เดิมทีมู่จื่อหลิงคิดว่าการหายตัวไปของซุนมามาไม่ใช่เื่น่าแปลกใจสำหรับฮองเฮา
เพียงแค่ข้ารับใช้ผู้หนึ่ง หายไปแล้วก็ปล่อยให้หายไป
แต่เมื่อได้ยินฮองเฮาโยนถ้วยด้วยความโกรธ ในยามที่นางน่าจะเดาได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับซุนมามา และมันทำให้นางทั้งเสียใจและโกรธเคือง
เช่นนั้นซุนมามาคงจะมีตำแหน่งที่สำคัญมากภายในหัวใจของฮองเฮา ดูเหมือนว่าเป็การดีที่ปล่อยให้เสี่ยวไตกูสังหารซุนมามา อย่างน้อยมันก็เป็การตัดปีกของฮองเฮาออก
เพียงแต่ ความเร็วในการเปลี่ยนสีหน้าของฮองเฮาและการยับยั้งทางอารมณ์ช่างสูงส่งยิ่ง จนนางอดที่จะชื่นชมไม่ได้
เพียงชั่วครู่ อารมณ์ด้านลบทั้งหมดก็ถูกระงับลงอย่างสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือร่องรอยของอารมณ์ที่ผิดปกติไว้เลย อึดใจเดียวที่ความโกรธพุ่งขึ้นสูง และในอึดใจต่อมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนางก็สามารถยิ้มได้ราวกับดอกไม้ที่กำลังแย้มกลีบ
แม้แต่หลงเซี่ยวเจ๋อที่อยู่ด้านข้าง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ
เดิมทีเขาคิดว่าฮองเฮาจะทรงมีพระทัยดีและมีความเมตตาอยู่เสมอ คงไม่มีวันรู้ว่าอารมณ์โกรธเป็อย่างไร
ผู้ใดจะไปรู้ ปรากฏว่าฮองเฮาทรงเป็ดังคนที่แสร้งทำเป็ใจดีแต่ภายในดุร้าย ที่มีใบมีดซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มของนาง
ผู้หญิงหน้าซื่อใจคดเช่นนี้นอนข้างหมอนเสด็จพ่อตลอดทั้งปี ช่างเป็เื่ยากจริงๆ
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ จึงเป็เื่ยากสำหรับหลงเซี่ยวเจ๋อที่จะสงบปากลง
แต่ยามนี้เห็นเพียงเขากำลังนั่งนิ่งๆ ด้านข้างโต๊ะ มีรอยยิ้มชั่วร้ายบนริมฝีปากของเขา และฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดสิ่งใด
สำหรับฉากต่อกรระหว่างฮองเฮากับมู่จื่อหลิง เขาตั้งตารอมันมาก
หากเป็ก่อนหน้านี้เขายังเป็ห่วงอยู่บ้าง แต่ยามนี้ไม่ห่วงแล้ว
เพราะเขารู้ว่าเหตุผลที่ฮองเฮาโกรธต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับมู่จื่อหลิงอย่างแน่นอน
เนื่องจากมู่จื่อหลิงสามารถทำให้ฮองเฮาโกรธแทบคลั่งได้ จึงต้องมีการโต้กลับในภายหลังแน่ ดังนั้นเขาจึงรอชมการแสดงเรียกน้ำย่อยที่ดีนี้ เพราะเขาชอบดูการแสดงเช่นนี้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม นี่เป็ครั้งแรกที่มู่จื่อหลิงกับฮองเฮาได้เผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว ทั้งยังเป็การเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย ซึ่งม่านการแสดงกำลังค่อยๆ เปิดออกแล้ว
มู่จื่อหลิงหัวเราะเยาะในใจ โดยไม่แสดงออกมาทางสีหน้า ดวงตาของนางสงบนิ่ง สบสายตากับฮองเฮาโดยปราศจากความกลัว
มู่จื่อหลิงนั่งลง และแสร้งเป่าปากอย่างโล่งใจ แกล้งทำเป็กลัว “ดีที่เสด็จแม่ไม่ตำหนิ ระหว่างทางหลิงเอ๋อร์ยังกังวลอยู่ว่า หากเสด็จแม่ต้องรอเป็เวลานาน เสด็จแม่จะให้คนเข้ามาสั่งสอนหลิงเอ๋อร์อีกหรือไม่?”
ครั้งก่อนนางได้บอกไปแล้ว ว่าจะจดจำ ‘บุญคุณที่ช่วยสอนสั่ง’ ของฮองเฮาไว้ในใจนางอย่างแน่นอน
ในยามนี้ได้จดจำคำสอนนี้มานานพอแล้ว ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ถึงเวลาที่จะพูดถึงเื่ราวเก่าๆ เ่าั้และจัดการทีละเื่
ทันทีที่คำเหล่านี้หลุดออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของฮองเฮาก็แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับสู่สภาพปกติ
ฮองเฮาจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าการสอนสั่งของมู่จื่อหลิงได้อย่างไร
แต่นางนึกไม่ถึงว่ามู่จื่อหลิงจะพูดถึงเื่เก่าออกมาอย่างโจ่งแจ้งอีกครั้ง
ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ช่างกล้าพูด เมื่อาแหายแล้วก็ลืมความเ็ปไปหมดสิ้น [1]
ฮองเฮารำพึงในใจอย่างเ็า ปล่อยให้ยายเด็กหน้าเหม็นได้ะโไปมาสักครู่ คงจะมีอะไรให้สอนสั่งในภายหลังอีกไม่น้อย
ฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม นางแสร้งทำสีหน้าไม่มีความสุข ก่อนจะกระซิบเบาๆ ว่า “หลิงเอ๋อร์พูดอะไร แม่ดูไร้เหตุผลถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
ใบหน้าของมู่จื่อหลิงสงบ แต่ในใจอยากจะกลอกตาขึ้นบนในทันที
ครั้งล่าสุดต่อหน้าไทเฮาเฒ่า นางยังขยันขันแข็งในการเติมเชื้อเพลิงให้เปลวไฟ แสดงตัวออกมา ‘สอนสั่ง’ นางเช่นนั้นนับว่าสมเหตุสมผลจริงๆ
สิ่งที่ฮองเฮาผู้มีเหตุผลผู้นี้ทำ หากจดจำถึงยามนี้ก็ยังคงเป็ความทรงจำที่สดใหม่อยู่ เป็ความทรงจำที่ลึกล้ำจนยากจะลืมเลือน
มู่จื่อหลิงกะพริบตาอย่างไร้เดียงสาและตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “เสด็จแม่ทรงเข้าพระทัยความหมายของหลิงเอ๋อร์ผิดแล้ว ในใจของหลิงเอ๋อร์ เสด็จแม่เป็มารดาที่ดีที่มีความรัก อ่อนโยน ใจดีและมีคุณธรรม เป็มารดาที่สง่างามและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทั้งยังเป็มารดาที่ดีของแผ่นดินในดวงใจของประชาชน จะไร้เหตุผลได้อย่างไร”
การได้รับคำชมเชยเป็สิ่งที่สวยงาม
แต่ มันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ได้รับการยกย่องสมควรได้รับมันหรือไม่
กำปั้นของฮองเฮาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนางกำแน่น ทั้งยังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ นางกัดฟันไว้จนแน่น แทบจะไม่สามารถรักษารอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของนางไว้ได้
วันนี้ยายเด็กหน้าเหม็นไปกินดีหมีหัวใจเสือ [2] มาหรือเปล่า? กล้าดีอย่างไรถึงได้ดื้อรั้นได้ถึงเพียงนี้
ทั้งหยุดยั้งคำพูดของนางเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงยกเื่เก่าขึ้นมา และยามนี้ยังกล้าพูดจาฉะฉานต่อหน้านาง ทั้งยังกล่าววาจาแดกดันนางอีก จุดประสงค์คือสิ่งใด?
แววตาของฮองเฮาเย็นเยียบ ไม่ว่ายายเด็กหน้าเหม็นจะมีเจตนาใด วันนี้นางก็จะไม่ทำให้มู่จื่อหลิงรู้สึกดีขึ้นอีก
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหลงเซี่ยวเจ๋อ กลายเป็สีแดงไปแล้วเมื่อได้ยินสิ่งที่มู่จื่อหลิงพูดออกไป มุมปากของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ จนกังวลว่าจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
พี่สะใภ้สามของเขาช่างน่ารักเหลือเกิน ท้ายที่สุดแล้วกำลังเอ่ยชื่นชมคน หรือทำร้ายคนกันแน่
ไม่เพียงแต่อยู่ในขอบเขตของอันตรายที่สูงสุดเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็การชมเชยหรือคำที่ใช้ทำร้ายคน มองไปแล้วยังคงดูมีมารยาทดี
ดูฮองเฮาเอาเถิด เห็นได้เพียงรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของนางเท่านั้น และรอยยิ้มของนางก็อ่อนโยนและดูไม่เป็อันตราย แม้ว่านางจะไม่มีความสุข แต่นางทำได้เพียงยิ้มตอบเท่านั้น
นางยิ้มบางๆ อย่างนุ่มนวล ทั้งยังตอบรับอย่างแ่เบาว่า “ดูสิ ั้แ่เมื่อใดกันที่หลิงเอ๋อร์ของเรามีวาทศิลป์มากถึงเพียงนี้?”
ฮองเฮามองมู่จื่อหลิงอย่างอ่อนโยน แต่ดวงตาของนางฉายแสงเย็นออกมาเป็ครั้งคราว
ดวงตาคู่นั้นที่ดูเหมือนกำลังวางยาพิษ คิดว่าตนเองปกปิดมันไว้ได้อย่างดี แต่มู่จื่อหลิงกลับมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
มู่จื่อหลิงไม่รู้สึกเจ็บหรือคันแม้แต่น้อย บนใบหน้าเหมือนไม่มีความรู้สึกใด แต่หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน
เห็นได้เพียงดวงตาคู่สวยของนางที่เคลื่อนไหวเพียงน้อยนิด การแสดงออกของนางดูสงบ มุมปากของนางโค้งงอเป็เส้นโค้งที่งดงามและเ็า ทั้งยังมีการเยาะเย้ยจางๆ แวบเข้ามาในดวงตาของนาง
กระตือรือร้นที่จะสรรเสริญนาง แต่...นางยังพูดไม่จบ
มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นช้าๆ ถูนิ้วชี้ที่เรียวยาวซึ่งถูกเข็มแหลมคมทิ่มแทงในวันนั้นอย่างคันไม้คันมือ
นางกล่าวว่า “ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ชมเชย เสด็จแม่ทรงมีเื่ให้ต้องจัดการมากมายอยู่ตลอด ทั้งยังต้องใช้เวลาทั้งวันไปกับการจัดการกับเื่เล็กน้อยในวังหลัง ยิ่งกว่านั้น แม้จะเหนื่อยบ้างเป็บางครั้ง ก็ยังสละเวลามาสอนสั่งหลิงเอ๋อร์ด้วยความใส่ใจ เสด็จแม่ทรงมีพระกรุณาธิคุณอันสูงส่ง ทำให้หลิงเอ๋อร์ยากจะลบเลือนจริงๆ เพคะ”
ไม่ต้องพูดเลยว่า ‘การสละเวลา’ คือสิ่งใด นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างก็สับสนเกินกว่าจะเข้าใจได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งย่อมรู้ดี
หากคำพูดของมู่จื่อหลิงเมื่อครู่นี้มีการซ่อนมีดไว้ในคำพูดของนางก็ดูจะไม่เกินจริง ภายนอกนางแค่อยากจะบอกว่าฮองเฮาเป็มารดาที่อ่อนโยนและมีคุณธรรมของแคว้น มายามนี้ประโยคนี้กลับกลายเป็สิ่งที่ตรงกันข้ามกัน เป็การเสียดสีความหน้าซื่อใจคดของฮองเฮาโดยตรง
คำพูด ‘ชมเชย’ และการหวนคืนของเื่เก่าทำให้รอยยิ้มที่มุมปากอันนุ่มนวลของฮองเฮาแข็งทื่อไป ทำให้นางไม่สามารถยิ้มออกมาได้ครู่หนึ่ง
ในเวลานี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าความโกรธในหัวใจของฮองเฮานั้นรุนแรงเพียงใด บนใบหน้าที่มีการแต่งเติมมาอย่างดี ในที่สุดก็ฝืนยิ้มกว้างออกมาได้ “คำสอนของแม่ ดีที่หลิงเอ๋อร์จดจำมันได้”
เห็นได้ชัดว่ามู่จื่อหลิงกำลังเล่นคำเล่นสำนวน [3] ซึ่งทำให้ฮองเฮารู้สึกราวกับมีหนามทิ่มแทงใจ แต่นางกลับไม่สามารถหยิบมันออกไปได้
มู่จื่อหลิงยิ้มและพยักหน้า แสดงตนว่าได้รับการสอนมา “เพคะ” แต่นางจะไม่จำมันนานจนเกินไป
‘ปัง——' ฮองเฮาตบโต๊ะลงไปไม่เบาหรือหนักเกินไป รู้สึกแน่นที่หน้าอกจนหายใจไม่ออก หายใจเข้าออกแรงๆ จนร่างแทบหัก
ร่างกายของมู่จื่อหลิงสั่นคลอนตามกันไป ถามอย่างไร้เดียงสาว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเสด็จแม่? หลิงเอ๋อร์พูดสิ่งใดผิดพลาดไปหรือไม่?”
ในเวลาเดียวกัน หลงเซี่ยวเจ๋อ ซึ่งกำลังฟังอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟังในที่สุดก็ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้ จนต้องหัวเราะออกมาดังๆ
“คิก อุ๊ป!” เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่มันก็อึดอัดจนไม่สบายท้องเช่นกัน
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว จ้องไปที่หลงเซี่ยวเจ๋อด้วยความโกรธ เหตุใดเด็กผู้นี้จึงใจร้อนนัก
ราวกับรู้ว่าเสียงนั้นได้ทำลายบรรยากาศไปแล้ว หลงเซี่ยวเจ๋อยกมือขึ้นเกาผมของตน แสร้งทำเป็เขินอาย เขาแกว่งแขนไปในอากาศรอบตัว แล้วพูดเบาๆ ว่า “ขออภัย ข้ากินขนมไปเยอะมากก่อนที่จะมา จึงอดไม่ได้จริงๆ...มันไม่เหม็นใช่ไหม?”
มู่จื่อหลิงยกมือขึ้นปิดปากและจมูกของนางโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่าเป็เพราะคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋อ นางจึงปิดปากกลั้นลมหายใจจากกลิ่นเหม็น แต่ในความเป็จริง นางอยากจะหัวเราะแต่ไม่กล้า
ดูเหมือนว่าระดับสติปัญญาของเด็กโง่หลงเซี่ยวเจ๋อผู้นี้จะแข็งแกร่งขึ้น ความสามารถในการปรับตัวของเขานั้นค่อนข้างรวดเร็ว และคำพูดของเขาก็น่าทึ่งมาก...ผายลมด้วยปาก ยังดีที่เขาคิดมันขึ้นมาได้
ในเวลานี้ ใบหน้าของฮองเฮาได้เปลี่ยนเป็ดำคล้ำไปในทันที
นางเห็นดวงหน้าที่มืดมนของตนเองได้อย่างชัดเจน ดวงตาของนางคมราวกับกระบี่ที่กำลังพุ่งตรงไปที่มู่จื่อหลิง ทั้งยังเฉียบคมราวกับกำลังจะแทงหัวใจของนาง
หากดวงตาสามารถฆ่าคนได้ คาดว่าในยามนี้มู่จื่อหลิงต้องถูกปะาชีวิตโดยการสับร่างออกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
มู่จื่อหลิงกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของนาง นางสบเข้ากับดวงตาที่น่าสะพรึงกลัวเหมือนเหยี่ยวที่กำลังเล็งมายังนาง โดยไม่แสดงความอ่อนแอออกมา
แต่การต่อสู้ที่เฉียบขาดนี้ใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดฮองเฮาก็พ่ายแพ้ไป
กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของฮองเฮา ไม่ได้มาจากคำพูดซับซ้อนที่มู่จื่อหลิงเพิ่งพูดไป
แต่เป็เพราะเมื่อนางจ้องไปที่ความสงบของมู่จื่อหลิง ดวงตาที่ดูเหมือนไม่เป็อันตราย กลับสร้างความตื่นตระหนกในหัวใจของนาง และค่อยๆ กลายเป็ความกลัว
เกิดอะไรขึ้น? นางจะกลัวยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ได้อย่างไร? หมัดใต้แขนเสื้อของฮองเฮากำแน่น ดวงตาของนางชัดเจน นาง้ามองตรงไปที่มู่จื่อหลิงต่อไปอีก
แต่เมื่อจ้องมองไปยังดวงตาที่ใสประดุจน้ำของมู่จื่อหลิง แววตานั้นราวกับจะพูดได้ และฮองเฮาไม่สามารถยับยั้งความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวของนางได้เลย
ในเวลาไม่ถึงพริบตา ดวงตาของฮองเฮาก็มืดลง และในที่สุดนางก็หลีกเลี่ยงการมองไปที่มู่จื่อหลิง
นางไม่เคยรู้ว่าจะมีประกายแห่งความสงบในดวงตาของมู่จื่อหลิง กลิ่นอายที่สูงส่งและเอื้อเฟื้อเช่นนี้มีมาแต่กำเนิดซึ่งมันช่างน่าเหลือเชื่อ
ฮองเฮาหลับตาลงเล็กน้อย ไม่มองมู่จื่อหลิงอีก หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าหน้าอกของนางขยับขึ้นลงค่อนข้างแรง ดูเหมือนว่าความโกรธจะถูกระงับไว้มากมาย ซึ่งกำลังรอการปะทุ
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของฮองเฮา ปากของมู่จื่อหลิงก็แสดงท่าทีเยาะเย้ย ราวกับว่านางเข้าใจแล้วว่าทำไมฮองเฮาจึงหลบสายตาของนาง
ดูเหมือนว่าหนังแกะที่ห่อหุ้มผิวของฮองเฮาจะถูกเจาะเข้าไปในไม่ช้า และเข็มสุดท้ายยังเป็เข็มที่อันตรายที่สุด
บรรยากาศในยามนี้อึดอัดเล็กน้อย จนเกิดความเงียบขึ้นในห้องโถง
กลุ่มขันทีและนางกำนัลที่คอยเฝ้ามองต่างก้มหน้าลงอย่างลำบากใจ พวกเขาต่างก็สงสัยเกี่ยวกับความหมายของสิ่งที่ฉีหวางเฟยกล่าวเมื่อครู่นี้ และเหตุใดพวกเขาถึงเ็าขึ้นมาในทันใด
มู่จื่อหลิงยังคงมีรอยยิ้มจางๆ นางใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและไร้เดียงสา มองไปทางฮองเฮาอย่างเงียบๆ
ฮองเฮาใช้มือข้างหนึ่งประคองศีรษะของนาง เอนกายพิงโต๊ะ และอีกข้างขยี้คิ้วที่อ่อนล้าของตนเบาๆ ราวกับกำลังระงับความโกรธของนางเอาไว้
ในใจของนางยังคงไม่เข้าใจ นางต่อสู้กับผู้หญิงมานับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา และไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด นางจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้นางถึงกลัวแม่หนูผู้นี้นัก
ในยามนี้ หัวใจของฮองเฮาดูเหมือนจะถูกรบกวนโดยมู่จื่อหลิง ราวกับว่ามันถูกพันด้วยเส้นด้ายนับไม่ถ้วน และไม่ว่านางจะแก้อย่างไรก็แก้ไม่ได้
ดวงตาของหลงเซี่ยวเจ๋อกระตุก ดวงตาของเขากวาดไปมาระหว่างคนทั้งสอง
ในยามที่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดฮองเฮาถึงไม่กล้ามองไปทางมู่จื่อหลิง แม้ว่าความโกรธในใจจะรุนแรง แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะปะทุออกมา
บรรยากาศที่เงียบสงบและน่าขนลุกนี้กินเวลานานโดยไม่ทราบสาเหตุ
ในที่สุด ขันทีตัวน้อยก็เดินเข้ามาทำลายความเงียบจากนอกห้องโถง
ขันทีตัวน้อยเดินไปที่ตำแหน่งข้างฮองเฮา ก้มลงคารวะฮองเฮาผู้มีสีหน้าไม่สู้ดี กล่าวด้วยความเคารพว่า “เหนียงเหนียง อาหารเย็นพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เมื่อาแหายแล้วก็ลืมความเ็ปไปหมดสิ้น (好了伤疤忘了疼) เป็วลี มีความหมายว่า เมื่อเื่ราวต่างๆ หรือบางสิ่งดีขึ้นแล้ว คนมักจะลืมไปว่าในยามนั้นเ็ปหรือลำบากมากมายเพียงใด
[2] กินดีหมีหัวใจเสือ (吃了熊心豹子胆) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า มีความกล้ากว่าปกติ
[3] เล่นคำเล่นสำนวน (玩文字游戏) มีความหมายว่า มีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่ในเื้ัคำหรือเื่ราวที่เกี่ยวข้องที่กล่าวออกมาอย่างเรียบง่าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้