เล่มที่ 7 บทที่ 210 เจรจาการค้า
“เยี่ยมไปเลย…” เมื่อได้ยินหลินเฟยโต้กลับ นอกจากปีศาจร่วนสือจะไม่โกรธแล้ว ยังหัวเราะออกมาอีกด้วย
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็มาเจรจาการค้ากันเลย ชิ้นส่วนประตูมิติที่เ้าประมูลไปได้นั้น เป็อ๋องอย่างข้าที่ขายให้เอง ข้ารู้ว่าเ้าเป็ใคร และก็รู้ดีว่าเ้า้ากลับไปยังพิภพหลัวฝู ทว่าชิ้นส่วนประตูมิติเพียงชิ้นเดียว ย่อมไม่เพียงพอที่จะเปิดห้วงมิติได้ ดังนั้นหากคิดจะกลับไปพิภพหลัวฝู ก็ต้องใช้อีกชิ้น…”
“รู้เยอะไม่เบานี่…” หลินเฟยส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปสบตากับปีศาจร่วนสือ
“ถ้าเช่นนั้นก็คงจะจำได้ว่าข้าจ่ายหินิญญาไปเท่าใด เพื่อซื้อชิ้นส่วนประตูมิตินั่น?”
“สิบล้านหินิญญา” ปีศาจร่วนสือได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วน้อยๆ เดิมทีเขาก็เป็คนขายอยู่แล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าตนเองขายได้เท่าไร?
‘ถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?’
“ถูกต้อง สิบล้านหินิญญา” หลินเฟยพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อข้าสามารถจ่ายสิบล้านหินิญญาเพื่อซื้อได้ เช่นนั้นก็ลองทายดูสิ ว่าข้าจะสามารถจ่ายอีกสิบล้าน เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการกลับพิภพหลัวฝูกับสามสำนักใหญ่ได้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปีศาจร่วนสือก็ชะงักลงเล็กน้อย…
‘นั่นสินะ…’
หลังจากครุ่นคิดสิ่งที่หลินเฟยพูด ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็เื่ประหลาดอะไร เพราะแม้ทางเข้าพิภพซ่างจงในทะเลอูไห่จะอยู่ในเขตสามสำนักใหญ่ ทว่าเหล่าสำนักเล็กๆจำนวนมากก็ยังสามารถเข้าออกพิภพซ่างจงได้ด้วยวิธีอื่นๆ บ้างก็ยอมสวามิภักดิ์เป็สำนักใต้บังคับบัญชา หรือบ้างก็ยอมจ่ายราคาแพง แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใด การทุ่มหินิญญาสิบล้านเพื่อแลกกับสิทธิ์ในการกลับพิภพหลัวฝู ก็ย่อมเป็ไปได้เช่นกัน…
คิดได้ดังนั้นสีหน้าปีศาจร่วนสือก็ฉายแววความกังวลขึ้นเล็กน้อย
“หึหึ ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอก เพราะข้าฝึกเคล็ดวิชาแขนงหนึ่งที่เกี่ยวกับห้วงมิติมา จึง้าชิ้นส่วนนี้มาช่วยในการบำเพ็ญ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้หลินเฟยก็หยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ดังนั้นมีเพียงชิ้นเดียวก็พอแล้วล่ะ แต่หากมีอีกชิ้นก็ถือว่าไม่เลว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าต้องจ่ายด้วยราคาแสนแพงละก็ ข้าเองคงต้องตัดใจ…”
และนี่ก็คือฝีมือการต่อราคาของหลินเฟย
ปีศาจร่วนสือสร้างเื่ขึ้นมาเยอะแยะ ั้แ่ให้คนจากหอว่านเย่วส่งข่าวให้มาเจอที่หุบเขาร่วนสือแห่งนี้ แถมยังส่งลูกสมุนทั้งเจ็ดออกมาคุมเชิง และสุดท้ายก็ปรากฏตัวออกมา ทุกอย่างล้วนทำเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น และแน่นอนว่าปีศาจตนนี้ย่อมมีเป้าหมายที่ไม่ธรรมดา
แต่การเจรจาการค้าก็มักเป็เช่นนี้…
แม้หลินเฟยจะรู้มาก่อนแล้วว่าชิ้นส่วนที่สองคงไม่อาจได้มาง่ายๆ แต่ก็เท่านั้น เพราะสิ่งที่หลินเฟยจำเป็ต้องทำในตอนนี้ ก็คือย้ำเตือนให้อีกฝ่ายอย่าล้ำเส้นให้มาก…
“เพราะหากเกินเลยละก็ ข้าก็ไม่เอาด้วยหรอก!”
ได้ยินเช่นนั้นปีศาจร่วนสือก็ไม่เอ่ยตอบอะไร กลับเอาแต่จ้องหลินเฟยอยู่นาน สุดท้ายก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ เยี่ยมเลย เจรจาการค้าเก่งไม่เบาเลยนี่ มิน่าถึงมาทะเลอูไห่ได้แค่เดือนกว่า ก็มีหินิญญามากมายเสียแล้ว…”
“ขอบคุณที่ชม”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ปีศาจร่วนสือก็ค่อยๆส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยออกมา
“ไม่ต้องห่วงหรอก ที่เชิญมาวันนี้ ข้าไม่ได้้าจะขายชิ้นส่วนมิติอีกชิ้นให้เ้า…”
“หื้ม?” ได้ยินดังนั้นหลินเฟยก็ประหลาดใจทันที
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าแค่อยากชี้ทางให้เท่านั้น” พูดจบปีศาจร่วนสือก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองทะเลอูไห่ที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนจะชี้ไปทางเมฆหมอกหนาทึบ
“เห็นเกาะนั่นไหม ชิ้นส่วนที่เ้า้าอยู่ที่นั่น…”
แม้ใบหน้าหลินเฟยจะยังสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับกระตุกขึ้นทันที…
“ได้ยินว่าหลังจากที่เกาะนั่นปรากฏ เหล่าผู้บำเพ็ญในเมืองวั่งไห่ก็แห่กันเข้าไปไม่หยุด อภัยให้ด้วยหากข้าพูดไม่เข้าหู เกาะนั่นลึกลับเกินกว่าที่พวกเ้าคิดไว้มาก ดีไม่ดีอาจนำพาภัยพิบัติมาสู่เมืองวั่งไห่ก็เป็ได้…”
ชั่วขณะที่พูดประโยคนี้ออกมา ก็ราวกับปีศาจร่วนสือกำลังรำลึกถึงความหลังบางอย่าง ใบหน้าที่หมดจดถึงกับมีร่องรอยของความเ็ปปรากฏออกมา…
ทว่าไม่นานทุกอย่างก็กลับเป็ปกติ หากหลินเฟยไม่สังเกตอยู่ละก็ ก็คงไม่ทันเห็น
‘หรือว่าปีศาจตนนี้จะรู้อะไรบางอย่าง?’
ขณะที่กำลังจะหลอกถามอีกฝ่าย ปีศาจร่วนสือก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง
“ที่จริงหากคิดจะชิ้นส่วนประตูมิติอีกชิ้นก็ไม่ใช่เื่ยากอะไร ที่เกาะแห่งนั้นมีเสาหินอยู่เจ็ดสิบสองต้น เ้าแค่เดินตามเสาพวกนั้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะเจอประตูหินบานั์ หลังประตูนั่นคือเมืองโบราณแห่งหนึ่ง และของที่เ้า้าก็จะอยู่ที่นั่น…”
หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะเอ่ยออกมา ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปที่ปีศาจร่วนสือ
“แล้วเ้าอยากได้อะไรล่ะ?”
“ข้าไม่้าอะไรทั้งนั้น…” หลินเฟยได้ยินคำตอบของปีศาจร่วนสือก็รู้สึกผิดคาดไปเยอะ จากนั้นปีศาจร่วนสือก็ส่ายหน้าน้อยๆและเอ่ยเสริมออกมาอีก
“เพราะสิ่งที่ข้า้านั้น เ้าเองก็ไม่อาจนำออกมาได้ สิ่งที่เ้าต้องทำก็คือเอาชิ้นส่วนประตูนั่นออกไปเสีย จากนั้นก็หมดธุระของเ้าแล้ว…”
“ตกลง” หลินเฟยได้ยินก็พยักหน้าตอบรับ โดยไม่คิดจะไถ่ถามอะไรอีก เพราะปีศาจร่วนสือมีพลังถึงขั้นเยาหวัง ของที่้าย่อมไม่ธรรมดา ในเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกัน เจึงไม่ต้องถามเพิ่มให้มากความอีก…
จากนั้นปีศาจร่วนสือก็แนะนำเส้นทางในเมืองโบราณแห่งนั้นให้กับหลินเฟย ยิ่งฟังหลินเฟยก็ยิ่งเครียด ‘เ้าปีศาจตนนี้มันมีเจตนาอย่างไรกันแน่ ทำไมถึงรู้จักเมืองนั่นดีขนาดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับประสบมากับตัว หรือว่าจะเคยไปที่นั่นมาก่อน?’
ทว่าเกาะและเมืองนั่นจมอยู่ใต้ทะเลอูไห่มานับหมื่นปี แล้วปีศาจร่วนสือจะเคยไปได้อย่างไร?
ทางหนึ่งก็เอาแต่สงสัยไปต่างๆนานา อีกทางก็จดจำสิ่งที่ปีศาจร่วนสือพูดให้ขึ้นใจ
“ที่ใจกลางเมืองมีโลงศพอยู่โลงหนึ่ง และบนโลงนั่นก็มีโคมเขียวแขวนอยู่ โคมไฟดวงนี้ยังลุกโชนให้ความสว่างแม้จะผ่านไปนับหมื่นปีแล้วก็ตาม สิ่งที่เ้าต้องทำคือดับไฟนั่นเสีย แล้วเอาชิ้นส่วนประตูมิติออกมาจากโลงศพนั่น แต่มีข้อแม้ว่าหลังจากได้มาแล้วจะต้องรีบออกมาทันที เอาล่ะ สิ่งที่ข้ารู้ก็บอกเ้าไปหมดแล้ว รีบไปเสียเถอะ…”
เมื่อพูดจบปีศาจร่วนสือก็หันหลังกลับไป ทันใดนั้นทะเลสาบอันสงบเงียบก็หายวับไป ห้วงมิติรอบด้านก็พลันบิดเบี้ยว เพียงครู่เดียวก็แตกออกจนเกิดเสียงดังกัมปนาท หลินเฟยที่เพิ่งได้สติก็พบว่าวังอันงดงามได้หายไปแล้ว เหลือเพียงรอบด้านที่เต็มไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ สะเปะสะปะไปทั่วบริเวณ…
“ระวังสำนักกระบี่หลีซาน…” ไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นจากส่วนลึกของหุบเขา จากนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ทั้งปีศาจขั้นเยาหวัง เยาเจี้ยงและวังปีศาจล้วนหายวับไปในทันที
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------