ผู้เฒ่าอวิ๋นโกรธจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ส่วนผู้ดูแลจางแทบจะร้องไห้เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของอวิ๋นโส่วจู่ เขารีบแก้ตัว “ท่านหัวหน้าเฉิน ข้าน้อยมิได้ร่วมมือกับเขา เื่นี้เขาเป็คนมาบอกข้าน้อยเองจริงๆ! พวกท่านไปตรวจสอบเขาให้ดี! ต้องตรวจสอบเขา! บางทีเขาอาจจะเป็คนขโมยไปก็ได้!”
ได้ยินดังนั้นอวิ๋นเจียวก็แอบชื่นชมผู้ดูแลจางอยู่ในใจ เขาถึงกับกล่าวสิ่งที่พวกนาง้าจะพูดออกไปหมดแล้ว พอดีเลย พวกนางก็ไม่จำเป็ต้องเปลืองแรง!
พอได้ยินผู้ดูแลจางเสนอให้ไปตรวจสอบอวิ๋นโส่วจู่ ผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูลอวิ๋นมองหน้ากัน หัวหน้าตระกูลอวิ๋นจึงเป็ผู้ออกมาประกาศว่า “นับแต่นี้ไป ตระกูลอวิ๋นขอขับไล่อวิ๋นโส่วจู่ออกจากตระกูล! อวิ๋นโส่วจู่มิใช่คนของตระกูลอวิ๋นอีกต่อไป!”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเสริม “คนชั่วช้าเช่นนี้ แม้แต่ญาติพี่น้องแท้ๆ ของตนเองก็ยังคิดจะใส่ร้าย หมู่บ้านไหวซู่ของข้าไม่ต้อนรับคนเช่นนี้ ข้าขอประกาศ นับแต่นี้ไปขอขับไล่อวิ๋นโส่วจู่ออกจากหมู่บ้านไหวซู่ อวิ๋นโส่วจู่มิใช่คนของหมู่บ้านไหวซู่อีกต่อไป!”
“ดี!”
“สมควรแล้ว!”
“คนชั่วช้าเช่นนี้ไม่ควรอยู่ในตระกูลอวิ๋นของเรา!”
“ไม่ควรอยู่ในหมู่บ้านของเรา!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้บุตรชายของตนเองถูกขับไล่ออกจากตระกูลและหมู่บ้าน
เถาซื่อกรีดร้องทันที “มีสิทธิ์อะไร! เห็นได้ชัดว่าเ้าสี่ถูกเ้าสองหลอกใส่ร้าย เหตุใดถึงไล่เ้าสี่ออกไป จะไล่ก็ต้องไล่เ้ารองสิ!”
หัวหน้าตระกูลอวิ๋นกล่าวอย่างเ็า “โส่วจงถูกพวกเ้าบังคับให้ตัดออกจากตระกูลไปั้แ่ยี่สิบปีก่อน มิได้อยู่ในบันทึกสมาชิกตระกูลแล้ว จะไล่ออกไปได้อย่างไร? เ้าห้าของพวกเ้ากำลังจะสอบเป็บัณฑิตถงเซิง หากที่บ้านมีคนทำความผิดจนต้องติดคุก ย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าสอบเป็บัณฑิตถงเซิงอีก!”
คำพูดของหัวหน้าตระกูลดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่า ผ่าลงกลางศีรษะของผู้เฒ่าอวิ๋นและเถาซื่อ เ้าห้า! ใช่แล้ว ยังมีเ้าห้าอีกคน!
“อวิ๋นโส่วจง เ้ามันคนสารเลวน่าตายนัก ไอ้คนใจดำอย่างเ้า ถึงกับกล้าใส่ร้ายน้องชายตัวเอง ขอให้เ้ามีอันเป็ไป...” เถาซื่อร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา ทรุดตัวลงกับพื้น ชี้นิ้วด่าทอสาปแช่งอวิ๋นโส่วจงและครอบครัว
หัวหน้าตระกูลอวิ๋นสั่งทันที “ลากยายแก่บ้าคนนี้ไปคุกเข่าหน้าโถงบรรพชน! ได้สติตอนไหนค่อยพาตัวกลับไป!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นใจเสีย “พี่ใหญ่ เถาซื่อร่างกายอ่อนแอ...”
หัวหน้าตระกูลเอ่ยอย่างเหลืออดเหลือทน “บ้านเ้าเป็เช่นนี้ก็เพราะเถาซื่อไร้คุณธรรม! หากนางฉลาดสักนิด ใจกว้างสักหน่อย บ้านเ้าคงไม่วุ่นวายเช่นนี้! หากเ้ายัง้านาง ก็ย่อมได้ แต่ตระกูลอวิ๋นของเรามิยินดีต้อนรับสะใภ้เช่นนี้ บ้านพวกเ้าก็แยกออกไปเสีย ข้าก็จะยุ่งเื่บ้านของพวกเ้าไม่ได้อีก!”
ได้ยินดังนั้นผู้เฒ่าอวิ๋นก็รู้สึกเหมือนฟ้าถล่ม ร่างกายเขาซวนเซ หน้ามืด กว่าจะกลับมาทรงตัวอยู่ได้ก็เล่นเอาเกือบแย่
จากนั้นหัวหน้าตระกูลอวิ๋นก็กล่าวต่อ “บ้านเ้ายังมีเ้าห้าอีกคน ข้าขับไล่อวิ๋นโส่วจู่ออกจากตระกูลแล้ว แต่เขายังไม่ได้แยกบ้านกับเ้า!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นเพิ่งรู้สึกตัว แม้จะสงสาร เพราะอย่างไรก็เป็ลูกชายของเขา แต่พอคิดถึงโส่วหลี่ที่กำลังจะสอบเป็บัณฑิตถงเซิง ความหวังของตระกูลอวิ๋นฝากไว้ที่เขา ไม่อาจเกิดเื่ผิดพลาดได้ จึงกัดฟันกล่าวว่า “นับแต่นี้ไป ข้าขอตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับอวิ๋นโส่วจู่ อวิ๋นโส่วจู่มิใช่คนของบ้านข้าอีกต่อไป!”
อวิ๋นโส่วจู่ได้ยินเช่นนั้นก็ทรุดลงกับพื้น จ้องมองผู้เฒ่าอวิ๋นด้วยสายตาเหลือเชื่อ “อะไรนะ ท่านพ่อ ท่านพูดอะไร?”
ผู้เฒ่าอวิ๋นหันหน้าหนี ไม่ยอมมองเขา
หัวหน้าเ้าหน้าที่กำลังหงุดหงิด ไม่รู้ว่าจะปิดคดีนี้อย่างไรดี ไม่มีเวลามาสนใจการทะเลาะกันระหว่างญาติพี่น้องของพวกเขา จึงโบกมือแล้วสั่ง “ไปค้นบ้านอวิ๋นโส่วจู่!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นโส่วจู่พลันนึกถึงเงินสิบตำลึงที่ซ่อนอยู่ในห้อง จึงรีบเอ่ยห้าม “ค้นไม่ได้นะ ข้าไม่ได้ขโมย ไปค้นบ้านพวกเขาสิ ไปทรมานอวิ๋นเจียวสิ ต้องเป็ยัยเด็กนั่นแอบซ่อนเอาไว้แน่ๆ”
อวิ๋นเจียวเป็เพียงเด็กหญิงอายุหกขวบ เขากลับพูดออกมาได้ว่าจะทรมานนาง สองพี่น้องอวิ๋นฉี่ชิ่งและฉี่เสียงได้ยินเช่นนั้นก็ทนไม่ไหว บวกกับอวิ๋นฉี่ซานและอวิ๋นหลานเอ๋อร์ เด็กทั้งสี่คนจึงพุ่งเข้าไปรุมทึ้งอวิ๋นโส่วจู่ทันที
แม้อวิ๋นโส่วจู่จะเป็ผู้ใหญ่ แต่จู่ๆ ก็ถูกเด็กๆ รุม บวกกับความตื่นตระหนกในใจ จึงพลาดท่าให้กับเด็กทั้งสี่ ถูกพวกเขาผลักล้มลงกับพื้น แล้วโดนรุมประชาทัณฑ์ อวิ๋นโส่วจู่ร้องโอดโอยด้วยความเ็ป
หัวหน้าเ้าหน้าที่ได้พาลูกน้องไปที่บ้านตระกูลอวิ๋นเก่าแล้ว เหลือเพียงเ้าหน้าที่สองนายไว้ที่นี่ พวกของอวิ๋นฉี่เสียงซ้อมคนจนพอใจแล้ว เห็นว่ากำลังจะไปตรวจค้นบ้านตระกูลอวิ๋นเก่า จึงปล่อยอวิ๋นโส่วจู่ จากนั้นก็รีบตามไปสมทบกับทุกคนมุ่งหน้าไปบ้านตระกูลอวิ๋นเก่า
อวิ๋นโส่วจู่ถูกซ้อมจนสะบักสะบอม หลิ่วซื่อปล่อยโฮ รีบเข้าไปพยุงเขาขึ้น ทั้งสองรีบตามไปที่บ้านตระกูลอวิ๋นเก่า อวิ๋นโส่วจู่นึกถึงเงินที่เขาซ่อนเอาไว้ ส่วนหลิ่วซื่อก็นึกถึงไข่ไก่ที่นางแอบเก็บเอาไว้ ส่วนเื่อื่นๆ ทั้งสองกลับไม่สนใจไยดี
เพียงชั่วครู่เดียว ผู้คนหน้าบ้านของอวิ๋นโส่วจงก็หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงเ้าหน้าที่ทางการทั้งสองนายที่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก อาจารย์ตั่ง และพวกคนของจางหลิง
จางหลิงเห็นว่าบ้านของอวิ๋นเจียวไม่มีอะไรแล้ว จึงรีบตามไปที่บ้านตระกูลอวิ๋นเก่า เพราะท่านโหวสั่งให้เขาเปิดเผยตัวตนในกรณีที่จำเป็จริงๆ เท่านั้น
แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่องครักษ์ที่คอยแอบคุ้มครองอวิ๋นเจียวและครอบครัวก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน
อวิ๋นโส่วจงไม่สนใจเ้าหน้าที่ทางการทั้งสองนาย เพียงแต่หันไปกล่าวกับอาจารย์ตั่งด้วยท่าทีนอบน้อม “ทำให้ท่านอาจารย์ต้องมาพบเห็นเื่น่าขบขันเช่นนี้แล้ว”
เดิมทีอาจารย์ตั่งคิดจะใช้ฐานะของตนปกป้องอวิ๋นโส่วจงและครอบครัว ไม่คิดเลยว่าเื่ราวจะพลิกผันเช่นนี้ ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขาโล่งใจ จึงกล่าวว่า “ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว มีคนชั่วคิดร้าย ไม่ใช่ความผิดของพวกเ้าเสียหน่อย! ไม่มีอะไรน่าขบขันหรอก”
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อสองสามวันก่อนอวิ๋นโส่วจงถึงส่งเกวียนหลายคันมาที่บ้านของเขา ที่แท้ก็รู้ว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น ครอบครัวนี้ทั้งกล้าหาญและเฉลียวฉลาด เวลาเจอเื่ไม่คาดฝันก็ไม่หวั่นไหว เขายิ่งมองครอบครัวนี้ด้วยความชื่นชม
“พวกเ้าไปที่บ้านข้าก่อนเถิด ทิ้งเื่วุ่นวายตรงนี้เอาไว้ก่อน ยังไงก็ต้องให้นายอำเภอของพวกเขามาให้คำอธิบายก่อนค่อยเก็บกวาด!”
กล่าวจบก็หยิบป้ายไม้แผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้เ้าหน้าที่นายหนึ่ง “รบกวนนำป้ายไม้แผ่นนี้ไปมอบให้ใต้เท้าของพวกเ้า บอกว่าข้าผู้แซ่ตั่งรอเขาอยู่ที่บ้าน อยากสนทนากับเขาสักหน่อย!”
เนื่องจากรู้ดีว่าพวกผีน้อยเหล่านี้รับมือยาก อาจารย์ตั่งจึงมอบเศษเงินหนักห้าเฉียนให้เ้าหน้าที่ทั้งสองไปคนละก้อน แล้วกล่าวต่อว่า “พวกเ้าเพียงแค่นำป้ายไม้แผ่นนี้ไปมอบให้ใต้เท้าของพวกเ้าก็พอ ใต้เท้าของพวกเ้าต้องมาหาข้าที่บ้านแน่ เมื่อใต้เท้าของพวกเ้ามาถึงแล้ว ข้าจะมอบสินน้ำใจให้พวกเ้าอีก!”
ได้ยินดังนั้นทั้งสองคนจึงสบตากัน จากนั้นเ้าหน้าที่นายหนึ่งก็เก็บป้ายไม้เข้าไปในอกเสื้อ คำนับอาจารย์ตั่งพลางกล่าวว่า “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เมตตา ข้าน้อยจะรีบนำป้ายไม้ไปส่งให้เองขอรับ! เพียงแต่บ้านของท่านอาจารย์อยู่ที่ใด รบกวนบอกทางพวกข้าน้อยด้วยขอรับ!”
อาจารย์ตั่งพยักหน้า “ไปกันเถอะ!”
ทุกคนเดินตามอาจารย์ตั่งไปที่บ้านของเขา พอไปถึงเ้าหน้าที่ผู้นั้นจึงขอตัวกลับ ส่วนอีกนายหนึ่งยังคงอยู่ที่นั่น อวิ๋นโส่วจงกับคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจจะไปดูความวุ่นวายที่บ้านหลังเก่านั้น จึงพากันไปนั่งรอที่ห้องโถง
เมื่อเห็นว่าน้องรองปลอดภัยแล้ว อวิ๋นโส่วกวงก็พาพวกลูกจ้างกลับไปทำงานที่ไร่ต่อ ส่วนอวิ๋นโส่วเย่าก็ไปที่ไร่เช่นกัน ส่วนจุดจบของอวิ๋นโส่วจู่นั้น ในสายตาพวกเขาแล้ว มันไม่ได้สำคัญเท่ากับที่ดินของบ้านอวิ๋นโส่วจงเลย เื่ในครอบครัวนี้สงบลงได้แล้ว
ส่วนทางฝั่งบ้านตระกูลอวิ๋นเก่านั้น กลับวุ่นวายกันยกใหญ่ ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก พวกเ้าหน้าที่ทางการค้นพบกล่องไม้สีแดงใบหนึ่งซ่อนอยู่ในหมอนของอวิ๋นโส่วจู่