ณ ห้องโถงสำหรับประชุมงาน จวนเยี่ยนหวัง
จ่างสื่อและผู้ตรวจการแห่งเมืองเยี่ยนคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้ากระทั่งจะหายใจแรง
เยี่ยนหวังโจวปิงถือสิ่งที่ถูกเรียกว่า หมวกนิรภัย เอาไว้ในมือ และสังเกตอย่างละเอียด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถามขึ้นว่า “เป็ของที่ดรุณีน้อยอายุเก้าขวบทำขึ้นจริงๆ หรือ”
จ่างสื่อตอบเสียงเบา “ขอรับ”
“ต้องใช้ความคิดมากเลยทีเดียว เป็เด็กที่กตัญญูจริงๆ”
โจวปิงวางหมวกนิรภัยลง ก้มลงมองคนทั้งสองที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น “พวกเ้าคิดจะใช้เื่เด็กหญิงอายุเก้าขวบทำหมวกนิรภัยมาปกปิดเื่ที่มีอุบัติเหตุจนคนตาย ข้าไม่ยอมให้เกิดเื่เช่นนี้ที่นี่เป็อันขาด”
ผู้ตรวจการและจ่างสื่อมีสีหน้าขาวซีด รีบโขกศีรษะอย่างแรง ร้องขอให้ละเว้นโทษ
โจวปิงขมวดคิ้ว “พวกเ้ามีมาตรการอย่างไร”
จ่างสื่อรีบตอบ “ผู้น้อยสั่งให้ช่างฝีมือสร้างหมวกนิรภัยทั้งวันทั้งคืนแล้วขอรับ จากนั้นจะนำไปแจกจ่ายให้คนงานที่สร้างกำแพง และจัดการสร้างราวบันไดกันตก…”
“ข้าไม่อยากได้ยินเื่ที่มีคนตายอีก ออกไปได้แล้ว” โจวปิงโบกมือ สายตามองไปที่หมวกนิรภัย จนกระทั่งทั้งสองเดินออกไปจึงหยิบหมวกนิรภัยขึ้นมา และเดินไปหาฉินไท่เฟยผู้เป็มารดาแท้ๆ ของตนแล้วเล่าเื่ที่ดรุณีน้อยทำหมวกนิรภัยให้มารดาและอารองฟังรอบหนึ่ง ฉินไท่เฟยฟังด้วยความซาบซึ้งใจตามคาด
“เป็เด็กดีจริงๆ” ฉินไท่เฟยหยิบหมวกนิรภัยขึ้นมาพลิกดูซ้ายขวา หลังจากดูเสร็จก็ให้เยี่ยนหวังเฟยลูกสะใภ้ของตนนำไปดูต่อ
เยี่ยนหวังเฟยถามว่า “เสด็จแม่ ท่านคิดว่าจวนของพวกเราต้องมอบรางวัลให้เด็กคนนี้เพื่อชมเชยความกตัญญูของนางหรือไม่เพคะ”
ฉินไท่เฟยคิดเช่นนั้นพอดี จึงตอบยิ้มๆ ว่า “ได้ รอให้เื่ราวผ่านไปก่อนค่อยว่ากัน”
หลังจากโจวปิงเดินออกไป เจียงชิงอวิ๋นก็มาคารวะฉินไท่เฟยตามปกติ
ฉินไท่เฟยมองสำรวจเจียงชิงอวิ๋นที่มีใบหน้าเหมือนน้องสาวของตน กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้สีหน้าของเ้าค่อนข้างดีทีเดียว เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่”
เจียงชิงอวิ๋นตอบ “หลับไปเต็มๆ สองชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากครอบครัวพบเจอความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เขาก็นอนไม่ค่อยหลับ ต่อให้กินยาก็ยังนอนไม่หลับ เมื่อมาถึงเมืองเยี่ยนได้พบสภาพแวดล้อมใหม่ๆ สุดท้ายจึงหลับได้บ้าง ทว่าแต่จวนเยี่ยนหวังมีสตรีมาก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็ค่อนข้างซับซ้อน เขาที่เป็แขกถูกลากเข้าไปพัวพันกับอันตรายหลายครั้งหลายครา จึงคิดที่จะย้ายออกจากจวนอ๋อง หาสถานที่สงบๆ เพื่อพักรักษาตัวเพียงลำพัง
“ญาติผู้พี่ของเ้านำหมวกหวายนี้มาให้ข้าดู เ้าเดาดูสิว่า หมวกหวายนี้ทำอย่างไร” ฉินไท่เฟยส่งหมวกนิรภัยไปให้เจียงชิงอวิ๋น
เจียงชิงอวิ๋นรับหมวกหวายมาดูทั้งด้านในด้านนอก ยิ้มตอบว่า “เป็หวายแก่ที่มีความเหนียวมาก หวายเช่นนี้ทำให้เปลี่ยนรูปได้ยากและไม่อาจใช้ไฟเผาด้วย คนผู้นี้คงใช้น้ำแช่หวายให้อ่อนแล้วค่อยสานเป็หมวก”
ฉินไท่เฟยยิ้ม พูดกับเยี่ยนหวังเฟยว่า “ดูเถิด ชิงอวิ๋นฉลาดเพียงใด เพียงมองก็รู้ว่าทำอย่างไร”
เยี่ยนหวังเฟยพยักหน้า ถามว่า “ญาติผู้น้อง เ้าเดาสิว่าใครเป็คนทำ?”
“เื่นี้ข้าไม่ทราบ พี่สะใภ้โปรดบอกด้วยเถิด” เจียงชิงอวิ๋นใช้แรงบีบหวาย้า พบว่ามันแข็งมาก คนที่ทำหมวกหวายนี้จะต้องลงแรงไปมากจริงๆ
ฉินไท่เฟยชิงตอบก่อนเยี่ยนหวังเฟย “มันเป็หมวกที่ดรุณีน้อยอายุเก้าขวบคนหนึ่งทำให้บิดาและท่านอาของนาง มันเรียกว่า หมวกนิรภัย”
สีหน้าของเจียงชิงอวิ๋นพลันเปลี่ยนไป ในใจคิดว่า หวายแก่ๆ พวกนี้ต่อให้ถูกแช่น้ำเอาไว้จนอ่อนลงแล้วก็ยังแข็งมากอยู่ดี ดรุณีน้อยอายุเก้าขวบคนหนึ่งจะมีแรงสานหวายให้เป็หมวกได้อย่างไร ฝีมือการสานก็ดีมาก ดรุณีน้อยอายุเก้าขวบจะมีฝีมือการสานที่พิถีพิถันเช่นนี้ได้อย่างไร
ฉินไท่เฟยเห็นท่าทีของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อนเ้ามาก ไม่ต้องพูดถึงเ้าเลย กระทั่งข้าก็คิดไม่ถึงว่า ดรุณีน้อยคนหนึ่งจะทำหมวกนี้ออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว”
“ใช่” เจียงชิงอวิ๋นมองไปยังใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฉินไท่เฟย ในใจคิดว่า ไม่รู้ว่าหมวกนิรภัยอะไรนี่เป็ญาติผู้พี่ส่งมาเอาอกเอาใจท่านป้าหรือผู้ใต้บัญชาส่งมาเอาหน้า ช่างเถิด เป็เพียงเื่เล็กที่ไม่จำเป็ต้องใส่ใจ เหตุใดข้าต้องพูดอะไรที่จะทำให้ท่านป้าไม่พอใจด้วยเล่า
เยี่ยนหวังเฟยต้องจัดการงานในจวนอ๋องจึงขอตัวไปก่อน
เจียงชิงอวิ๋นอยู่พูดคุยกับฉินไท่เฟย ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้เฉกเช่นตอนแรกที่เพิ่งมาถึงใหม่ๆ แล้ว ทว่าในบรรยากาศยังคงมีความเศร้าและความคิดถึงครอบครัวอยู่มิคลาย
เจียงชิงอวิ๋นอยากพูดเื่ออกจากจวนหลายครั้งแล้ว แต่ก็กังวลว่า ฉินไท่เฟยจะเสียใจ จึงทำได้เพียงรอให้เวลาผ่านไปหลายวันก่อน
ยามค่ำคืน ณ หมู่บ้านหลี่อันเงียบสงบ จู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้อันน่าเวทนาของคนจำนวนหนึ่งดังแว่วมา
จ้าวซื่อสะดุ้งตื่นจากฝัน ลุกขึ้นจากเตียงสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป เห็นบุตรชายบุตรสาวยืนอยู่ที่ลาน กำลังมองไปทางต้นเสียงนั้น
ท่ามกลางความมืดมิดมองเห็นแสงตะเกียงจากห้องโถงของบ้านจางได้รางๆ ในลานเรือนมีเงาคนเคลื่อนไหว เสียงร้องไห้แทบขาดใจของสตรีนางหนึ่งดังชัดอยู่ท่ามกลางเสียงร้องไห้อันโศกเศร้าของผู้คน
“จางเอ้อร์ซาน เ้าตายแล้วกลับเป็สุขนัก ผลักภาระของลูกๆ มาให้ข้าทั้งหมด ้าบีบบังคับให้ข้าตายหรือไร เหตุใดชีวิตข้าจึงลำบากเช่นนี้!”
จ้าวซื่อได้ยินดังนั้นก็พูดว่า “นี่เป็เสียงของหวังฮวา นางบอกว่าจางเอ้อร์ซานตายแล้ว”
หลี่เจี้ยนอันถามอย่างสงสัย “จางเอ้อร์ซานไปสร้างกำแพงเมืองเยี่ยนเมื่อไม่นานนี้มิใช่หรือ”
ตอนนี้มีคนสองคนวิ่งผ่านหน้าประตูรั้วของบ้านหลี่ หนึ่งในนั้นเห็นคนบ้านหลี่ก็กล่าวกับคนบ้านหลี่ประโยคหนึ่ง “จางเอ้อร์ซานไปสร้างกำแพงเมือง ถูกหินกระแทกตายแล้ว”
สองคนนี้ก็คือ หวังไห่และสวี่เจิ้ง คนที่พูดก็คือ สวี่เจิ้งที่เพิ่งกลับมาจากเมืองเยี่ยน
ในหมู่บ้านมีคนตาย หวังไห่ที่เป็หัวหน้าหมู่บ้านจำเป็ต้องรู้ ยิ่งตอนนี้มีเ้าหน้าที่มาจากจวนผู้ตรวจการแห่งเมืองเยี่ยนด้วยแล้ว หวังไห่จึงต้องไปพบเ้าหน้าที่เพื่อพูดคุย
จ้าวซื่อพลันคิดถึงสามีและอาเล็กที่ไปสร้างกำแพงอยู่ที่เมืองเยี่ยน ใจนแขนขาเย็นเฉียบ ถามว่า “พี่เจิ้ง สามีกับน้องชายเขาปลอดภัยดีหรือไม่”
“พวกเขาไม่เป็ไร อีกประเดี๋ยวข้าจะมาบ้านเ้า” สวี่เจิ้งกล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้ แล้วเดินตามหวังไห่ที่มีท่าทางเคร่งเครียดไป
“ท่านแม่ พวกเราไปถามกันเถิด” หลี่เจี้ยนอันรีบเดินตามไป
คนบ้านหลี่ได้ยินเสียงร้องของคนบ้านจาง ทำให้รู้สึกหวาดกลัวและเป็กังวล
ในใจของหลี่หรูอี้รู้สึกตำหนิตนเองเป็อย่างยิ่ง หากรู้ว่าการสร้างกำแพงเมืองจะทำให้มีคนตายได้เช่นนี้ ควรเรียกหลี่ซานและหลี่สือกลับมานานแล้ว แม้ หลี่ซานกลับมาแล้วจะคัดค้านเื่ที่นางทำการค้าก็ยังดีกว่าปล่อยให้สองพี่น้องหลี่ตาย นางพูดเสียงเบา “ท่านแม่ บ้านของพวกเราปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว มิสู้เรียกท่านพ่อกับท่านอารองกลับมา เป็อย่างไร”
หลี่อิงฮว๋าพูดต่อ “ปีที่ผ่านๆ มาท่านพ่อ ท่านอารอง และคนในหมู่บ้านไปสร้างกำแพงเมือง ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุมาก่อน เหตุใดจางเอ้อร์ซานจึงตายได้?”
หลี่ฝูคังถามว่า “ท่านแม่ พอฟ้าสว่างแล้วข้าไปเรียกท่านพ่อและท่านอารองกลับมาจากเมืองเยี่ยนได้หรือไม่ขอรับ”
จ้าวซื่อพยายามสงบใจ พูดว่า “รอพี่ใหญ่เ้าสอบถามเื่ราวกลับมาก่อนค่อยว่ากัน”
ไม่นานหลี่เจี้ยนอันก็กลับมา เขาเล่าเื่ที่ตนไปสอบถามให้ทุกคนฟัง ในสมองมีแต่ภาพหวังฮวาและลูกๆ ร้องไห้แทบขาดใจตาย กล่าวตะกุกตะกักว่า “เ้าหน้าที่มอบเงินชดเชยให้บ้านจางห้าตำลึงเงิน ชีวิตคนมีค่าเพียงห้าตำลึงเงิน เงินเพียงเท่านี้จะพอให้หวังฮวาและลูกๆ ใช้จ่ายได้อย่างไรกัน”
หวังฮวาชอบนินทาคนลับหลัง มีนิสัยขี้อิจฉา บ้านจางชอบรังแกคนอ่อนแอกว่า แต่หวาดกลัวคนแข็งแกร่ง นิสัยไม่ดี
บ้านหลี่และบ้านจางเป็ครอบครัวที่มาจากนอกหมู่บ้านทั้งคู่ ทั้งยังเป็เพื่อนบ้านกันด้วย แต่ความสัมพันธ์ไม่ดีนัก ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน
คราวนี้จางเอ้อร์ซานตาย ทำให้บ้านหลี่เห็นใจบ้านจาง โดยเฉพาะหวังฮวาที่ใกล้คลอดแล้ว
ในที่สุดสวี่เจิ้งก็ปลีกตัวมาที่บ้านหลี่ได้ เมื่อเห็นครอบครัวหลี่นั่งอยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้าไร้ชีวิตชีวา จึงรีบนำเงินที่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมามอบให้จ้าวซื่อ เล่าเื่ที่จ่างสื่อมอบรางวัลให้กับหลี่ซานให้พวกนางฟังอย่างละเอียด
.......................................