“จางฉีซื่อกล่าวหาผู้อื่นอกตัญญูไม่ทราบว่าหวงซื่อเป็ญาติฝ่ายไหนของข้าหรือ?”
สูด... เสียงสูดปากของผู้คนรอบด้านบ่งบอกว่าทุกคนต่างเฝ้าคอยชมงิ้วฉากนี้อย่างใจจดใจจ่อ ถึงตรงนี้แล้วใครจะสนว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด ขอรับชมเพื่อความบันเทิง เื่ของข้างบ้านคือเื่ของพวกเรา สะใภ้บ้านไหนข่มเหงแม่สามี แม่สามีบ้านไหนข่มเหงลูกสะใภ้ เหล่าจางบ้านไหนแอบย่องเข้าบ้านแม่หม้ายหลี่ แม่หม้ายเหมย หมูหมาไก่กาบ้านไหนหายไป ทุกสิ่งที่กล่าวมามันคือความสุขของชีวิต จะพลาดได้อย่างไร
ไม่มีทาง!
“นังหนูสามเหตุใดเ้าจึงเรียกขานป้าสะใภ้เช่นนี้”น้ำเสียงของฉีซื่อราวกับคนได้รับความะเืใจใหญ่หลวง
ฉีซื่อผู้นี้คือภรรยาของจางเหล่าต้า เรียกว่าป้าสะใภ้ของจางจื่ออี๋ไม่นับว่าผิด หวงซื่อหรือย่าจางคือย่าของจางจื่ออี๋ก็นับไม่ผิดอีกเช่นกัน ก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะมีเื่ ตอนเปิดจะไม่ทำให้ยิ่งใหญ่อลังการได้ยังไง
“ฉีซื่ออย่ามาเล่นบทคนดี ข้าจางจื่ออี๋ ไร้พ่อขาดแม่ ตัดขาดตระกูลจาง ตั้งสายตระกูลใหม่ ไร้ความเกี่ยวข้องกับตระกูลจางที่มีจางโก่วต้านเป็หัวหน้าตระกูล ฉะนั้นอย่าได้เสนอหน้ามานับญาติ เกิดเป็คนอย่าได้ความจำสั้นนัก เื่อำมหิตที่พวกเ้าตระกูลจางทำไว้กับพวกเราสามพี่น้องใครมีตาย่อมมองเห็น เด็กสามคนพ่อแม่ตายถูกไล่ออกจากตระกูล ข้า15ปี น้องชาย9ปี น้องสาวแบเบาะอายุไม่ถึงเดือน เพราะไม่อยากรับผิดชอบเลี้ยงดู แค่พ่นวานจาคำว่าตัวซวยก็ถีบหัวส่งเด็กกำพร้าสามคนออกจากบ้าน..”
“...”
“ดังนั้นหวงซื่อ ฉีซื่อ ข้าจางจื่ออี๋ไม่เคยระรานผู้ใด ยิ่งเดินผ่านใครก็ไม่เคยพ่นวาจามูลสุนัขออกมา พวกเ้าไล่พวกข้าพี่น้องออกมาได้แล้วก็จงใช้ชีวิตให้ดี อย่ามายุ่งเกี่ยวกัน คำว่าตัดขาดในกฎหมายต้าฉู่นี้หาใช่เพียงตัดขาดเพียงความสัมพันธ์วงศ์ตระกูล แม้แต่ความสัมพันธ์ทางสายเืก็ไม่สามารถนำมากล่าวถึงได้อีก!”
โอ้... ชาวบ้านขามุงทั้งหลายต่างอ้าปากค้างไปตามๆ กัน คำพูดของจางจื่ออี๋ที่อ้างกฎหมายบ้านเมืองย่อมเรียกความน่าเชื่อถือได้อย่างมาก ชาวบ้านไม่รู้หนังสือแต่กฎหมายบ้านเมืองเปรียบดั่งอาญาสิทธิ์แห่ง์แค่ได้ยินก็ทำให้กลัวจนตัวสั่น
“นังตัวซวย! นังตัวกาลกิณี! นังเด็กไม่มีพ่อแม่สั่งสอนอย่ามาอ้างกฎหมายบ้าบออะไรนั่น ตั้งตัวเป็ศัตรูต่อย่าแท้ๆ ของตัวเองช่างเป็คนอกตัญญูไม่กลัวฟ้าดินลงโทษรึ เ้าข้าเอ้ย! มาดูนังเด็กอกตัญญูผู้นี้มันอยากได้ชีวิติแก่ๆ ของข้า ์...เหตุใดจึงส่งเด็กนรกนี่มาเกิดในตระกูลจางของข้า”ย่าจางถูกโทสะครอบงำไม่ว่าวาจาใดก็สามารถเอ่ยออกมาได้ และเมื่อรับรู้ว่าฝ่าตนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำก็เร่งบีบน้ำตาตีอกชกหัวลงไปนั่งกองกับพื้น คร่ำครวญราวจะขาดใจ
เห็นคนแก่ผมขาวโผลนลงไปร้องคร่ำครวญราวจะขาดใจ เสียงสะอื้นของนางหากว่าเป็เื่แสร้งทำก็นับว่าสมจริงยิ่งนัก แม้ย่าจางจะเป็สตรีปากร้ายจิตใจคับแคบไปบ้าง มีครั้งใดบ้างที่นางจะหลังน้ำตาราวกับคนหัวใจสลายถึงเพียงนี้ หลายคนเริ่มมีจิตใจหันเหไปทางคนบ้านจางส่วนหนึ่ง เริ่มมีคนชี้ไม้ชี้มือ บางคนถึงขั้นร่ำๆ จะออกมาพูดแทนย่าจางด้วยซ้ำ
จางจื่ออี๋แค่นเสียงเย็นออกมาอย่างไม่ไว้หน้า ตกเป็เป้าวิพากษ์วิจารณ์? ถูกผู้คนไม่ชอบหน้า? ไม่มีผู้ใดอยากคบหา ขอถามหนึ่งคำ คนเ่าั้ได้ให้ข้าวนางกินหรือไม่ ยามยากลำบากเคยหยิบยื่นน้ำในเพียงเล็กน้อยมาให้หรือไม่ หากว่าเป็ผู้ที่มีไมตรีต่อกัน พวกเขาเ่าั้ย่อมยืนอยู่ข้างเดียวกับนาง มิใช่กระทำอย่างพวกปากหอยปากปูเหล่านี้
“พฤติกรรมเหิมเกริม ไม่เห็นกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสายตา มีโทษโบยยี่สิบไม้ จำคุกสามเดือน ปรับสิบตำลึง หวงซิ่วเหมยเ้าร้องคร่ำครวญต่อไปสิ ร้องว่า์ไม่มีตาต่อไป ที่ต้าฉู่นี้ฮ่องเต้มิได้ศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจประชาชน ยังมีคนบางคนที่ร้องหาความยุติธรรมจากสรรค์ไร้ตัวตน กฎหมายที่ตราขึ้นโดยฮ่องเต้ไท่จู่ ไร้ค่าในสายตายายแก่อย่างเ้าหวงซิ่วเหมย”
“...”เหล่าชาวมุง ผู้ที่อยากเอ่ยปากเรียกร้องความเป็ธรรมให้หวงซื่อต่างถอยห่างออกไป สีหน้าของพวกเขาตื่นตระหนกราวกับได้ล่วงรู้ความลับสรรค์ ที่สามารถปลิดชีวิตน้อยๆ ของพวกเขาได้
“ข้าจางจื่ออี๋ ที่รู้มากที่สุดคือตัวหนังสือ ที่แตกฉานยิ่งกว่าก็คือกฎหมายแคว้นต้าฉู่ คิดว่าข้าเป็พวกถือศีลกินเจ อย่างนั้นหรือ เคยได้ยินคำว่าปลายพู่กันสามารถสังหารล้างตระกูลหนึ่งได้หรือไม่”จางจื่ออี๋กล่าวถ่อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีความอาทรร้อนใจใด ราวกับว่าสิ่งที่หญิงสาวกำลังเอ่ยถึงเป็เื่ธรรมดาที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวัน
“...”ส่วนชาวบ้านที่ทั้งชีวิตเกิดและเติบโตมาท่ามกลางหุบเขาอันไกลโพ้น ต่างก็หวาดกลัวถ้อยคำของเด็กกำพร้าบ้านจาง บางคนถึงกับใบหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นเทา ถึงขั้นนึกเสียใจภายหลังที่ชอบยุ่งเื่ของผู้อื่น หากว่าถูกลากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ทั้งชีวิตจะไม่จบสิ้นหรือ!
“หากอยากมีชีวิตอยู่จนแก่ตาย ก็อย่าได้มายุ่งกับข้า หากคิดยื่นมือเข้ามาวุ่นวายกับคนในครอบครัวข้า ทุกคนในที่นี้โปรดฟังแล้วจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ผู้ที่ล่วงเกินข้า คิดทำร้าย ทำลายครอบครัวของข้า ในผู้นั้นจะได้ลิ้นรสการจองล้างจองผลาญจากข้า จางจื่ออี๋”
ฮือฮา...
เหล่าสตรีที่มักนินทาว่าร้ายผู้อื่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ต่างก็แตกฮือถอยกรูออกห่างจากนังเด็กกำพร้าตัวซวยแทบไม่ทัน ภูตผีตนใดดลใจให้พวกข้าอยากหาเื่นังเด็กเวรผู้นี้ นี่ล้วนเป็ความผิดของหวงซื่อทั้งสิ้น นางเฒ่าน่าตาย... คิดอยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งนางต้องนำพาเื่ซวยมาให้
ที่หมู่บ้านจางเจี่ยใช่จะไม่มีข่าวลือเกี่ยวกับบ้านจาง ของจางต้าเกิน เมื่อมีข่าวลือย่อมมีมูลความจริง ยิ่งผู้พูดเป็หญิงชราที่อยู่มายาวนาน เื่ลับๆ มีหรือจะปิดเอาไว้ได้มิด เื่เหล่านี้ยิ่งปิด ยิ่งเหมือนกระดาษห่อไฟ ว่ากันว่าวันที่จางต้าเกินอุ้มบุตรชายคนที่สามกลับมาจากข้างนอก มีเื่ราวแปลกประหลาดตามมาไม่น้อย คืนวันนั้นฝันห่าใหญ่เทกระหน่ำดุจ์พิโรจน์ แม้จะเป็กลางดึกแต่ก็มีบางคนในหมู่บ้านที่บังเอิญออกมาถ่ายท้องแล้วเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าพอดี มีกลุ่มคนที่ท่าทางน่ากลัวตามจางต้าเกินกลับมา ม้าที่พวกเขาขี่ใหญ่โต พ่วงพี มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็ของราคาแพง พอพวกเขาเข้าไปในบ้านของจางต้าเกิน ไม่รู้พูดคุยอันใดกัน
จากที่แม่สามีของลูกสะใภ้ของลูกพี่ลูกน้องบอกมา ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของหวงซิ่วเหมยภรรยาของจางต้าเกิน ตามมาด้วยเสียงด่าทอ ชาติชั่ว สารเลว หญิงชั้นต่ำ หญิงโคมเขียว อันใดเทือกนั้น ตามด้วยเสียงตบตี เสียงร้องไห้จ้าของเด็กทารก ไม่รู้ว่าค่ำคืนนั้นผ่านไปได้เช่นไร เพราะกลุ่มคนที่ตามจางต้าเกินกลับมานั้นออกมาเดินสำรวจรอบๆ บ้าน แล้วเจอคนชะเง้อมองความเคลื่อนไหวในบ้านจาง จึงถึงคนผู้นั้นชักดาบเล่มโตข่มขู่และสั่งให้ปิดปากตนให้สนิท
ยามนั้นผู้ที่แอบฟังเื่บ้านจางต้าเกิน หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ เป็ไข้จับสั่น ไปเยือนปากประตูผีมารอบหนึ่ง กว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ หมดค่าหมอ ค่ายาไปหลายตำลึง
หลังจากรักษาจนหายดี เื่บ้านจางต้าเกินก็ผ่านไปเป็เดือนแล้ว เด็กทารกที่ถูกอุ้มกลับมาถูกรับเข้าตระกูลจาง มีชื่ออยู่ในผังลับดับตระกูล บุตรชายจางต้าเกินและจางหวงซื่อ ลับดำที่สาม จางจื้อหลิน
ส่วนสาเหตุที่ทำให้หวงซื่อยอบรับเด็กทารกที่ถูกอุ้มมาจากด้านนอกนั้น ยังเป็ที่ถกเถียงกันมาจนถึงวันนี้ แต่ที่แน่ๆ คือหลังจากที่มีเด็กทารกผู้นั้นเข้ามาบ้านจางดูอู้ฟู่อย่างเห็นได้ชัด
ดูสิ เื่ราวมีเงื่อนงำถึงเพียงนี้ เป็หัวข้อให้ถกเถียงกันมิรู้จบ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้