บทที่ 21
...
ราชันย์เดินกลับเข้ามาข้างเตียงคนไข้ที่ในใบหน้าของหญิงสาวหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง เขานั่งลงบนเตียงเล็กน้อย มือหนาลูบไล้ใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน
“กอหญ้า ผมต้องกลับไทยสักพักนะ คุณและลูกต้องดูแลตัวเองดี ๆ ระหว่างนี้ผมจะให้ธันวาบินกลับมาดูแลคุณ”
เขาก้มลงจุมพิตที่ใบหน้ามนที่นอนอยู่บนเตียงเบา ๆ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เป็เวลาเดียวกับที่เว่ยเอินเองก็เดินเข้ามาในห้องพอดี
“ดูแลพี่สาวของเธอให้ดี ส่วนนี่เบอร์ติดต่อฉัน หากมีอะไรติดต่อฉันได้ตลอด”
“คุณราชันย์ไม่ต้องห่วงค่ะ พี่หญ้ากับเด็ก ๆ เว่ยเอินจะดูแลให้เป็อย่างดี”
“อื้อ”
ราชันย์พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกไปทันที ขายาว ๆ ของเขาก้าวฉับ ๆ มายังห้องที่เด็กน้อยทั้งสองของเขานอนอยู่ ห่างกันแค่กระจกใสกั้น เขายืนมองเด็กน้อยในรถเข็นที่มีแสงไฟส่องทั้งสองคันของเขาอย่างโหยหา ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกของเขากำลังบั่นทอนให้จิตใจของเขาไม่อยากออกไปจากที่นี่เลยแม้แต่วินาที
ตืด ตืด
“ว่าไงธันวา”
“เลขาคุณมาคัสแจ้งว่าจะเข้าไปที่โรงงานเอง กำลังบินมาไทย”
“อืม ฉันกำลังจะกลับ .. ธันวา นายช่วยกลับมาดูแลกอหญ้าหน่อยได้ไหม”
“ทำไมซื้อหวยไม่ถูกวะ ไม่ต้องห่วง เก็บกระเป๋ารอละ”
“ขอบใจมาก”
“ราชันย์ มึงเครียดไปหรือเปล่าวะ ปกติมึงไม่ใช่แบบนี้นะ ถ้ากูกวนตีนป่านนี้มึงด่ากูไปละ”
“ไม่มีอะไรมาก มึงรีบบินมาอยู่เป็เพื่อนกอหญ้าเลย”
“เออ”
กอหญ้าลืมตาขึ้นมาช้า ๆ หลังจากที่ได้ยินเสียงปิดประตูของราชันย์ดังขึ้น เธอขยับตัวขึ้นนั่งช้า ๆ เว่ยเอินที่เห็นกอหญ้าตื่นแล้วเธอเดินช้า ๆ มานั่งข้าง ๆ เตียงก่อนจะนั่งมองหน้าคนที่เธอนับถือเป็พี่สาวนิ่ง ๆ
“ได้ยินหมดแล้วใช่ไหมคะพี่หญ้า”
“อืม”
“เดี๋ยวคุณราชันย์ก็กลับมาค่ะ”
“เขาจะมาหรือไม่มาก็เื่ของเขา เว่ยเอิน พี่อยากไปดูลูก”
“ได้ค่ะ ค่อย ๆ นะคะ”
“เดี๋ยวพี่พาไปเอง เว่ยเอินลงไปซื้ออาหารอ่อน ๆ ไว้ให้พี่หญ้าทานหน่อยแล้วกัน”
“แบบนั้นก็ได้ค่ะ”
กอหญ้าหันไปยิ้มให้ปอร์เช่เล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้อง สองขาน้อย ๆ ของเธอเดินตรงไปยังห้องที่มีเด็ก ๆ นอนอยู่ เด็กน้อยสองคนที่นอนอยู่ในรถเข็นที่มีแสงไฟส่องสว่างจ้าฝ่ามือเล็ก ๆ ของเธอวางบนผนังกระจกใบหน้าค่อย ๆ เปื้อนรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
นี่เป็ครั้งแรกหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าลูกของเธอ ความรู้สึกอ่อนแอ เหนื่อยล้า ก็พลันหายไปในทันที
“พยาบาลแจ้งว่าอีกวันสองวันเด็ก ๆ ก็ออกจากตู้อบได้แล้ว”
“ดีจังเลย กอหญ้าอยากอุ้มลูกมากเลย”
“อดทนรออีกหน่อยนะ”
“อื้อ หญ้าขออยู่ตรงนี้สักพักนะ ปอร์เช่กลับไปก่อนก็ได้”
“เราจะอยู่เป็เพื่อนหญ้าเอง”
3 วันต่อมา
“พี่หญ้าดูซิ หนูอาร์เดนนอนยังเหมือนพี่หญ้าเลย”
“ยัยเปี๊ยกดูนี่ซะก่อน คุณหนูอลิซหน้าตาเหมือนคุณราชันย์มากใช่ไหม”
“นายอุ้มคุณหนูดี ๆ นะอย่าให้หลุดมือนะ”
“ยังไม่เลิกเถียงกันอีกหรอ เจอกันทีไรไม่เถียงกันนอนไม่หลับใช่ไหม”
“กอหญ้า ข้าวเย็นเสร็จแล้ว เว่ยเอินพาเด็ก ๆ ไปนอนก่อนจะได้มากินข้าวกัน”
“นายตามมาเลย เอาคุณหนูไปนอนเร็ว”
หลังจากออกจาก รพ. ทุกคนก็มารวมกันอยู่ที่บ้านกอหญ้าเองก็มีคนช่วยดูเด็ก ๆ โชคดีที่ลูกของเธอทั้งสองไม่งอแงเลย จะมีแค่ร้องเวลาหิวเท่านั้น หลังจากออก รพ. มากอหญ้าเองก็รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย เธอรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่อยากอาหาร และง่วงนอนตลอดเวลา
หลังมื้ออาหารผ่านไปกอหญ้าเข้าไปดูเด็ก ๆ ก็เห็นว่ากำลังนอนหลับตามประสาเด็กแรกเกิด เธอเดินออกมาหน้าบ้านก็เห็นว่าธันวากำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่ได้อยากไร้มารยาทถ้าเธอไม่ได้ยินว่าธันวานั้นพูดคุยกับราชันย์
‘ไม่ต้องห่วงกอหญ้า ตอนนี้กลับบ้านแล้วเด็ก ๆ ก็แข็งแรงดีมาก’
‘ราชันย์มึงหยุดเป็ห่วงกอหญ้า แล้วหาเวลาพักผ่อนก่อนไหม ถ้าขืนมึงทำงานไม่หลับไม่นอนแบบนี้มันไม่คุ้ม’
เมื่อเธอเห็นว่าธันวาวางสายแล้ว เธอเดินออกมายืนข้าง ๆ ธันวา เมื่อธันวาเห็นเธอสีหน้าจากที่เคร่งเครียดก็เปลี่ยนเป็หันมายิ้มให้เธอทันที ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กอหญ้ายิ้มให้ธันวาเล็กน้อย เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะเล็กข้าง ๆ
“เกิดอะไรขึ้นหรอ ทำไมสีหน้าดูเครียดจัง”
“อ่อ ไม่มีอะไรหรอก ที่บริษัทมีปัญหานิดหน่อย”
“อ๋อ แล้วคุณธันวาไม่ไปช่วยคุณราชันย์หรอ”
“ไม่ต้องถึงมือผมหรอก เื่นี้ราชันย์มันเอาอยู่”
“แบบนั้นก็ดีค่ะ”
“เป็ห่วงราชันย์มันหรอ ถ้ามันรู้นี่มันดีใจมากเลยนะ”
“เปล่าหรอกค่ะ แค่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่าตาหนูกับยัยหนูยังไม่กำพร้าพ่อ”
“เป็ห่วงเขาก็บอกมาเถอะ”
“หญ้าแค่รู้สึกว่าเื่ระหว่างหญ้ากับคุณราชันย์มันเป็เื่ที่ผิดพลาดั้แ่ต้น และมันไม่สามารถหาข้อสรุปมากันได้”
“แต่ตอนนี้หญ้ามีลูกด้วยกันแล้วนะ ไอ้ราชันย์มันก็สำนึกผิดแล้วจริง ๆ ที่ผ่านมาเคยทำไม่ดีกับหญ้า หญ้าให้โอกาสมันสักหน่อยจะได้ไหม”
“หญ้าก็ไม่ได้ปิดโอกาสที่เขาจะมาหาลูก ๆ นะคะ เพียงแต่ถ้าจะให้เป็ครอบครัว หญ้าคงรับตรงนี้ไม่ไหว”
ธันวาเองก็ไม่อยากเซ้าซี้ให้เธอไม่สบายใจ เขาเดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกอหญ้าเงียบ ๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมา เธอเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขาเช่นกัน สายตาเธอตอนนี้ดูกังวล และหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเพราะร่างกายของเธอเพิ่งผ่านความเ็ปของการเป็แม่มาหมาด ๆ ยิ่งทำให้ธันวาเองก็ยิ่งไม่อยากพูดเื่อื่นที่จะส่งผลต่อจิตใจของเธอ
ธันวาได้แต่นั่งเป็เพื่อนเธอเงียบ ๆ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณแม่หลังคลอด เพื่อจะได้เอาไว้รับมือกับเธอ ในอินเทอร์เน็ตค่อนข้างมีข้อมูลที่เยอะมาก และกว้างมาก แต่ก็ดูจะเป็ประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกัน ธันวาที่กำลังจดจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีคนเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง
“นายก็มีมุมนี้กับเขาด้วยหรอ”
“ยัยเปี๊ยก! ใหมด มาแอบดูมือถือคนอื่นมันเสียมารยาทนะ”
“ก็ไม่เห็นว่านายจะเป็คนอื่น”
“หืม”
“แบบว่า .. อย่าเข้าใจผิด ฉันหมายถึงก็อยู่บ้านเดียวกันมาตั้งนานแล้ว ก็ .. ก็เหมือนเพื่อนร่วมบ้านกันไง”
“อ๋อ.. เป็แบบนี้นี่เอง”
“ก็แบบนี้แหละ นายอย่าคิดไปไกลเกินละ .. ว่าแต่ วิธีในอินเทอร์เน็ตนั่น ใช้ได้ผลหรอ”
เสียงเจื้อยแจ้วของเว่ยเอินเปลี่ยนเป็เสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหูธันวาในประโยคสุดท้าย ทำให้ธันวาเองก็หลุดขำขันกับการกระทำของเธอไม่ได้
“ก็ช่วยได้บ้างแหละ แต่ต้องดูอารมณ์ของพี่สาวเธอด้วย”
ธันวาหันหน้าไปกระซิบที่ข้างหูเธอ ทำให้ใบหน้าของเขาโดนกับจมูกเล็ก ๆ ของเธออย่างไม่ตั้งใจ เว่ยเอินใผละออกไปทันทีราวกับโดนน้ำร้อนลวก เรียกความสนใจของกอหญ้าให้หันมามองทั้งคู่ทันที เธอขมวดคิ้วลงเล็กน้อยที่เห็นท่าทางประหลาดของผู้ที่เป็ดั่งน้องสาว ก่อนจะมองธันวาสลับกับเว่ยเอินไปมา
“เป็อะไรเว่ยเอิน ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“เอ่อ ..”
“หืม?”
“เปล่าค่ะ อ่อ.. พี่หญ้าวันนี้เว่ยเอินขอกลับบ้านนะคะ พ่อกลับมาแล้วได้อาหารสดมาเยอะเลย ว่าจะเอามาทำอาหารเย็นนี้ พี่หญ้าอยากทานอะไรเป็พิเศษไหมคะ”
“ไม่ละ เราทำเลย พี่ทานได้หมด งั้น .. พี่ขอเข้าไปดูตาหนูกับยัยหนูก่อนละกัน”
เธอลุกขึ้นทันทีหลังพูดจบ ทิ้งให้เว่ยเอินกับธันวาอยู่ในบรรยากาศอึมครึมอย่างช่วยไม่ได้ ธันวายังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม โดยที่เว่ยเอินเองก็ยังคงยืนอยู่ด้านหลังของเขาเพียงแค่ห่างไปเล็กน้อยเท่านั้น
“ไม่ต้องทำหน้าเหมือนฉันไปขโมยหอมแก้มเธอเลย คนที่โดนขโมยหอมแก้มมันคือฉันต่างหาก”
“นายพูดบ้าอะไร มันคืออุบัติเหตุต่างหาก อย่าพูดเหมือนฉันไปทำมิดีมิร้ายนายสิ”
“อ่าว .. เธอก็รู้นี่นาว่ามันคืออุบัติเหตุ แล้วจะทำหน้าเหมือนหอมแก้มผู้ชายครั้งแรกไปทำไม หรือว่าเธอหอมแก้มผู้ชายครั้งแรกจริง ๆ”
“นาย!!”
“ว้าว!! ต้องใช่ ต้องใช่แน่ ๆ”
