเบื้องหน้าอย่างไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา คล้ายกำลังคิดคำนวณหนทางข้างหน้าของครอบครัว
“พี่รอง มิเหนื่อยหรือเ้าคะ?” มู่ซินเหยา น้องสาวคนกลางผู้แสนอ่อนโยน ถามขึ้นขณะที่นางกำลังนั่งเย็บปักถักร้อยเสื้อผ้าขาดวิ่นของพี่ชายและท่านแม่ นางเป็ผู้มีฝีมือด้านงานบ้านงานเรือนและฝีมือปักผ้าอันประณีต ถึงกับได้รับคำชมจากหญิงสาวในหมู่บ้านบ่อยครั้ง และหลายครั้งก็รับจ้างเย็บผ้าให้พวกเขา ได้เงินมาพอประทังครอบครัว
มู่หลิวเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก
“เหนื่อย ก็ตายไปเสียเถอะน้องรอง! ผู้ใดยังมีลมหายใจก็ต้องสู้ต่อไป หาไม่แล้ว ลูกหลานจะเอาอะไรกิน!”
คำพูดของนางฟังดูหยาบกระด้าง ทว่าแฝงไว้ด้วยความรักและห่วงใยอันลึกซึ้ง
“จริงของพี่รอง" มู่ฮุ่ยจูน้องสาวคนเล็กที่ปกติจะร่าเริงสดใส บัดนี้กลับแบกฟืนกองใหญ่เข้ามาในลานบ้าน ร่างกายที่ดูผอมบางของนางกลับมีพละกำลังมากกว่าคนทั่วไปอย่างน่าประหลาด
“หากไม่สู้ แล้วผู้ใดเล่าจะสู้แทนพวกเรา”
เสียงถอนหายใจแ่เบาดังขึ้นจากมู่ซินเหยา
“เฮ้อ... ชีวิตของพวกเราช่างอาภัพนัก เกิดมาในตระกูลที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์ แต่บัดนี้กลับตกต่ำถึงเพียงนี้ ไม่เพียงเท่านั้น... แม้แต่เื่แต่งงานก็ยังมิมีวาสนา”
คำพูดของมู่ซินเหยาทำให้บรรยากาศรอบกายพลันหม่นหมองลง ตระกูลมู่ที่ถูกเนรเทศจากเมืองหลวง กลายเป็ที่รังเกียจของชาวบ้าน ผู้ใดเล่าจะอยากแต่งงานกับหญิงสาวจากครอบครัวที่ล่มสลายเช่นนี้? มีแต่จะพาลพาให้ตนเองและครอบครัวต้องเดือดร้อนไปด้วย
“ช่างเื่แต่งงานเถิดน้องสาม” มู่หลิวเอ๋อร์กล่าวเสียงเฉียบขาด
“ในเมื่อมิมีผู้ใด้าพวกเรา พวกเราก็จงอยู่ด้วยกัน ดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ดูแลเด็กๆ ให้เติบโตขึ้นอย่างมีศักดิ์ศรี นั่นสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด!”
สายตาของพวกนางมองไปยังมู่ชิงเหยียนและมู่เจ๋ออวี่ที่กำลังพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นในกระท่อม แม้จะยังมิเข้าใจว่าสิ่งใดทำให้หลานสาวผู้เคยอ่อนแอเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ แต่ประกายความหวังที่ริบหรี่ในดวงตาของมู่ชิงเหยียนนั้น ช่างเป็สิ่งล้ำค่าที่ทำให้พวกนางยังคงมีแรงที่จะสู้ต่อไป
**** ดีที่สามสาวสู้นะ ไม่งั้นได้กินลมตะวันออกกันแน่ ครอบครัวนี่ ****
