ตกเย็น เซี่ยโม่เพิ่งจะกลับถึงบ้านได้ไม่นานก็เห็นซ่งมู่ไป๋จูงจักรยานเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าถมึงทึง
เธอเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “พี่ซ่ง ทำไมถึงมีเวลามาที่นี่ได้คะ”
ชายหนุ่มถลึงตามองเธอก่อนจะกล่าวเอาผิดเสียงเข้ม “เธอให้หม่านเยวี่ยไปหาฉันงั้นเหรอ”
เด็กสาวลอบกลืนน้ำลาย อย่าบอกนะว่าเมื่อบ่ายนี้เกาหม่านเยวี่ยไปหาพี่ซ่ง อะไรจะไวปานนั้น?
เห็นอีกฝ่ายหน้าจ๋อย ซ่งมู่ไป๋รู้ทันทีว่าเื่ที่เกิดขึ้นเป็ฝีมือของเด็กสาวจริง
“ฉันนึกว่าเธอเป็คนที่คิดก่อนทำอะไรเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็คนที่ทำอะไรไม่คิดแบบนี้ มีโอกาสเมื่อไรฉันจะตีก้นเธอ!” ชายหนุ่มกัดฟันกรอดก่อนจะคาดโทษ
เซี่ยโม่หน้าแดง เื่นี้เธอเป็คนผิดเอง
“ฉันไม่รู้นี่คะว่าเธอจะมีนิสัยแบบนี้ ถ้ารู้ว่าเธอเชื่อคนง่าย ฉันคงไม่พูดกับเธอแบบนั้น” เธอเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ตอนยังเด็กคุณป้าพาเธอขึ้นเขาไปด้วย แต่เกิดอุบัติเหตเด็กคนนั้นพลัดตกเขา ศีรษะกระแทกพื้น ถึงแม้จะหายดีแล้ว แต่สมองไม่ค่อยจะปกติ คุณป้าฉันเสียใจมาก จากนั้นเลยคอยดูแลประคบประหงมอย่างดีจนเธอกลายเป็คนหัวอ่อนที่เชื่อคนง่าย” สีหน้าของชายหนุ่มขณะอธิบายนั้นเต็มไปด้วยความอิดหนาระอาใจ
ั์ตาเซี่ยโม่เบิกโตอย่างคาดไม่ถึง ที่แท้เื้ัของเกาหม่านเยวี่ยก็เป็เช่นนี้เอง
“พี่ซ่ง ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ นึกว่าสองแม่ลูกนั่นมีเจตนาไม่ดีกับพี่ ฉันก็เลยพูดกับเธอไปแบบนั้น” เมื่อรู้ที่มาที่ไปเธอรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เธอเป็แบบนั้น ฉันไม่ได้โง่นะจะได้ไปชอบเธอได้ ที่ฉันดูแลเธอเพราะเห็นแก่ความเป็ญาติ เธอบอกให้หม่านเยวี่ยไปหาฉัน ไม่กลัวฉันเดือดร้อนเหรอ”
ได้ยินเช่นนั้นเซี่ยโม่พลันนึกถึงตอนโทรศัพท์ไปที่ทำงานของพี่ซ่งเมื่อครั้งก่อน
เธอเอ่ยถามพร้อมทำตาโต “หมายความว่า…”
ซ่งมู่ไป๋ผงกศีรษะด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
เซี่ยโม่ตาโตอย่างตกตะลึง หรือคนที่ทำงานพี่ซ่งเข้าใจว่าเกาหม่านเยวี่ยคือคนที่โทรเข้าไปวันนั้น และคือคนที่พี่ซ่งยอมรับกับทุกคนว่าเป็แฟนตัวน้อย
เธอทำเื่ที่โง่มากลงไปจริงๆ ด้วย!
“คนที่ทำงานพี่เข้าใจผิดเหรอคะ” เธอถามพลางยิ้มแหย
ซ่งมู่ไป๋พยักหน้า “แค่ไปหาฉันก็แล้วไปเถอะ แต่ฉันไม่มีทางปล่อยให้เกาหม่านเยวี่ยกลับบ้านคนเดียว เธอยิ่งสมองไม่ค่อยจะดีอยู่ หากปล่อยให้กลับคนเดียวแล้วเกิดอะไรขึ้นมา ฉันจะบอกกับคุณป้าว่ายังไง ฉันเลยต้องขี่จักรยานไปส่ง ไม่รู้ว่าคนที่ทำงานเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
เด็กสาวหน้าตาจืดเจื่อน
ในหมู่บ้านไม่มีผู้ชายคนไหนขี่จักรยานพาผู้หญิงที่ไม่ได้เป็อะไรกันไปส่งบ้าน
ตอนพี่ซ่งขี่จักรยานไปส่งเกาหม่านเยวี่ยที่บ้านจะต้องมีคนเห็นแน่นอน
หากรู้ว่าสมองของเกาหม่านเยวี่ยเคยได้รับความกระทบกระเทือนในวัยเยาว์ เธอคงไม่พูดออกไปแบบนั้น แล้วทีนี้จะทำอย่างไรดี
ครั้นเห็นใบหน้าเด็กสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แววตาซ่งมู่ไป๋ฉายแววเ้าเล่ห์ขึ้นมาแวบหนึ่ง
ชายหนุ่มเสนอขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันมีความคิดหนึ่ง แต่ไม่รู้เธอจะคิดยังไง”
เซี่ยโม่เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “ว่ามาเลยค่ะ ความคิดอะไรคะ”
“ของปลอมก็คือของปลอม มีหรือจะสู้ของจริงได้”
“พูดให้ละเอียดหน่อยสิคะ” เธอกลอกตาแล้วซักถามอย่างใจร้อน เวลานี้ยังจะมัวพูดจาไร้สาระอยู่อีก
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พวกเรารีบหมั้นกัน หรือไม่ก็ไปที่ทำงานของฉัน ไปแสดงตัวสักหน่อยว่าเธอต่างหากที่เป็คนรักของฉัน แค่นี้ทุกคนก็ไม่เข้าใจผิดแล้ว”
วิธีนี้เข้าท่าอยู่เหมือนกัน แต่เธอยังไม่้าหมั้นหมายในตอนนี้
เซี่ยโม่มองชายหนุ่มเรียบนิ่ง พบว่าแววตาของอีกฝ่ายที่มองมาเต็มไปด้วยอาการลุ้นและกำลังคาดหวัง
แล้วเธอก็คิดอะไรได้ ใจที่เคยลังเลเปลี่ยนเป็แน่วแน่ “ถึงอย่างไรพี่ก็ไม่ได้ชอบเกาหม่านเยวี่ย ใครเข้าใจผิดก็ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปเถอะค่ะ ไม่เห็นจะเป็อะไรเลย”
เดิมทีซ่งมู่ไป๋นึกว่า ถ้าเขาพูดถึงขนาดนี้เด็กสาวจะร้อนใจและเห็นด้วยกับที่เสนอ ยอมไปเปิดตัวกับเพื่อนของเขา เพียงเท่านี้ก็เหมือนกับการหมั้นหมายกันในนามแบบกลายๆแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวจะระวังตัวแจขนาดนี้ ทั้งยังไม่หวั่นไหวเลยสักนิดเดียว
“เธอคงไม่รู้สินะว่าคำซุบซิบนินทามันน่ากลัวแค่ไหน เกือบทุกคนเข้าใจผิดว่าฉันกับหม่านเยวี่ยเป็…” เขาขมวดคิ้วพลางกล่าวเสียงเรียบ
เมื่อครู่เซี่ยโม่แค่พูดลองใจคนตรงหน้าเท่านั้น พอเห็นเขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ ก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเอง พี่ซ่งใช้แผนนี้เพื่อให้เธอยอมตกลงปลงใจกับตัวเอง
เธอยิ้ม “พี่ซ่ง อย่าบอกนะคะว่าเื่แค่นี้พี่ก็จัดการไม่ได้”
ใบหน้าซ่งมู่ไป๋ขึ้นสีแดงจางด้วยความอับอาย เขาคิดจะใช้แผนนี้เพื่อทำให้เด็กสาวยอมตกลงปลงใจ แต่กลับกลายเป็ว่าถูกมองออกเสียได้
“เอ่อ คือว่า ฉันอธิบายได้ก็จริงแต่มันยุ่งยาก ถ้าเธอไปแสดงตัว มันจะได้ผลดีกว่าให้ฉันอธิบายเอง ทีนี้ทุกคนก็จะได้รู้ว่าเข้าใจผิดกันไปเอง” เขาอธิบายอย่างตะกุกตะกัก
“แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ”
“หลังจากนั้นพวกเราก็ค่อยหมั้นกัน ทุกคนจะได้เลิกพูดถึงเื่นี้ คุณป้าฉันจะได้ตายใจด้วย”
“แล้วพี่เคยคิดถึงความรู้สึกของฉันบ้างไหมคะ ฉันอายุยังน้อยและยังเรียนหนังสืออยู่ หากคนอื่นรู้ว่าฉันหมั้นแล้วต้องโดนดูถูกแน่ พอถึงตอนนั้นฉันยังจะไปเรียนอีกได้ยังไง”
ซ่งมู่ไป๋ไม่เคยคิดถึงเื่นี้ เขาแค่กลัวว่าเด็กสาวที่ตนถูกใจจะถูกคนอื่นแย่งไป จึงพยายามคิดหาวิธีผูกมัดเด็กสาวไว้กับตัว
เขาคิดเพียงเท่านั้น ส่วนเื่อื่นไม่ได้คิดถึงมาก่อนเลยจริงๆ
พอได้ยินเด็กสาวพูดเช่นนี้ ราวกับถูกไม้เคาะที่ศีรษะช่วยเรียกให้สติกลับคืน
พาให้เขานึกถึงสุภาษิตหนึ่งขึ้นมา นั่นคือกังวลแต่ความเร็ว ไม่ห่วงประสิทธิภาพ
“ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรใช้วิธีนี้มาบีบบังคับเธอ และไม่ควรวางแผนกับเธอ เธอจะตีก้นฉันเพื่อลงโทษก็ได้นะ” เขาเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด
ชายหนุ่มก้มหน้าคอตกขณะหันหลัง
เซี่ยโม่ชักเท้าถีบไปที่ก้นของชายหนุ่มไม่แรงนัก แต่เขากลับแกล้งทำเป็ว่าตัวเองถูกกระทำอย่างแรงจนเซไปข้างหน้าหลายก้าว พอตั้งหลักได้ก็หันมาแสร้งโอดโอย “คิดจะลอบสังหารสามีในอนาคตอย่างงั้นเหรอ”
เธอพูดพร้อมกับกลอกตา “ไม่ต้องมาแกล้งเลย ฉันไม่ได้ออกแรงสักหน่อย ถึงที่ฉันยุเกาหม่านเยวี่ยจะเป็การกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่วันนี้พี่ก็หลอกฉันเหมือนกัน งั้นพวกเราถือว่าเสมอกันก็แล้วกัน”
สิ่งที่ซ่งมู่ไป๋กลัวที่สุดคือกลัวว่าเด็กสาวจะโกรธ แต่พอเห็นอีกฝ่ายไม่ได้เคืองโกรธ เขาถึงค่อยยิ้มออก
“โม่โม่ ฉันจะเชื่อฟังเธอ”
“แต่ต่อไปห้ามใช้แผนกับฉันอีกนะคะ ไม่อย่างนั้นละก็พวกเราทางใครทางมันแน่” เซี่ยโม่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
เดิมทีซ่งมู่ไป๋คิดจะใช้แผนนี้เพื่อให้เด็กสาวยอมรับการหมั้นหมาย แต่ปรากฏว่าแผนกลับถูกเธอเปิดโปงจนเขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาต้องกอบกู้หน้าตัวเองกลับคืนมาบ้างแล้ว “เธอเลิกขู่ฉันได้แล้ว ฉันยิ่งเป็คนขี้กลัวอยู่ เธอใจร้ายกับฉันแบบนี้ไม่กลัวฉันหนีไปเหรอ”
“อะไรที่เป็ของฉันยังไงก็เป็ของฉัน แต่อะไรที่ไม่ใช่ของฉัน ต่อให้แย่งมายังไงมันก็ไม่มีวันเป็ของฉัน” เด็กสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม
ฟังแล้วก็ได้แต่คิดในใจ เด็กสาวของเขานี่สุดยอดไปเลย แค่เด็กสาวแย้มยิ้มก็ทำให้หัวใจคนมองเต้นรัว จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ คงได้แต่ต้องยอมลงให้แล้ว
“อย่าโกรธฉันอีกเลยนะ ต่อไปฉันจะเชื่อฟังเธอ หลังจากแต่งงานกัน ทุกเื่ภายในบ้านหรือข้างนอกบ้านฉันก็จะยกให้เธอเป็คนตัดสินใจ” ชายหนุ่มพูดประจบเอาใจ
เซี่ยโม่ยิ้มอย่างพึงพอใจ “ดีมากค่ะ”
พอเห็นเด็กสาวอารมณ์ดี เขาก็อารมณ์ดีตามไปด้วย รีบพูดเอาใจต่ออีกประโยค “ไว้วันหลังฉันจะเอาสมุดบัญชีมาให้เธอเก็บเอาไว้”
“ทำไมต้องเอาสมุดบัญชีให้ฉันด้วยคะ” เซี่ยโม่ทำหน้างุนงง
เขาพูดอย่างเป็เหตุเป็ผลเหมือนมันเป็เื่ที่ถูกต้อง “ถึงพวกเรายังไม่ได้หมั้นกัน แต่พวกเรามีใจตรงกัน ชาตินี้ฉันจะแต่งงานกับเธอแค่คนเดียว”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ พวกเราไปมีใจตรงกันั้แ่เมื่อไรคะ” ได้ยินเช่นนั้นเซี่ยโม่รีบเอ่ยค้าน
“ทำไมเธอพูดแบบนี้ล่ะ จะกลับคำงั้นเหรอ เธอบอกให้ฉันรอให้เธอโตกว่านี้ก่อนไม่ใช่เหรอ” สีหน้าของซ่งมู่ไป๋เหมือนคนกำลังน้อยใจ
“ฉันแค่รับปากว่าจะไปมาหาสู่กับพี่ ไม่ได้หมายความว่าฉันตอบตกลงจะแต่งงานให้พี่สักหน่อย แล้วอีกอย่างฉันบอกแล้วว่าภายในสี่ห้าปีนี้ยังไม่คิดจะแต่งงาน แล้วก็ไม่คิดจะหมั้นด้วย ถ้าพี่รอไม่ไหวไปหาคนอื่นก็ได้นะคะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก” เซี่ยโม่พยายามโต้แย้ง
ชายหนุ่มงงเป็ไก่ตาแตก ทำไมเด็กสาวเป็คนแบบนี้ หงายมือเมฆคว่ำมือฝน[1]พูดเสียมีเหตุมีผล ดูท่าอนาคตเขาจะกลายเป็ทาสเมียแน่แล้ว
--------------------
[1] หงายมือเมฆคว่ำมือฝน หมายถึงกลับไปกลับมา เอาแน่เอานอนไม่ได้
