ชั่วพริบตาก็ถึงเวลาพักกลางวัน
ูเี่อันไม่รู้ว่าเที่ยงถึงบ่ายโมงเป็เวลาพักกลางวันของพนักงานแถมวันนี้เธอกินข้าวเช้าค่อนข้างสาย ทำให้ยังไม่ค่อยหิว จึงก้มหน้าอ่านเอกสารต่อไปผู้จัดการไช่เห็นดังนั้นก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร แต่ก็ไม่กล้าออกไปกินข้าวก่อนเช่นกัน
จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นลู่เป๋าเหยียนกำลังยืนอยู่หน้าห้อง
ปกติหากมีธุระอะไรมักเป็พนักงานที่ต้องขึ้นไปหาลู่เป๋าเหยียนที่ออฟฟิศของเขาน้อยครั้งที่เขาจะปรากฏตัวในฝ่ายอื่นของบริษัทผู้จัดการไช่แปลกใจมากที่เห็นเขามาที่นี่ เธอกำลังเอ่ยทักทายเขา ทว่าลู่เป๋าเหยียนกลับส่งสัญญาณห้ามเอาไว้เสียก่อน
ผู้จัดการไช่หันหน้าไปมองูเี่อันที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอย่างจริงจังโดยไม่รู้ตัวเลยว่าลู่เป๋าเหยียนมาที่นี่แล้วผู้จัดการไช่พยักหน้าอย่างเข้าใจสิ่งที่ลู่เป๋าเหยียน้า และจึงเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
ลู่เป๋าเหยียนเดินมาหยุดลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของูเี่อันเธอจัดการเซ็นเอกสารส่วนหนึ่งเสร็จเรียบร้อย และแยกวางไว้อีกกองส่วนเอกสารที่มีข้อสงสัยก็ทำสัญลักษณ์แยกไว้ต่างหากแต่มีเอกสารอยู่ชุดหนึ่งที่ยังไม่ถูกเซ็นชื่อและไม่มีสัญลักษณ์ใดๆนั่นก็คือแผนการจัดกิจกรรมภายในงานครบรอบครั้งนี้
“แผนกิจกรรมมีปัญหาอะไร”เขาถาม
“แผนกิจกรรมงั้นเหรอคะ”ูเี่อันเงยหน้าขึ้น “มัน...อ้าว นายมาได้ไง?”
“ได้เวลากินข้าวแล้ว”ลู่เป๋าเหยียนตอบ “ลุกเถอะ เดี๋ยวฉันพาไปกินข้าว”
“พอดีเลยฉันมีเื่อยากจะปรึกษานายอยู่พอดี” ูเี่อันพูดก่อนจะลุกขึ้น“เกี่ยวกับแผนกิจกรรมนี่แหละ”
“ออกไปก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
ลู่เป๋าเหยียนจูงมือูเี่อันพาเธอเดินออกจากฝ่ายวางแผนกลยุทธ์พนักงานที่เดินสวนกับพวกเขาต่างพากันประหลาดใจบ้างก็ส่งสายตาปนอิจฉามาใหู้เี่อัน ก่อนที่จะนึกได้ว่าควรกล่าวคำทักทาย
“สวัสดีค่ะผอ.ลู่คุณนายลู่!”
“สวัสดีครับท่านผอ.คุณนาย!”
ูเี่อันหลบอยู่ข้างหลังลู่เป๋าเหยียน
“ตอนฉันลงมาพร้อมกับเสิ่นเยว่ชวนไม่เห็นรู้สึกเลยว่าทางเดินมันยาวขนาดนี้ลู่เป๋าเหยียน พวกเรารีบเดินกันเถอะ” โดนเรียกว่าคุณนายแบบนี้เธอทำใจให้ชินไม่ได้จริงๆ
“เธอควรชินกับมันได้แล้ว”ลู่เป๋าเหยียนกล่าว “อีกหน่อยยังมีอีกหลายคนที่ต้องเรียกเธอแบบนี้”
ูเี่อันหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยเธอดึงมือลู่เป๋าเหยียนให้เดินเร็วขึ้น และเข้าไปในลิฟต์
มีคนเตรียมรถไว้ให้ลู่เป๋าเหยียนที่ประตูด้านหน้าแล้วเรียบร้อยูเี่อันเห็นดังนั้นก็แปลกใจ
“พวกเราไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหารพนักงานงั้นเหรอ”
ลู่เป๋าเหยียนตอบคำถามด้วยคำถาม“เธออยากไปกินที่นั่น?”
“เปล่าหรอกแต่มีคนเคยบอกว่า หากเ้าของบริษัทไปปรากฏตัวในโรงอาหารพนักงานบ้างเป็ครั้งคราวจะช่วยให้พนักงานกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น” ูเี่อันอธิบาย
“ฉันเคยไปแต่ผลกระทบมีมากเกินไป หลังจากนั้นเลยไม่ไปอีก” ลู่เป๋าเหยียนตอบ
ูเี่อันมองเขาอย่างพอเข้าใจ“ก็หน้าตานาย...ส่งผลกระทบกับชาวบ้านเยอะจริงๆ นั่นแหละ”
“อีกอย่างอย่าหาว่าฉันไม่เตือนเธอ” ลู่เป๋าเหยียนพูดเนือยๆ“ที่โรงอาหารมีพนักงานอยู่ร่วมพันคน เธอลองจินตนาการภาพตอนที่ทุกคนเรียกเธอว่าคุณนายดูสิ”
ไม่ต้องคิดเธอก็ตัวสั่นแล้วเธอรีบลากลู่เป๋าเหยียนให้เดินออกไป
“งั้นพวกเราไปกินกันข้างนอกแหละดีแล้ว”
หลังขึ้นรถลู่เป๋าเหยียนก็สตาร์ทรถพลางถาม
“ว่าแต่แผนงานกิจกรรมมีปัญหาอะไร”
“มีปัญหาแค่อย่างเดียว...”ูเี่อันชูนิ้วชี้ขึ้นอย่างเน้นยำ“ผู้จัดการไช่บอกฉันว่างานเลี้ยงครบรอบปีก่อนๆมักจะคัดเลือกพนักงานหญิงมาหนึ่งคนเพื่อเต้นรำเปิดฟลอร์กับนาย แต่ว่าปีนี้ในแผนงานเขียนไว้ว่าเป็ฉันที่ต้องเต้นรำแทน”
ลู่เป๋าเหยียนหรี่ตามองเธอ“แล้วมีปัญหาอะไร”
“จะไม่มีปัญหาได้ยังไง”ูเี่อันพูดเสียงสูงขึ้น “ปีก่อนๆ่เวลานี้เป็่ที่พนักงานหญิงแต่ละคนตั้งตารอคอยกันมาตลอดแต่ปีนี้กลับต้องผิดหวัง พวกเธอจะต้องเฟลมากแน่ๆ”
ลู่เป๋าเหยียนยกมุมปากเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง
“แล้วไง? คุณนายลู่คิดจะจัดการปัญหานี้ยังไง?”
เขามองหน้าเธอด้วยสายตาข่มขู่เล็กน้อย
ูเี่อันได้ยินน้ำเสียงแปลกๆของเขาแล้วก็จริง แต่เธอก็ยังฝืนพูดออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ฉันว่า...ทำแบบทุกทีดีไหมเลือกพนักงานหญิงมาคนหนึ่งเพื่อเต้นรำเปิดฟลอร์กับนายคงจะดีกว่า”
“เหตุผลล่ะ”ลู่เป๋าเหยียนยิ้มอย่างหงุดหงิด
“เหตุผลงั้นเหรอ...”ูเี่อันพูดเสียงเบาขึ้นเรื่อยๆ “พวกพนักงานหญิงจะได้...จะได้ดีใจกันไง”
ลู่เป๋าเหยียนหุบยิ้มแล้วจึงถามอย่างลองเชิง
“แล้วเธอล่ะ? เธอคือคุณนายลู่แท้ๆแต่กลับต้องมายืนดูฉันเต้นรำกับคนอื่นอยู่ข้างๆ งั้นเหรอ?”
ูเี่อันนิ่งไปชั่วอึดใจ“ฉันจะยืนอยู่ตรงไหนก็มองเห็นนาย...”
ลู่เป๋าเหยียนหรี่ตาลงอย่างอันตรายเขาขับรถจอดเทียบข้างทาง จากนั้นจึงเอียงตัวเข้ามาใกลู้เี่อันโดยไม่บอกกล่าว
ูเี่อันหายใจติดขัดเธอรู้สึกเหมือนโดนเขาโอบกอดไปทั้งตัวทั้งๆ ที่เขายังไม่ทันทำอะไรสมองของเธอเหมือนหยุดการประมวลผลไปชั่วขณะ จึงใช้มือผลักเขาให้ออกห่าง
“มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิไม่เห็นต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้เลย แถมตรงนี้ยังเป็ที่ห้ามจอดด้วยนะ”
ลู่เป๋าเหยียนช่วยเธอรัดเข็มขัดแล้วจึงยิ้มแบบมีเลศนัย
“เธอมั่นใจเหรอว่าจะไม่หึงฉันแบบเมื่อเช้าอีก? หืม?”
ูเี่อันคิดตามก่อนที่จะส่ายหน้า“นายวางใจเถอะ ฉันไม่หึงหรอก”
แววตาของเขาแผ่รังสีอันตรายมากยิ่งขึ้นเขาขยับตัวเข้ามาใกล้เธอกว่าเดิม
“ทำไมไม่ยอมเต้นรำกับฉัน?”
“ฉัน...”ูเี่อันอ้ำอึ้ง “ฉันไม่ใช่ไม่ยอม แต่ที่จริง...ฉันเต้นไม่ค่อยเป็น่ะอีกอย่างฉันก็ไม่ได้เต้นมานานแล้วด้วย ถึงเวลาถ้าฉันเต้นไม่เข้าคู่กับนายไม่ต้องขายหน้ากันไปหมดหรือไง”
ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้นี่เอง
ลู่เป๋าเหยียนสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเขาสตาร์ทรถอีกครั้ง
“ยังมีเวลาอีกห้าวันก่อนจะถึงวันงานฉันจะสอนเธอเอง”
ูเี่อันสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่าเธอรู้สึกราวกับตัวเองกำลังฝันไป
“งั้น...แผนกิจกรรมนั่นก็ไม่ต้องแก้แล้วสิเนอะ”เงียบไปสักพักูเี่อันจึงถามย้ำอีกครั้ง
ลู่เป๋าเหยียนพูดเสียงเข้ม“ถ้าเธอกล้า ก็ลองแก้ดูสิ!”
ูเี่อันเงียบทันทีความอ่อนหวานแทรกซึมไปทั้งหัวใจของเธอหลังจากได้ยินคำพูดนั้น
สิบนาทีต่อมาลู่เป๋าเหยียนก็ขับรถมาจอดที่ภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง
ูเี่อันดูชื่อหน้าร้านแล้วรู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูกคิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้ว่า ที่นี่คือร้านที่ลั่วเสี่ยวซีชอบพูดถึงอยู่บ่อยๆ นี่เอง
นิตยสารอาหารชื่อดังระดับโลกเคยเขียนคำวิจารณ์ไว้ว่าร้านนี้เป็ภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุดของเมือง A
ส่วนคำวิจารณ์ของลั่วเสี่ยวซีนั้นคือ‘ประสบการณ์รับประทานอาหารชั้นหนึ่ง ที่ราคาแพงเสียจนไฮโซอย่างเธอต้องคิดแล้วคิดอีกกว่าจะกลั้นใจจองได้ลง’
“คุณลู่ คุณนายลู่ยินดีต้อนรับครับ” พนักงานหน้าร้านกล่าวทักทาย “ที่เดิมหรือเปล่าครับคุณลู่”
“อืม”ลู่เป๋าเหยียนตอบจากนั้นก็มีพนักงานเดินนำพวกเธอไปยังที่นั่งริมหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำมุมกว้างและขณะนี้ผิวน้ำกำลังส่องสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ
ูเี่อันมองไปรอบๆ ร้านซึ่งถูกตกแต่งอย่างโรแมนติกประณีตเรียบง่าย และมีดอกไม้ประดับอยู่โดยรอบทำให้คนที่ได้มาอดคิดถึงบรรยากาศของปารีสเมืองแฟชั่นของฝรั่งเศสไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าลู่เป๋าเหยียนเป็ลูกค้าประจำของที่นี่เขาสั่งอาหารโดยไม่ต้องดูเมนูส่วนูเี่อันนั้นพลิกเมนูไปมาอยู่นานก็ยังตัดสินใจไม่ได้สักที
“ให้ฉันสั่งให้เธอไหม”ลู่เป๋าเหยียนถาม
ูเี่อันรอคำนี้อยู่เลยเธอปิดเมนูในมือลงและพยักหน้าอย่างนึกขอบคุณ
ลู่เป๋าเหยียนรู้ดีว่าเธอเป็คนชอบกินของอร่อยแต่ก็ไม่ได้กินเก่งอะไร แถม่บ่ายยังต้องออกไปชิมอาหารที่โรงแรมอีกจึงสั่งออเดิร์ฟ อาหารหลักและของหวานมาเท่านั้นเมื่อเห็นเธอจ้องภาพอาหารบนเมนูไม่วางตาจึงพูดเสริมขึ้น
“ลองชิมแค่นี้ก่อนไว้คราวหน้าฉันค่อยพามาลองอย่างอื่น”
ูเี่อันตาเป็ประกายพลางยิ้ม“นายจะเลี้ยงขอบคุณที่ฉันช่วยงานนายงั้นเหรอ”
ลู่เป๋าเหยียนตอบ“ถ้าจะคิดอย่างนั้น ฉันก็ไม่ว่าอะไร”
ได้ยินดังนั้นูเี่อันก็กินได้อย่างสบายใจแล้วเธอดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งอึกเพื่อเรียกน้ำย่อยจากนั้นจึงเริ่มกินออเดิร์ฟอย่างไม่เกรงใจ
สมัยเรียนอยู่อเมริกาเธอกับลั่วเสี่ยวซีเคยไปเที่ยวฝรั่งเศสด้วยกันตอนปิดเทอมพวกเธอได้ลองชิมอาหารในภัตตาคารชั้นนำที่ได้รับคำวิจารณ์เป็อย่างดีบนโลกอินเทอร์เน็ตและได้กินอาหารพื้นเมืองรสชาติเยี่ยมมากมาย หลังกลับมาจากทริปนั้นพวกเธอก็ยังคงคิดถึงรสชาติอาหารเ่าั้อยู่นาน
แต่ในตอนนีู้เี่อันรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ช่างอร่อยเลิศรสกว่ามื้อไหนๆ ที่เธอเคยกินมาเสียอีก
ลู่เป๋าเหยียนมองดูท่าทางอันแสนเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าของูเี่อันแล้วอดถอนหายใจไม่ได้...
ทำไมถึงพอใจอะไรง่ายขนาดนี้นะ?
เมื่อกินเค้กกูกลอฟชิ้นสุดท้ายหมดเป็ที่เรียบร้อยูเี่อันก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับมื้อนี้เป็อย่างมากลู่เป๋าเหยียนถามเธอว่าจะดื่มอะไรเพิ่มไหม แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็ไร ่บ่ายฉันต้องไปชิมอาหารอีกเยอะเลยพวกเรากลับบริษัทกันเถอะ”
“เธอไม่ต้องกลับไปที่บริษัท”ลู่เป๋าเหยียนพูด “เดี๋ยวฉันไปส่งเธอที่โรงแรมเลยทีเดียวผู้จัดการไช่รอเธออยู่ที่นั่น”
“โอเค!”
เมื่อรถจอดลงที่ด้านหน้าประตูโรงแรมูเี่ถึงรู้ว่าสถานที่จัดงานครบรอบในครั้งนี้คือโรงแรมที่เธอกับลู่เป๋าเหยียนได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
เธอเผลอเหม่อมองมันไม่วางตา
ลู่เป๋าเหยียนจึงพูดเตือนขึ้น“เจี่ยนอัน ถึงแล้ว”
“อ้อ”ูเี่อันได้สติ และปลดเข็มขัดนิรภัยออก “งั้น...ฉันไปแล้วนะ”
ลู่เป๋าเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย“ชิมอาหารเสร็จแล้วอย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวเลิกงานแล้วฉันมารับ”
คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำกลับทำให้ความสุขเอ่อล้นอยู่ในหัวใจของูเี่อัน
“อืม” เธอยิ้มตอบเขาจากนั้นจึงลงจากรถเพื่อเดินเข้าไปในโรงแรม จนกระทั่งมองไม่เห็นเธอแล้วลู่เป๋าเหยียนจึงขับรถออกไปเพื่อกลับบริษัท
ลู่เป๋าเหยียนเป็เ้าของโรงแรมแห่งนี้ดังนั้นพนักงานทุกคนจึงรู้จักูเี่อันเป็อย่างดีเมื่อเธอเดินเข้าไปก็มีพนักงานมานำทางเธอไปยังคาเฟ่ของโรงแรมเธอมองเห็นผู้จัดการไช่นั่งอยู่ในนั้นจากระยะไกลจึงเดินตรงเข้าไป
“ขอโทษนะคะที่ให้รอนาน”
“ไม่เป็ไรค่ะดิฉันก็เพิ่งมาถึงไม่นาน” ผู้จัดการไช่ยิ้มตอบ“เดี๋ยวดิฉันจะอธิบายถึงการตกแต่งสถานที่ก่อนนะคะ แล้วเราค่อยเริ่มชิมอาหารกัน”
ูเี่อันพยักหน้าจากนั้นจึงสั่งกาแฟมาจิบระหว่างฟังผู้จัดการไช่อธิบายรายละเอียดแผนงานทั้งหมดดูไม่มีปัญหาอะไรพวกเธอปรึกษาและแก้ไขรายละเอียดเล็กน้อยบางจุดเท่านั้น จนกระทั่งสี่โมงเย็น
ต่อจากนี้จะเป็การชิมอาหารที่จะเสิร์ฟในวันงาน
งานปาร์ตี้ในครั้งนี้จะเป็แบบบุฟเฟ่ต์ที่มีั้แ่ออเดิร์ฟ อาหารหลัก อาหารคาวหวาน ขนมนมเนยครบครันโดยทั้งหมดเชฟจะทำให้เป็ขนาดพอดีคำ อาหารทั้งหมดรสชาติดีเยี่ยมหลังชิมครบทุกอย่างแล้วูเี่อันรู้สึกพอใจเป็อย่างมาก
“เื่นี้คงต้องฝากคุณนายด้วยนะคะเพราะดิฉันเป็คนชอบกินรสจัด ถ้าอาหารรสชาติอ่อนไปฉันก็จะรู้สึกว่ามันไม่อร่อยของอร่อยสำหรับดิฉันมีแต่อาหารรสเข้มข้นทั้งนั้นเลยค่ะ ผู้ช่วยเสิ่นบอกมาว่าถ้าเป็เื่ชิมอาหารให้ฟังความเห็นจากคุณนายดีที่สุด”
ูเี่อันชักรู้สึกเขินขึ้นมาเธอบอกกับผู้จัดการไช่ว่าอาหารและของหวานทั้งหมดไม่มีปัญหาอะไรผู้จัดการไช่จึงพูดขึ้นว่า
“งั้นต่อไปเรามาชิมพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันนะคะ”
ค็อกเทลนานาชนิดไวน์แดงไวน์ขาวชั้นดี แชมเปญนำเข้าจากฝรั่งเศส รวมถึงเหล้าผลไม้ประเภทต่างๆ ถูกนำเข้ามาูเี่อันแค่มองก็รู้สึกเหมือนจะเมาแล้วแต่สุดท้ายเธอก็ลองชิมไวน์กับเหล้าผลไม้ไปเล็กน้อย
พี่ชายเธอชอบสะสมไวน์แดงเขามักพูดถึงรายละเอียดต่างๆ ของมันให้เธอฟังด้วยเหตุนี้เธอจึงพอจะเชี่ยวชาญเื่ไวน์อยู่บ้าง ส่วนสมัยเรียนอยู่ที่อเมริกาลั่วเสี่ยวซีก็มักจะชวนเธอดื่มเหล้าผลไม้หลากหลายประเภทคงเพราะเธอดูคุ้นเคยกับการดื่มเหล้าพวกนี้บาร์เทนเดอร์ชาวต่างชาติจึงพูดกับเธอด้วยภาษาจีนชัดถ้อยชัดคำว่า
“คุณนายลู่คุณต้องเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้แน่ๆ”
“ที่จริงฉันดื่มเหล้าไม่เก่งหรอกค่ะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำูเี่อันก็เริ่มรู้สึกเวียนหัว ถึงจะยังไม่มากก็ตาม
ผู้จัดการไช่ที่ชิมเหล้าชนิดอื่นเสร็จหมดแล้วก็หันกลับมามองเธอ
“คุณนายหน้าแดงหมดแล้วค่ะ”
ูเี่อันจับหน้าตัวเองที่เริ่มร้อนขึ้นนิดๆ
“เหล้าพวกนี้คงใช้ได้แล้วล่ะค่ะงั้นพวกเรากลับไปนั่งที่คาเฟ่กันดีไหมคะ”
ผู้จัดการไช่มองเวลานี่ก็สี่โมงกว่าแล้ว เธอพาูเี่อันกลับไปนั่งพักที่คาเฟ่จากนั้นจึงขอตัวกลับบริษัทก่อนเพื่อจัดการงานที่ยังคั่งค้างอยู่
ูเี่อันเองก็ไม่ได้รั้งผู้จัดการไช่ไว้เธอหาที่นั่งเพื่อพักผ่อน เพราะตอนนี้อาการเวียนหัวเริ่มหนักขึ้นกว่าเดิมเธอยกมือนวดขมับเอนพิงอยู่บนโซฟาอย่างง่วงงุน
ไวน์ที่เธอชิมไปเมื่อครู่เปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ไม่ได้สูงมากสงสัยจะเป็เพราะเหล้าผลไม้พวกนั้นแน่ๆ
ในขณะที่เธอกำลังสะลึมสะลือก็มีพนักงานเดินเข้ามาถามว่าเธอเป็อะไรหรือไม่ เธอโบกไม้โบกมือตอบกลับไปพนักงานเห็นดังนั้นก็นึกว่าเธอส่งสัญญาณไม่ให้เข้าไปรบกวนจึงเดินกลับออกไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรอาการเวียนหัวของเธอก็เริ่มดีขึ้นบ้าง แต่กลับรู้สึกง่วงมาก เธอง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นแล้วจู่ๆ เธอก็รู้สึกถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยของคนบางคนที่เข้ามาใกล้ จากนั้นก็ถูกคนคนนั้นอุ้มขึ้น...
