เซวียเสี่ยวหรั่นขอยืมเตาจากครัวเล็กของโรงเตี๊ยมในการต้มยา
ยาใน่สิบวันนี้แบ่งเป็สองชนิด อย่างแรกใช้ต้มกินปรกติ อีกอย่างต้มแล้วนำมาประคบ
ยาที่นำมาประคบใช้เวลาต้มน้อยกว่า ดังนั้นจึงต้มยาชนิดนี้ก่อน หลังจากนั้นค่อยต้มยาดื่ม
เซวียเสี่ยวเหล่ยตามมาช่วยอยู่ด้านหลัง พอยาหม้อแรกต้มเสร็จ เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยกหม้อยาใบที่สองขึ้นตั้งไฟต่อ แล้วให้เขาช่วยดูไฟ ส่วนเธอก็ยกยาร้อนๆ ไปให้เหลียนเซวียนที่ห้อง
ใช้ผ้าขาวสะอาดแช่ลงไปในยา ให้เหลียนเซวียนนอนลงก่อนแล้วค่อยเอาผ้ามาประคบ
เซวียเสี่ยวหรั่นกลัวว่าจะร้อนเกินไป จึงผึ่งไว้ครู่หนึ่งก่อนนำมาประคบให้เขา
"ร้อนไหม"
"กำลังดี"
เหลียนเซวียนนอนราบบนเตียง ไม่หนุนหมอน แต่ปูผ้ารองไว้ผืนหนึ่งป้องกันไม่ให้ยาน้ำหยดลงบนที่นอนของโรงเตี๊ยม
"จะเจ็บไหม"
เซวียเสี่ยวหรั่นประคบอย่างเบามือที่สุดพลางกระซิบถาม
"นิดหน่อย"
เจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่มตำ แต่ใบหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนสี
"เจ็บก็แสดงว่าได้ผล ทนเอาหน่อย"
พอนึกถึงว่าอีกสิบวันดวงตาของเขาก็จะหายดี เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่อาจสะกดกลั้นความยินดีไว้ได้
เหลียนเซวียนฟังน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเบิกบานใจของนาง เส้นสายแข็งกระด้างบนใบหน้าก็อ่อนโยนลงมา
เซวียเสี่ยวหรั่นย้ายเก้าอี้กลมมานั่งข้างเตียง สนทนากับเหลียนเซวียนอย่างสุขใจ
วางเื่เย็บกระเป๋าทั้งหลายเอาไว้ ให้อูหลันฮวาจัดการคนเดียวไปก่อน ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการรักษาดวงตาของเหลียนเซวียนให้หาย
เดิมทีที่นางคิดจะร่วมมือกับนายน้อยเมิ่งก็เพื่อหาเงินมารักษาเหลียนเซวียน แต่บัดนี้ยาก็ได้มาแล้ว เื่ร่วมมือทางการค้าจึงไม่ต้องเร่งร้อนอีกต่อไป
แต่แน่นอนว่ายังต้องหาเงินอยู่ เื่ที่ต้องใช้เงินในภายหน้ายังมีอีกมาก
"นายน้อยซูจี้ผู้นั้นนับว่าตาแหลม มองทีเดียวก็รู้ประโยชน์ใช้สอยของไม้เท้าค้ำยัน"
"อื้ม ไม้เท้าเช่นนี้มีประโยชน์มากจริงๆ" เหลียนเซวียนพยักหน้าน้อยๆ เขาลองมากับตัวถึงรู้ถึงข้อดีของมัน
หลังจากกลับไปแล้ว เขาจะให้คนทำออกมาสักสองร้อยคู่ มอบให้แก่ทหารที่ขาพิการเ่าั้ เมื่อมีไม้เท้าช่วยพยุงตัว ทหารที่ขาหักหรือขาพิการก็สามารถไปไหนมาได้ด้วยตนเอง เป็ประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ต่อการใช้ชีวิตของพวกเขา ไม้เท้าค้ำยันชนิดนี้จะมีประโยชน์ต่อกองทัพอย่างมหาศาล
อาการาเ็ถึงเส้นเอ็นและกระดูกต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยวัน ขาได้รับาเ็ การรักษาใช้เวลาสามเดือน ต้องนอนอยู่แต่ในห้องไปไหนไม่ได้ แต่ถ้ามีไม้เท้าแบบนี้ ขอแค่ระวังมากหน่อย ก็สามารถไปไหนมาไหนได้
ในฐานะนายน้อยของร้านขายยา ซูจี้ผู้นั้นย่อมจะเล็งเห็นจุดนี้
"นายน้อยผู้นี้อัธยาศัยไม่เลว ยังรับซื้อเห็ดหลิงจือในราคาสูงอีกด้วย"
เหลียนเซวียนเคยบอกว่าเห็ดหลิงจือห้าดอก มีเพียงหลิงจือดำที่มีมูลค่าสูงสุด ทั้งหมดรวมกันประมาณร้อยกว่าตำลึง แต่ไม่นึกว่าเขาจะให้ราคาถึงสองร้อยตำลึง ทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นประหลาดใจมาก
"นั่นเป็เพราะว่าผู้ดูแลร้านของพวกเขาประเมินผิดพลาด ประกอบกับพวกเขาได้ไม้เท้าของเราไป จึงชดเชยให้ด้วยราคาสูง"
เหลียนเซวียนรับเงินมาก็ไม่ได้ว่าอะไร ชื่อเสียงดีงามของซูจี้หาใช่แค่ลมปาก
"ประเสริฐยิ่งนัก แค่ออกจากบ้านก็หาเงินได้เป็กอบเป็กำ เวลาสิบวันที่ผ่านมา ถุงเงินพร่องไปครึ่งหนึ่ง ขายเห็ดหลิงจือได้ ไม่เพียงแต่ชดเชยของเก่า ยังเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงเงินที่เพิ่มขึ้น ดวงตาก็ฉายแววยิ้ม "เงินเหล่านี้ เพียงพอที่จะถอนพิษในตัวท่านหรือยัง"
เธอยังจำปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่าได้
"ยังไม่ได้"
น่าเสียดายนัก แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังพลันหม่นแสงลง
"สมุนไพรที่จำเป็ในการถอนพิษล้วนเป็ของล้ำค่าหายาก" วันนี้เหลียนเซวียนถามนายน้อยซูจี้แล้ว ในบรรดาสมุนไพรที่ใช้ในการถอนพิษ ร้านของเขามีเพียงสองชนิดที่หาได้ทั่วไป
นอกจากนี้แม้จะรวบรวมสมุนไพรมาได้ครบถ้วน เขาก็ไม่ชำนาญเื่ถอนพิษ แม้เขาจะจำเทียบยาถอนพิษได้ แต่ร่างกายรับพิษมานานเกินไป อยากจะถอนรากถอนโคนให้หมด คงต้องให้ศิษย์พี่ช่วยเหลือ
"อา เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ หรือว่าแก้พิษไม่ได้แล้ว?" ความยินดีปรีดาของเซวียเสี่ยวหรั่นหายวับไปในพริบตา
"ก็ไม่ใช่อีก เพียงแต่ต้องหาคนผู้หนึ่ง" เหลียนเซวียนทนเห็นนางผิดหวังไม่ได้ จึงกระซิบบอกอีกประโยค
"ผู้ใด?" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบถามอย่างร้อนใจ
"พูดไปเ้าก็ไม่รู้จัก" เหลียนเซวียนหัวเราะ
"ท่านไม่พูด แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าข้าไม่รู้จัก" เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มฉุนเฉียว
มุมปากของเหลียนเซวียนโค้งขึ้นน้อยๆ "อ้อ เ้าอาจรู้จัก?"
น้ำเสียงเรียบๆ ของเขากลับทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นร้อนตัวขึ้นมา
แน่นอนว่าเธอ... ย่อมไม่รู้จัก ความรู้ของเธอเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็คงพอๆ กับเด็กสามขวบ
"ท่านพูดมา ข้าสามารถช่วยสอบถามให้ท่านได้" เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปจับอีกทาง
"ไม่ต้องหรอก ตอนนี้เขาคงจะอยู่ในป่าลึกบนูเา ถามไปก็ไม่ได้ความอะไร" เหลียนเซวียนไม่อยากให้นางเป็กังวลเื่นี้
"ผู้นั้นเป็หมอหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นซักต่อ
"อื้อ เป็หมอ" ผู้ที่ออกมาจากเขาราชันโอสถคงมีแต่ตนเองที่ไม่ใช่หมอ เหลียนเซวียนเหยียดมุมปาก
"ชื่ออะไรหรือ" หากไม่ถามตรงๆ เ้าท่อนไม้นี่คงไม่บอกความจริง
บอกไปนางก็อาจไม่ได้ข่าวอันใด แล้วไยถึงต้องดื้อรั้นเช่นนี้ เหลียนเซวียนรู้สึกจนปัญญา
"ผูหยางชิงหลัน"
"ผูหยางชิงหลัน ชื่อมีสี่อักษรเลยหรือ น่าแปลกจริงๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นขานนามของเขาอยู่หลายรอบ
นามสี่อักษรแปลกมากหรือ เหลียนเซวียนเลิกคิ้วตามความเคยชิน ความเ็ปเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงจึงยิ่งรุนแรงขึ้นหลายส่วน
"แต่นามนี้แค่ได้ยินก็ให้ความรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์สง่างาม เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมสูงส่ง" เซวียเสี่ยวหรั่นเอ่ยชื่อผูหยางชิงหลันอีกสองสามรอบ
เหลียนเซวียนมุมปากกระตุก หากดูจากภายนอก คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้เื่ราวล้วนถูก 'วิญญูชนสูงส่ง' ผู้นี้ล่อลวงให้เลื่อมใสทั้งสิ้น
แต่เสียดาย ล้วนแต่เป็ชื่อเสียงจอมปลอมทั้งสิ้น อุปนิสัยที่แท้จริง คนที่รู้จักคุ้นเคยกับเขาดีต่างอดที่จะเข่นเขี้ยวไม่ได้ทั้งนั้น
"เขามีชื่อเสียงมากหรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นถามอีก
"พอมีอยู่บ้าง" เมื่อเทียบกับอาจารย์แล้ว ศิษย์พี่นับว่าเก็บตัวมาก ยินดีเป็หมอร่อนเร่ไปตามเมืองต่างๆ ไม่ยอมเข้าเมืองหลวงค้อมเอวให้ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ สิ่งที่ศิษย์พี่ของเขาผู้นี้ยอมรับไม่ได้เป็ที่สุดคือการถูกบีบบังคับ
เหลียนเซวียนก็ไม่ฝืนใจเขา
"มีชื่อเสียงก็หาง่าย หาไม่มีชื่อเสียงเลยก็หาลำบากหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นครุ่นคิด
"ปรกติเขาชอบขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร น้อยมากที่จะเข้าเมือง ตามหาเขาไม่ง่ายนักหรอก รอกลับไปถึงแคว้นฉีค่อยตามหาดีกว่า" เหลียนเซวียนรู้ดีว่ารีบร้อนไม่ได้
"อา พวกเราอยู่ไกลจากแคว้นฉีมาก ข้าได้ยินอู๋โจวบอกว่าจากชางตานไปชายแดนของแคว้นฉีต้องเดินทางสิบกว่าวัน ดินแดนแคว้นฉีกว้างใหญ่ไพศาล หากไปเมืองหลวงที่ท่านอยู่ ก็ต้องเดินทางอีกยี่สิบสามสิบวัน ให้ตายเถอะ ก้นของข้าต้องแยกเป็สี่ส่วนแน่"
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงว่าจะต้องนั่งรถม้าเป็แรมเดือน ศีรษะก็รู้สึกหนักอึ้ง
"แฮ่ม เป็สาวเป็นาง พูดจาให้สุภาพหน่อย" เหลียนเซวียนตำหนิเสียงเบา
เธอพูดไม่สุภาพตรงไหน? ก้นถูกกระแทกเป็สี่ส่วนพูดไม่ได้หรือ
เซวียเสี่ยวหรั่นมองใบหน้าที่มีแต่หนวดเคราดวงนั้น แล้วก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาอย่างไม่ยอมรับ
