สิ่งที่กู้หนานเฟิงคิดไม่ถึงก็คือ จวนเก่าของฮ่องเต้จะเก่าและทรุดโทรมถึงเพียงนี้จริงๆ
ในจวนที่ทรุดโทรมซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองนี้ กำแพงจวนมีรอยด่างเล็กน้อย หน้าต่างกระดาษหลายแห่งผุพังอย่างเห็นได้ชัด เครื่องเรือนมีน้อยนิดทั้งยังล้วนแต่เป็เครื่องเรือนพื้นฐานที่ทุกเรือนต้องมี เขาเห็นฮ่องเต้ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง บริเวณโดยรอบนั้นไร้ซึ่งเสียงใดๆ แม้แต่การทำความสะอาดของเหล่าขันทีก็ยังมีเสียงเบาและเชื่องช้ามาก เพราะปัญหาเื่แสงสว่าง จึงมองความเป็จริงได้ไม่ชัดเจน เห็นเพียงความรู้สึกที่โดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
บางทีอาจเป็เพราะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เขาจึงหันไปมองกู้หนานเฟิง และเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“มาแล้วหรือ?”
กู้หนานเฟิงก้าวขึ้นมา
“ฮ่องเต้ทรงพระเจริญ!”
เขาพยักหน้า เพื่อบอกให้กู้หนานเฟิงนั่งลง
อันกงกงรีบก้าวไปข้างหน้า ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้เพื่อคอยรับใช้ ไม่นานอาหารก็ถูกยกมา บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด กู้หนานเฟิงแอบคาดเดาจุดประสงค์ของฮ่องเต้ที่เชิญเขามาร่วมทานอาหารเย็นในวันนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ขุนนางในราชสำนัก แต่เพราะบิดาของเขาเป็มหาเสนาบดี และน้องสาวของเขาเป็พระสนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน เขาและฮ่องเต้ได้พบกันหลายครั้ง แต่กลับไม่ได้พูดคุยกันเท่าไรนัก
อาหารทุกอย่างที่อันกงกงยกมา เขาจะแนะนำจุดเด่นของอาหาร ส่วนผสมที่ใช้และผลประโยชน์หลังทานไปแล้วอย่างละเอียดทุกอย่าง กู้หนานเฟิงมาที่เมืองตั้งหยางระยะหนึ่งแล้ว วันๆ กินแต่โจ๊กผัก เมื่อมีอาหารน่าอร่อยอยู่ตรงหน้าจึงไม่ได้เกรงใจมาก เมื่อฮ่องเต้ยกตะเกียบคีบอาหารกิน เขาก็คีบอาหารขึ้นมากินทันที ในหัวกลับคิดว่าน่าเสียดายที่หลิวเยว่ไม่ได้มาด้วย ที่ผ่านมานางลำบากไม่น้อย เมื่อคิดถึงรูปร่างที่ผ่ายผอมลงของนาง เขาก็ปวดใจทันทีและคิดว่าก่อนจะกลับไป เขาจะขอให้อันกงกงห่ออาหารให้สักเล็กน้อยเพื่อนำไปฝากหลิวเยว่ด้วย
เมื่อกินไปได้พอประมาณแล้ว ฮ่องเต้ที่นั่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้ข้าจะกลับเมืองเทียนเฉิงแล้ว เ้าก็กลับด้วยกันพรุ่งนี้สิ”
กู้หนานเฟิงตะลึงงัน เขาปฏิเสธทันทีโดยแทบไม่ได้คิด
“ขอบพระทัยสำหรับความหวังดีของฝ่าา แต่หน้าที่บรรเทาภัยพิบัติยังไม่เสร็จสิ้น พวกกระหม่อมอาจจะเลื่อนเวลากลับเมืองหลวงไปอีกสองสามวันพ่ะย่ะค่ะ” กู้หนานเฟิงคิดว่าด้วยนิสัยของหลิวเยว่ เกรงว่านางคงไม่ออกจากเมืองตั้งหยางง่ายดายเพียงนั้น
หลังจากที่เขาเอ่ยปฏิเสธแล้ว เขาก็แอบสังเกตพระพักตร์ของฮ่องเต้ ซึ่งยังคงไร้ความรู้สึกเช่นเคย มองไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร อันกงกงที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม
“ใต้เท้ากู้ ท่านจะอยู่ที่เมืองตั้งหยางนานไม่ได้ โรคระบาดเริ่มแพร่กระจายแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้โรคระบาดแพร่กระจายไปยังเมืองอื่น ฮ่องเต้ได้ร่างพระราชโองการให้ปิดประตูเมืองตั้งหยางั้แ่พรุ่งนี้ไป เมืองนี้จะถูกปิดตาย คนที่อยู่ในเมืองนี้ย่อมจะออกไปที่ใดไม่ได้ พวกท่านจะไม่สามารถออกจากเมืองได้ และผู้คนนอกเมืองก็ไม่สามารถเข้ามาได้เช่นกัน ดังนั้นพวกท่านต้องกลับเมืองเทียนเฉิงกับพวกเราในวันพรุ่งนี้เท่านั้น ฮ่องเต้จึงจะได้วางพระทัย พระสนมซินเองก็จะได้วางใจเช่นกัน”
ปิดประตูเมือง? เมื่อได้ยินประโยคนี้กู้หนานเฟิงพลันใจสั่นทันที ต้องรู้ว่าถ้าประตูเมืองตั้งหยางถูกปิดตายจริงๆ เช่นนั้นชาวบ้านทั้งเมืองตั้งหยางจะตาย และไม่มีโอกาสรอด
เขาอยากจะพูดบางอย่างเพื่อต่อสู้แทนชาวเมืองตั้งหยาง เผื่อว่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ แต่ฮ่องเต้กลับยืนขึ้นแล้วตอบอย่างไม่แยแส
“เ้ากลับไปคิดเถอะ”
ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป อันกงกงจึงรีบเดินตามหลังไปเช่นกัน
กู้หนานเฟิงกินอาหารต่อ และหลังจากกินเสร็จเขาก็เก็บอาหารที่เหลือบนโต๊ะนำกลับไปให้หลิวเยว่ ส่วนเื่จะกลับเมืองเทียนเฉิงหรือไม่ เขายังไม่ได้คิดเกี่ยวกับเื่นี้
เมื่อเดินออกจากเรือนหลังเก่า เขาหันกลับไปมองตัวเรือนโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองจากระยะไกล เขาเห็นฮ่องเต้และอันกงกงยืนอยู่ใต้ต้นสาลี่ ตอนนี้เป็เวลากลางคืนแล้ว อาศัยเพียงแสงจันทร์เท่านั้น จึงทำให้มองเห็นเป็เงาร่างที่เลือนราง
เขาไม่รู้ว่าเรือนเก่าหลังนี้มีความสัมพันธ์แบบใดกับฮ่องเต้ ถึงได้มีผลต่อความรู้สึกพระองค์เช่นนี้ คืนนี้อารมณ์ของฮ่องเต้ดูเหมือนจะหดหู่มากยามอยู่ในเรือนหลังเก่าหลังนี้
กู้หนานเฟิงมองไม่ผิด อวิ๋นซู่ในเวลานี้รู้สึกหดหู่ใจจริงๆ อันกงกงเดินตามหลังเขาและพูดจาอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าา นี่ก็ดึกแล้ว เสด็จไปพักผ่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้ต้องเสด็จกลับเมืองหลวงเทียนเฉิง เดี๋ยวจะทรงเหน็ดเหนื่อยเกินไป”
ดูเหมือนอวิ๋นซู่จะไม่ได้ยินคำพูดของอันกงกง มือหนาของเขาัักับต้นสาลี่เบาๆ พลางเอ่ยถาม
“เ้ารู้หรือไม่ว่ามันถูกปลูกมาแล้วกี่ปี?”
อันกงกงมองดูต้นสาลี่ต้นนั้น ดูวงกลมบนต้นไม้อย่างน้อยก็สิบปี แต่เขาไม่กล้าตอบ เขาแค่พูดว่า
“กระหม่อมมองไม่ออก”
เสียงของอวิ๋นซู่นั้นเย็นเยียบมาก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะจมอยู่ในความทรงจำในอดีต ก่อนจะเอ่ยออกมาเนิบช้า
“ก่อนที่เสด็จพ่อข้าจะต ข้าได้รับราชโองการให้มาดูแลเมืองตั้งหยาง ในเวลานั้น เรือนหลังนี้ยังใหม่เอี่ยมและลานบ้านก็กว้างขวาง ตอนนั้นลานยังว่างเปล่า ต้นสาลี่ต้นนี้ถูกปลูกขึ้นมาในเวลานั้น ก็คืออาซี...”
เมื่อเขาเอ่ยชื่อของอาซี เสียงของเขากลับหยุดลงทันที มือของเขาที่ััต้นสาลี่ก็กำหมัดแน่นทันที ใต้ต้นสาลี่ภายใต้แสงจันทร์ สามารถมองเห็นมือซีดขาวของเขาได้
อันกงกงเหงื่อไหลออกกมาเต็มตัว คุกเข่าลงกับพื้นทันใด เอาหน้าผากแตะพื้นแล้วพูดด้วยเสียงสั่นเทา
“ฝ่าาเื่ราวก็ผ่านพ้นไปแล้ว กระหม่อมขอร้องพระองค์อย่าทรงคิดถึงอีกเลย รักษาพระวรกายด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
อันกงกงรับใช้ฮ่องเต้ั้แ่เขายังเป็เพียงองค์ชายสาม หลายปีมานี้ นับแต่เขาเป็องค์ชายสามที่ถูกจำกัดทุกอย่าง ทุกย่างก้าวจนมาถึงวันที่กลายเป็ฮ่องเต้ในวันนี้ เขารับรู้ถึงความลำบาก ั้แ่ฮ่องเต้เป็ชายหนุ่มผู้มีความรู้สึกค่อยๆ ก้าวขึ้นไปสู่การเป็คนที่เืเย็น กลายเป็ฮ่องเต้ที่ทุกคนได้ยินชื่อแล้วล้วนต้องสีหน้าเปลี่ยน เขาเห็นตอนที่ฮ่องเต้ยืนอยู่บนหน้าผากับสตรีที่ชื่ออาซีผู้นั้น และเห็นตอนที่สตรีผู้นั้นะโลงหน้าผาด้วยตาของตัวเอง
ในตอนนั้น ฮ่องเต้กำลังนำทัพเข้าบุกโจมตียึดเมือง กำลังต่อสู้กับศัตรูอย่างเอาเป็เอาตาย หลังจากรอดชีวิตในาและนำชัยชนะกลับไปแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ได้แล้ว เขาจึง้ากลับเมืองเทียนเฉิง แบ่งปัน่เวลาแห่งเกียรติยศนี้กับสตรีที่ชื่ออาซีผู้นั้น แต่สิ่งที่เขาต้องเจอกลับเป็นางที่ะโลงหน้าผาฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาเขา
ตอนนั้นฮ่องเต้ร้องะโไปยังสตรีที่อยู่บนหน้าผา
“ถ้าเ้าตาย ข้าจะทำให้ใต้หล้านี้กลายเป็ขุมนรกบนดิน”
ในเวลานั้น ท่าทางของฮ่องเต้ อันกงกงยังคงจดจำได้จนมาถึงวันนี้ ร่างกายที่สั่นเทาไม่หยุด ความมั่นใจในตัวเองพังทลายลง ความรู้สึกที่แหลกสลาย กระทั่งสูญเสียเหตุผลทุกอย่าง พระองค์วิ่งไปทางหน้าผาหมายจะจับสตรีที่ชื่ออาซีผู้นั้น
เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรั้งฮ่องเต้เอาไว้ ฝืนบังคับพาพระองค์กลับวังหลวง อารมณ์ความรู้สึกของเขาถึงได้ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา ในพิธีขึ้นครองบัลลังก์ ฮ่องเต้จึงได้กลายเป็คนที่ทุกคนหวาดกลัว
แต่ประโยคนั้น
“ถ้าเ้าตาย ข้าจะทำให้ใต้หล้านี้กลายเป็ขุมนรกบนดิน” กลับไม่ได้เกิดขึ้นจริง ด้วยเหตุนั้นแผ่นดินของราชวงศ์ทง ราษฎรส่วนใหญ่จึงใช้ชีวิต ทำงานอย่างสงบสุขและเป็ที่พอใจ หากจะบอกว่าขุมนรกบนดิน คงมีแต่ชีวิตความเป็อยู่ของฮ่องเต้เท่านั้นที่เหมือนอยู่ในขุมนรก ไม่เช่นนั้น ในโลกนี้ จะมีคนที่ยิ้มไม่เป็ได้อย่างไร?
คำพูดนี้ อันกงกงก็ได้แต่คิดเท่านั้น ทว่าเขาไม่กล้าพูดอะไร โดยเฉพาะทุกปีที่ฮ่องเต้ไปที่หน้าผา ประทับอยู่ตรงนั้นทั้งวัน ไม่พูดอะไร ไม่กินไม่ดื่ม หลังจากกลับมาก็ประชวร
หลายปีที่ผ่านมา ความทุกข์ของฮ่องเต้ เขาจะไม่รู้เลยได้อย่างไร? เวลานี้เมื่อได้เห็นฮ่องเต้ทรงเป็เช่นนี้ แน่นอนว่าเขารู้ว่าฮ่องเต้ทรงกำลังคิดถึงสตรีที่ชื่อลิ่วซีผู้นั้น
เมื่อได้ยินอันกงกงเอ่ยเกลี้ยกล่อม อวิ๋นซู่จึงเก็บสายตาแล้วกล่าว
“อันกงกง เ้าว่าข้ารู้สึกไปเองหรือไม่? บนถนนวันนั้นข้าคล้ายกับเห็นอาซียืนอยู่ตรงนั้น”
อันกงกงประหลาดใจและหวาดกลัว
“ฝ่าา?”
“ในใต้หล้านี้หากมีผีจริงๆ เหตุใดนางจึงไม่มาหาข้า? ต่อให้จะเป็ครั้งเดียวก็ยังดี”
“ฝ่าา” อันกงกงไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก ลุกขึ้นเดินตามหลังฮ่องเต้
เงาร่างของเขาที่เกิดจากแสงจันทร์ มันช่างดูโดดเดี่ยว ในขณะนี้อันกงกงกลับรู้สึกว่า ต่อให้ได้ทั้งแม่น้ำและูเาหลายพันลี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด? เพราะมันไม่อาจเอาชนะคำว่าความสุขที่อยู่ข้างในได้
ความโศกเศร้าใต้ต้นสาลี่เมื่อวานนั้น อันกงกงแทบจะคิดว่ามันเป็เพียงความฝันของเขาเอง และความโศกเศร้าของฮ่องเต้ก็อยู่ในความฝันเช่นกัน เพราะฮ่องเต้ในเวลานี้กลับมาเย่อหยิ่งและดูแคลนใต้หล้าเหมือนก่อนหน้านี้เช่นเคย พวกเขาออกจากเมืองตั้งหยางและเดินทางกลับเมืองเทียนเฉิง ฮ่องเต้ประทับอยู่บนหลังม้า และกำลังควบม้าไปข้างหน้าอย่างองอาจ ราวกับว่าทั่วทั้งใต้หล้านี้อยู่ในฝ่ามือของพระองค์ และเขาก็เป็ฮ่องเต้ที่มีความสามารถและมีอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์ อันกงกงบอกลากู้หนานเฟิง และยังเกลี้ยกล่อมให้เขาออกจากเมืองตั้งหยางโดยเร็วที่สุดก่อนจะจากไป
จนกระทั่งพวกเขาจากไปแล้ว หลิวเยว่ที่ซ่อนตัวอยู่ถึงได้โผล่ออกมา เรือนเก่าที่กู้หนานเฟิงไปเมื่อคืนนั้น นางเองก็ไปดูมาแล้วั้แ่วันที่มาถึงเมืองตั้งหยางในวันที่สอง มันคือเรือนหลังเก่าที่อวิ๋นซู่มาพักอยู่ยามที่ถูกส่งมายังเมืองตั้งหยางในตอนนั้น ที่นั่น นางกับอวิ๋นซู่ได้มี่เวลาแห่งความสุขของการเป็ชาวบ้านธรรมดาที่บุรุษออกไปทำงานนอกบ้าน และสตรีก็เฝ้าอยู่ในเรือน ไม่คิดเลยว่าแม้เขาจะได้เป็ฮ่องเต้แล้ว ก็ยังไม่ลืมเรือนหลังเก่านี้
กู้หนานเฟิงกล่าวว่า
“หลิวเยว่ ฮ่องเต้ทรงสั่งปิดเมืองเมื่อเช้านี้ ห้ามผู้ใดเข้าออก” เขาไม่เคยพูดถึงเื่จะออกจากเมืองตั้งหยาง เพราะเขารู้จักหลิวเยว่ดีเกินไป นางจะไม่เพิกเฉยต่อความปลอดภัยของผู้คนในเมืองตั้งหยาง
แม้ว่าหลิวเยว่ไม่อาจทนอยู่นิ่งเฉยได้ แต่นางก็เข้าใจการตัดสินใจที่ถูกบังคับในสถานการณ์ในตอนนี้ นางรู้ดีถึงความรู้สึกของอวิ๋นซู่ที่มีต่อเมืองตั้งหยางดี ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่เดินทางหลายพันลี้มาที่นี่ แต่เพื่อประโยชน์ของใต้หล้าและความปลอดภัยของราษฎรในเมืองอื่นๆ นี่คือสิ่งที่เขาจำเป็ต้องทำ
“กู้หนานเฟิง เ้าก็ออกจากเมืองตั้งหยางไปกับเตี๋ยเย่เถอะ เ้าทำมามากพอแล้ว ไม่จำเป็ต้องมาเสี่ยงอยู่ที่นี่อีก”
หลิวเยว่เตือนกู้หนานเฟิงให้ออกไปจากเมืองด้วยความหวังดี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะหัวเราะ
“หลิวเยว่ ในสายตาของเ้า ข้ากู้หนานเฟิงเป็เพียงไอ้คนขี้ขลาดหวาดกลัวแม้แต่เื่เล็กน้อยอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ แต่เ้ามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ กระทั่งเมืองเทียนเฉิง ประชาชนหลายหมื่นคนต่าง้าความช่วยเหลือจากเ้า แต่ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองตั้งหยาง การที่เ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร โรคระบาดได้แพร่กระจายมาถึงขั้นนี้แล้ว คนที่ป่วยจะอยู่ได้ไม่กี่วัน และโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาย่อมจะตายที่นี่”
“แล้วเ้าล่ะ?” กู้หนานเฟิงเอ่ยถามเพียงสามคำ
หลิวเยว่ตะลึงงัน นางไม่เคยคิดจะออกจากเมืองตั้งหยาง นางเต็มใจตามกู้หนานเฟิงมาที่นี่ จริงๆ แล้วนางวางแผนเอาไว้ว่าจะอยู่ที่นี่อีกนาน ที่นี่ไกลจากเมืองหลวง อันตรายน้อยกว่า รองลงมาก็คือความคุ้นเคยและความทรงจำ นอกจากนี้นางก็ไม่เคยคิดว่าถ้านางตายแล้วจะทำอย่างไร? นางไม่เคยกลัวความตาย หากตายเพื่อประชาชนเมืองตั้งหยาง เช่นนั้นก็นับว่าเป็การตายที่คุ้มค่า
“ข้าไม่เหมือนกับพวกเ้า ชีวิตข้าไม่ได้มีค่ามากเพียงนั้น เ้าพาเตี๋ยเย่กลับไปด้วย”
นางหันกลับไปพูดกับเตี๋ยเย่
“ขอบคุณที่เ้าปกป้องข้ามาตลอด หน้าที่ของเ้าจบลงแล้ว จะไม่มีใครตำหนิเ้า เ้ากลับไปยังที่ที่เ้าควรจะกลับเถอะ”
นางคิดว่าเตี๋ยเย่เข้าใจความหมายของนาง และรู้ว่าเหย่เลี่ยจะเข้าใจความหมายของนาง
ทว่าเตี๋ยเย่กลับส่ายศีรษะ
“เ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะอยู่ที่นั่น ดอกไม้อยู่ที่ใด ข้าก็อยู่ที่นั่น”
หลิวเยว่เข้าใจความหมายของนาง ประโยคแรกคือความมุ่งมั่นของนาง ส่วนประโยคหลังคือพูดแทนเหย่เลี่ย และนี่คือหน้าที่ของนาง นางจะไม่หักหลังความปรารถนาของนายน้อยของพวกนาง
เห็นกู้หนานเฟิงที่ดื้อรั้น และเตี๋ยเย่ที่ภักดี หัวใจของนางพลันอบอุ่นและดวงตาแดงก่ำ กู้หนานเฟิงก้าวไปข้างหน้าและกอดนางเอาไว้พลางเอ่ยว่า
“เอาล่ะ จะไปก็ไปด้วยกัน จะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราจะไม่สามารถต้านทานภัยพิบัติครั้งนี้ได้ ข้ากู้หนานเฟิงมีความโชคดีเสมอ และเ้าหลิวเยว่ เ้าก็เป็คนที่โชคดีเช่นกัน พวกเรามาพยายามไปด้วยกันเถอะ”
ท่าทางที่มั่นใจและไม่ทุกข์ร้อนของเขาทำให้หลิวเยว่รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย กู้หนานเฟิงก็เป็คนเช่นนี้ ต่อใหู้เาไท่ซานจะล้มลงตรงหน้า สีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยนสี เมื่อเห็นว่าพวกเขายืนกรานเช่นนี้ หลิวเยว่จึงไม่เกลี้ยกล่อมให้พวกเขาจากไปอีก
“ในเมื่อฮ่องเต้มีราชโองการให้ปิดประตูเมืองแล้ว ย่อมไม่อาจคืนคำได้ สิ่งที่พวกเราทำได้คือลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด” เมื่อนางพูดจบ กู้หนานเฟิงก็เข้าใจความคิดของนาง ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“ในเมืองตั้งหยางตอนนี้ ตามจำนวนคนที่รายงานมาก่อนหน้า ผู้คนติดโรคระบาดคิดเป็สี่ส่วน และคนที่ัักับพวกเขาก็คิดเป็สองส่วน กล่าวคือ คนที่ยังเป็ปกติดีคิดเป็สี่ส่วน ดังนั้นจึงต้องแยกชาวบ้านสี่ส่วนนี้ออกไปในที่ปลอดภัย เพื่อหลีกเลี่ยงโรคระบาด ข้าจะจัดการต่อโดยแยกทางใต้ออกจากทางเหนือของเมืองตั้งหยาง ประชาชนที่ติดโรคระบาดจะอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ทางนั้นจะเป็ศูนย์รวมของสถานพยาบาล ส่วนคนที่มีสุขภาพดีจะอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเพื่อป้องกัน ส่วนประชาชนอีกสองส่วนก็ให้อยู่ตำแหน่งกลางเมืองเพื่อเฝ้าดูอาการตลอดเวลา หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ พวกเขาจะถูกแยกออกทันที"
คิดไม่ถึงว่ากู้หนานเฟิงจะคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบเช่นนี้โดยที่หลิวเยว่ไม่รู้ นี่ทำให้หลิวเยว่อดคิดไม่ได้ ยุคปัจจุบันในปีสองพันสาม โรคซาร์สได้ระบาดทั่วกรุงปักกิ่ง ทั้งเมืองได้รับการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และสื่อก็ได้กระจายข่าวไปทั่วในเวลานั้น ทั้งยังมีการรักษาพยาบาลขั้นสูงและการเฝ้าระวังโดยเทคโนโลยีขั้นสูง และในยามนี้เกิดภัยพิบัติรุนแรงมาก กลับไม่สามารถเฝ้าระวังได้แม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าไม่มีทางออกเลยด้วยซ้ำ คำแนะนำนี้ของกู้หนานเฟิง ถือว่าดีที่สุด และเป็ไปได้มากที่สุด