เจิ้งหยวนจำเพลงได้ไม่เยอะ แต่เพลง 《ขยับฝีพายกันเถิดผองเรา》 โด่งดังมาก เพราะเป็เพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังเื่
《ดอกไม้ของมาติภูมิ》 ด้วยเพราะทำนองเพลงไพเราะงดงาม จึงนิยมร้องกันอย่างล้นหลาม
ขอเพียงเสียงไม่ได้แย่ หรือร้องเพี้ยนสุดๆ ร้องออกมาแบบไหนก็น่าฟังทั้งนั้น
หนิวหนิวจึงโดนดึงดูดทันที เขายิ้มแย้มหัวเราะร่า เอื้อมมือหมายจะจับปากอารองของตน
เจิ้งหยวนแกล้งงับนิ้วมือเล็กจ้อยของเขาเบาๆ “ฉันจะกินนิ้วของเธอแล้วนะ งั่ม!”
อู๋อวี้หลันเหลือบมองเจิ้งหยวน อดชื่นชมไม่ได้ “เจิ้งหยวนของเธอร้องเพลงเพราะจริงๆ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นพูดถ่อมตัวแทนเจิ้งหยวน “เธอก็แค่ร้องมั่วๆ น่ะ!”
อู๋อวี้หลันสนเข็มเสร็จแล้วผูกเงื่อนตายตรงปลายด้าย ก่อนยิ้มพลางเอ่ยหยอกเย้า “ร้องมั่วยังเพราะขนาดนี้เลยเหรอ? นี่ จะว่าไป ทำไมเธอไม่ลองให้เจิ้งหยวนไปสอบเข้ากรมศิลปะล่ะ?”
รอยเย็บบนผ้าห่มต้องมีขนาดใหญ่ เฉินชุ่ยอวิ๋นเย็บตะเข็บยาวรอยหนึ่งในชั่วอึดใจ ครั้นได้ยินดังนั้น เฉินชุ่ยอวิ๋นจึงละสายตาจากผ้าตรงหน้าแล้วหันมาส่ายศีรษะเบาๆ คล้ายระอา “ฝีมืออย่างเธอน่ะเหรอ ไม่ได้ๆ”
“มีอะไรไม่ได้กัน ฉันว่าดีออกนะ เจิ้งหยวนหน้าตาสะสวย ร้องเพลงก็เพราะ ดูมีอนาคตจะตาย หากเข้ากรมศิลปะจริงๆ ต่อไปเธอกับลูกคนที่สี่ของสกุลเฝิงก็จะเป็ทหารทั้งคู่ เหมาะสมกันมากเลย”
มันฟังดูราบรื่นสวยงาม แต่ด้วยรู้ดีว่าตนเองมีความสามารถแค่ไหน พอเจิ้งหยวนได้ยินเช่นนี้จึงหันหน้ามาบอกด้วยรอยยิ้ม “อาสะใภ้อวี้หลัน ความสามารถระดับฉันก็ได้แค่หลอกพวกอาที่ไม่เคยฟังนักร้องอาชีพ คนที่เข้ากรมศิลปะได้ล้วนเป็นักร้องเสียงดีกันทั้งนั้นค่ะ”
อู๋อวี้หลันถามทันควัน “อะไรคือนักร้องเหรอ? การร้องเพลงมีคำว่า ‘นัก’ ด้วย?”
เจิ้งหยวนโยกตัวเด็กอ้วนจ้ำม่ำในอ้อมแขนพลางตอบ “ไม่ใช่ค่ะ เหมือนกับนักวาดภาพและนักเขียนพู่กันจีนนั่นแหละค่ะ ขอแค่เติมคำว่า ‘นัก’ ลงไป ก็หมายถึงเคยฝึกซ้อมสิ่งนั้นมาั้แ่เล็ก ไม่ว่าจะฝึกสิบกว่าปีหรือฝึกหลายสิบปี ส่วนฉันไม่เคยฝึกมาก่อน เทียบคนอื่นเขาไม่ได้หรอกค่ะ”
อู๋อวี้หลันพลันประหลาดใจ “สุดยอดเลยนะ”
“นั่นสิคะ” เด็กชายตัวอ้วนจ้ำมั่นในอ้อมแขนมองไปทางเฉินชุ่ยอวิ๋นกับอู๋อวี้หลันไม่ละสายตา
คงห่วงนั่งเล่นบนพื้นมากกว่า
หนิวหนิวพยายามยืดตัวไปทางนั้นตลอดจนเจิ้งหยวนเกือบจับไม่ไหว
เห็นเด็กตัวเล็กน้ำหนักสิบกว่าจินแค่นี้
แต่ตอนเ้าก้อนดื้อจะลงข้างล่างก็หนักเอาเื่เหมือนกัน เมื่อไม่ไหวจริงๆ
เจิ้งหยวนจึงบอกผู้เป็แม่ “แม่ ฉันพาหนิวหนิวกับซิงซิงออกไปเล่นนะ… ซิงซิง
ตามอารองไปเล่นข้างนอกกัน!”
โชคดีที่ซิงซิงว่านอนสอนง่าย พอใส่รองเท้าเสร็จก็เดินตามเจิ้งหยวนออกไปไม่ดื้อรั้น
คล้อยหลังพวกเขา อู๋อวี้หลันพูดคุยกับเฉินชุ่ยอวิ๋นต่อ เธอหยิบเข็มมาเกาหนังศีรษะพร้อมว่า “จะว่าไป พวกเธอกับลูกคนที่สี่ของสกุลเฝิงกำหนดวันแต่งงานแล้วเหรอ?”
เฉินชุ่ยอวิ๋นก้มหน้าเย็บผ้าห่มต่อ แต่ปากก็ยังว่า “ยังเลย เจี้ยนเหวินเขายังอยู่ในกองทัพ ไกลขนาดนั้นปรึกษาหารือกันไม่ค่อยสะดวก กลับมาเมื่อไรก็ยังไม่แน่นอน บอกแค่ว่าปลายปีน่ะ”
อู๋อวี้หลันเผยสีหน้าสงสัยฉับพลัน เธอชะโงกหน้ากระซิบถาม “สกุลเฝิงจะไม่กลับคำใช่ไหม?”
ครั้นเฉินชุ่ยอวิ๋นได้ยิน ก็รู้ทันทีว่าเธออยากถามอะไร สีหน้าพลันดำทะมึนตึงเครียด “เื่เช่นนี้ กลับคำได้ที่ไหน! วันก่อนพี่สะใภ้สกุลเฝิงก็มาที่บ้านแล้วด้วย”
ในเมื่อคนสกุลเฝิงมาหาแล้ว การแต่งงานก็ยังไม่ล้มเลิก ดูท่าคงจะไม่เชื่อข่าวลือที่แพร่กระจายอยู่ข้างนอก เมื่ออู๋อวี้หลันเห็นว่าทำเฉินชุ่ยอวิ๋นไม่พอใจเข้าให้แล้วจึงรีบร้อนอธิบาย “ฉันแค่ถาม แค่ถามน่ะ การแต่งงานไม่ล้มเลิกก็ดีแล้ว สกุลเฝิงพวกเขาเป็คนฉลาด รู้ว่าไม่ควรปล่อยเจิ้งหยวนของเธอหลุดมือไป”
หลังจากโดนประจบอยู่สักพัก เฉินชุ่ยอวิ๋นก็กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง
เพราะปุยฝ้ายที่รวบรวมมาไม่พอ และยังไม่ถึงฤดูเก็บฝ้าย เดือนนี้จึงทำผ้าห่มได้เพียงสี่ผืน ผ้าห่มสี่ผืนทำวันละผืน รวมทั้งหมดสี่วัน เมื่อถึงวันสุดท้าย อู๋อวี้หลันกลับติดธุระที่บ้านไม่สามารถมาช่วยได้
เฉินชุ่ยอวิ๋นจึงต้องทำอยู่คนเดียว
ส่วนซิงซิงกับหนิวหนิวก็ขอให้เจิ้งเจวียนพาออกไปเล่นด้านนอกแล้ว
เหลือเพียงเจิ้งหยวนที่ยังว่าง จึงมาคอยช่วย แต่ทว่าเฉินชุ่ยอวิ๋นกลับไม่ยอม
บอกอยู่นั่นว่าไม่มีเ้าสาวคนไหนทำผ้าห่มด้วยตัวเอง
มันเป็ธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาตั้งนมนานแล้ว จะไปเปลี่ยนแปลง
หรือแก้ไขได้เสียที่ไหน เจิ้งหยวนจนปัญญาจะเกลี้ยกล่อม
เื่อื่นเฉินชุ่ยอวิ๋นยังพูดง่ายอยู่บ้าง แต่เื่นี้ไม่ยอมเอาท่าเดียว
เมื่อไม่อาจทำด้วยตัวเอง จึงหยิบพื้นรองเท้าที่เฉินชุ่ยอวิ๋นเย็บค้างไว้มาเย็บต่อเสียเลย
“แม่ แม่ทำรองเท้าให้ใครเหรอ? คุณพ่อหรือพี่ชายฉัน?” พิจารณาดูแล้ว ใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่ขนาดเท้าของผู้หญิงอย่างแน่นอน
เฉินชุ่ยอวิ๋นบ่นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่นิดเดียว “ให้พี่แกน่ะ เขาไปซ่อมถนนกับกลุ่มก่อสร้างในคอมมูนมาใช่ไหม แล้วไม่รู้ทำงานอะไร รองเท้าขูดแรงมากจนสึกหมดแล้ว”
เมื่องานทำนามีน้อยลง ในกองจะจัดตั้งคนบางส่วนไปทำงานที่กลุ่มก่อสร้าง แม้จะงานหนัก แต่ก็ได้แต้มงานมาก ปลายปีก็ได้ส่วนแบ่งเยอะ พวกคนที่หนุ่มยังแน่นร่างกายแข็งแรงกำยำจึงพากันไปหมด
เจิ้งหยวนใช้เข็มเจาะหนังจิ้มบนพื้นรองเท้านิดหน่อย แล้วแทงเข็มที่สอยด้ายแล้วเข้าไปในรู จากนั้นจึงค่อยดึงด้ายให้แน่น คิดดูแล้ว เธอเองก็ไม่ได้ทำงานเช่นนี้มาหลายปีแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่ายังพอคุ้นไม้คุ้นมืออยู่ “อ๊ะ จริงด้วย แม่รู้หรือเปล่าว่าไม่กี่วันก่อนเจิ้งเทียนหู่ไปดูตัวมาน่ะ ?”
“เขาไปดูตัวมางั้นเหรอ?” เฉินชุ่ยอวิ๋นยังไม่รู้เื่นี้ เธอครุ่นคิดอยู่นิดหน่อยแล้วระบายยิ้ม
“ก็ว่าอยู่ว่าทำไมเขาเป็ฝ่ายขอเข้ากลุ่มก่อสร้างเอง ที่แท้จะแต่งงาน
เลยรู้จักแสวงหาความก้าวหน้าแล้ว”
“หา เขาเข้าร่วมกลุ่มก่อสร้างด้วยเหรอ?” เจิ้งหยวนใ
มือสั่นจนเกือบทิ่มนิ้วตัวเอง
“ใช่น่ะสิ? วันก่อนตอนพ่อแกบอกฉัน ฉันก็ใเหมือนกัน
ไม่คาดคิดว่าเ้าเด็กคนนี้เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะจะแต่งภรรยาแล้วนี่เอง”
เจิ้งหยวนเบะปาก น้ำเสียงค่อนแคะดูถูก “งานกลุ่มก่อสร้างหนักขนาดนั้น เขาทำไหวเหรอ? ไม่กลัวโดนไล่ออกหรือไง!”
เฉินชุ่ยอวิ๋นปรายตามองบุตรสาวแล้วตำหนิสอนเธอทันที “เ้าลูกคนนี้ ทำไมพูดถึงญาติผู้พี่แกแบบนั้นเล่า? ญาติผู้พี่แกกระตือรือร้นไม่ใช่เื่ดีเหรอ? อีกอย่างเขาเป็ลูกพี่ลูกน้องแก
อย่าเรียกเจิ้งเทียนหู่โต้งๆ สิ ใครมาได้ยินเข้าจะหาว่าแกไร้มารยาทเอาได้”
เฉินชุ่ยอวิ๋นพูดว่าเธออยู่หลายครั้งแล้ว แต่ไอ้นักเลงหัวไม้อย่างเจิ้งเทียนหู่ เขามีความเป็พี่ชายสักนิดหรือเปล่า? เจิ้งหยวนไม่คิดจะเปลี่ยน
ยังคงเรียกเจิ้งเทียนหู่เต็มปากเต็มคำเหมือนเดิม “แม่หยุดฝันได้แล้ว
เจิ้งเทียนหู่ไปทำงานก็เพื่อหวังขโมยแต้มนั่นแหละ เขาน่ะเหรอจะรู้จักทำงาน?” เธอกลอกตามองบน “ไม่มีทางเสียหรอก”
โบราณว่าไว้สันดานแก้ยาก เจิ้งเทียนหู่โดนป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งตามใจจนเสียคนแล้ว ตราบใดที่ป้าสะใภ้ใหญ่ยังไม่เปลี่ยนนิสัย คนอย่างเจิ้งเทียนหู่น่ะหรือ? ไม่มีวันกลับเนื้อกลับตัวหรอก!
เฉินชุ่ยอวิ๋นสำลัก เธอเงียบไปพักหนึ่งก่อนติเตียนต่อ “เ้าลูกคนนี้นี่ ทำไมแกไม่หวังให้คนเขาได้ดีบ้าง? หากเขาดีขึ้น
ต่อไปบ้านเขาก็จะไม่มายืมเสบียงบ้านเราอีกไม่ใช่หรือไง?” เธอไม่หวังว่าครอบครัวลุงใหญ่จะมีชีวิตสุขสบายหรอก แต่หากเขาสุขสบาย
บ้านเธอก็ไม่จำเป็ต้องคอยจุนเจืออีก!
“แม่ คนอย่างป้าสะใภ้ใหญ่เจิ้งน่ะ…” เจิ้งหยวนกำลังจะบอกว่าคนอย่างป้าสะใภ้ใหญ่ ต่อให้อยู่ดีมีสุขก็คงจะหาทางเอาเปรียบบ้านเธออยู่ดี แต่ยังไม่ทันได้พูดก็ถูกเสียงร้องเรียกใครคนหนึ่งขัดเสียก่อน “อาสะใภ้ชุ่ยอวิ๋น อาสะใภ้ชุ่ยอวิ๋น ”
เด็กหนุ่มเนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลน ใบหน้ายังสกปรกเลอะเทอะจนมองไม่ชัดวิ่งพรวดพราดเข้ามา “ท่าไม่ดีแล้วอาสะใภ้ เกิดเื่กับพี่เทียนิของผมแล้ว!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้