“พระสนมพูดเช่นนี้ หมายความว่ายังไงเพคะ เหตุใดต้องให้นางดูแลฮ่องเต้ด้วย ในเมื่อพระองค์ก็ดูแลฮ่องเต้มาอย่างดีโดยตลอด” จือซินกุ้ยเฟยปล่อยยิ้มบางเบา พลันเลื่อนสายตามองถุงหอมที่อีกฝ่ายถืออยู่
“เ้านำไปมอบให้เขาเถอะ ป่านนี้คงรอแล้ว”
“เพคะ”
“เดี๋ยวก่อน!” หญิงกลางคนค่อย ๆ หันกลับมา
“เสร็จแล้ว ช่วยไปเรียกอี้หนิงกุ้ยเหริน มาพบข้าที่ตำหนัก ข้าจะรอนางที่นี่”
“เพคะ”
ภายในห้องส่วนตัวของอี้หนิงกุ้ยเหริน เตียงไม้แกะสลักอย่างประณีต ประดับด้วยม่านไหมเนื้อละเอียดและผ้าปูสีขาวสะอาดสะอ้าน ข้าง ๆ มีโต๊ะเล็ก ๆ วางพู่กัน หมึก และกระดาษที่พร้อมใช้การ ทั้งยังมีแจกันลายครามเสียบดอกไม้ เพื่อส่งกลิ่นหอม หญิงสาวหันมายังหีบเก็บผ้า ที่ว่างอยู่หนึ่งหีบ นางค่อย ๆ วางของมีค่า ที่เป็บรรณาการจากฮ่องเต้และกุ้ยเฟยเฮาลง ก่อนจะหันซ้ายหันขวาแล้วนำแจกันขนาดเล็กตามลงไปหลายชิ้น รวมถึงเหรียญเงินประจำราชสำนักอีกจำนวนหนึ่ง
‘ฉันจะต้องนำของพวกนี้กลับไปด้วยให้ได้ อย่าว่าแต่ซื้อบ้านเลย ฉันจะซื้อที่ดิน ซื้อรถหรูสักคันก็ยังได้’ เมื่อวางของทุกอย่างลงในหีบเรียบร้อยแล้ว นางจึงค่อย ๆ ปิดหีบลงอย่างระวัง ก่อนจะถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนั่ง
“พระสนมมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เพคะ” เสียงของซูหนิงทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เพราะไม่ทันตั้งตัว
“ปะ เปล่า!” หญิงสาวอึกอัก ก่อนจะรีบเอื้อมมือไปจับหีบผ้าอย่างรวดเร็ว
“เก็บผ้าเหรอเพคะ หม่อมฉันช่วย”
“ไม่ต้อง!” ท่าทางมีพิรุธของอีกฝ่ายทำให้นางกำนัลชะงักนิ่ง
“ข้าเก็บเสร็จแล้วล่ะ” กล่าวจบก็รีบดันหีบเข้าไปในซอกเตียงดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนสายตาแน่นิ่งของซูหนิงจะมองหีบนั้นด้วยความสงสัย
“เข้ามาหาข้ามีอะไรงั้นเหรอ” ทว่าเสียงของผู้เป็นายทำให้ซูหนิงละความสงสัย แล้วยิ้มเล็กน้อย
“จือซินกุ้ยเฟย ให้คนจากตำหนักฉางชุน มาตามพระสนมไปพบเพคะ” เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“เป็ไปตามธรรมเนียมหรือไม่” ซูหนิงยิ้มบาง ๆ แล้วส่ายศีรษะ
“ปกติแล้ว ตำแหน่งกุ้ยเฟยสูงกว่าตำแหน่งกุ้ยเหรินอยู่มาก จะไม่ก้าวก่ายกัน เว้นแต่มีเื่สำคัญเพคะ”
‘เื่สำคัญงั้นเหรอ?’ สิ้นความคิด หญิงสาวจึงหันกายเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางไปตำหนักฉางชุน สายตาของอี้หนิงกุ้ยเหรินเลื่อนมองไปรอบ ๆ ภายในวังหลวงเขตพระราชฐานชั้นใน ทุกมุมมีทหารคอยเฝ้า และคนทำความสะอาด แม้แต่ใบไม้แห้งที่ร่วงจากต้นไม้ใหญ่ก็ไม่มีให้เห็นตามพื้น เมื่อหันไปอีกฝั่ง สระน้ำสวยสะอาดสะท้อนท้องฟ้า ศาลาไม้สีแดงสูงตระหง่าน รวมถึงท้องพระโรงขนาดใหญ่สามหลังเรียงกัน แสดงถึงความมั่งคั่งในยุคสมัยนั้น ก่อนจะหันไปเห็นสวนดอกไม้ที่ปูด้วยหินตัดผ่านกลางสวน ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วขบคิด
‘สวนดอกเหมย สวยจัง’ นางหันคอมองตาม พร้อมสูดกลิ่นหอมอย่างชื่นใจ ก่อนจะหันมาแล้วชนเข้ากับร่างของใครบางคนทำให้นางรู้สึกเจ็บที่ศีรษะ
“อ๊ะ!” หญิงสาวหลับตาแล้วใช้มือถูกบริเวณศีรษะตัวเองเบา ๆ พลันค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อคนตรงหน้าคือจวิ้นเทียนฮ่องเต้ ทันใดนั้นจึงมองไปรอบ ๆ เหล่านางกำนัลและทุกคนในที่นั้นพากันก้มหน้ารับเสด็จ มีเพียงนางที่ยืนตาแป๋วสบสายตาอีกฝ่ายด้วยความใ
“ถวายพระพรฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันไม่ทันระวัง โปรดเว้นโทษด้วย” สิ้นเสียงจึงค่อย ๆ เงยหน้ามองอีกฝ่าย เป็ครั้งแรกที่ได้ยลพระพักตร์ใกล้ชิดเพียงฝ่ามือกั้น แม้ไม่แสดงสีหน้าว่าโกรธ แต่ใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่าย ทำให้นางนึกถึงดาราตามซีรีส์ ทั้งผิวพรรณ ดวงตา และเรียวปาก ทุกสัดส่วนผสมกันอย่างลงตัวชนิดที่ว่าไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน ทว่าเขาไม่ตรัสคำใด เพียงแต่เบี่ยงตัวหลบ แล้วเดินจากไปท่ามกลางสายตาทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
“อีกนิดจะถึงตำหนักฉางชุนแล้วเพคะ” นางกำนัลของจือซินกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ทำให้อี้หนิงละสายตาจากฮ่องเต้แล้วหันกลับมา
ไม่นานนักก็เดินมาถึงตำหนักฉางชุน เป็ตำหนักขนาดใหญ่ มีสวนดอกไม้เล็ก ๆ ล้อมรอบ ตัวตำหนักทำจากไม้เนื้อดีแกะสลักลวดลายสวยงามทั้งหลัง ยังไม่ทันได้ชื่นชมเสียงผู้เป็เ้าของตำหนักก็เอ่ยขึ้น
“เ้าออกไปก่อน ข้าอยากคุยกับอี้หนิงกุ้ยเหรินตามลำพัง” สุรเสียงราบเรียบนุ่มลึกของจือซินกุ้ยเฟย เอ่ยกับนางกำนัลของตน พลันเอื้อมไปรินชา แล้วยื่นให้กับอี้หนิง
“ขอบพระทัยเพคะ” อี้หนิงกล่าวพร้อมน้อมกายรับน้ำชา แล้วยกดื่มอย่างสุภาพ พร้อมหันมองไปรอบ ๆ พบกับสวนดอกเหมยเล็ก ๆ บริเวณนั้นอีกสองแห่ง
“พระองค์โปรดดอกเหมยเหรอเพคะ” นางยิ้มแล้วเอ่ยถาม ขณะเดียวกันก็ต้องสำรวมตัวเองตามมารยาท กิริยาทุกท่วงท่าของจือซินกุ้ยเฟยทำให้อี้หนิงกุ้ยเหริน ต้องระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหว
“ข้าชอบทำเครื่องหอม ดอกเหมยเป็วัตถุดิบที่ข้านำมาปรุง” นางตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อน
“ตอนเดินผ่านมา หม่อมฉันเห็นสวนดอกเหมยงดงามมาก ที่แท้ไว้ใช้เป็วัตถุดิบทำเครื่องหอมของพระองค์นี่เอง” จือซินกุ้ยเฟยยิ้มเบา ๆ ทว่ารอยยิ้มแสนอ่อนโยนของนาง ทำให้อี้หนิงผุดคิดขึ้นมา
‘นางงามมากจริง ๆ กิริยาและการวางตัว สมเป็สตรีชั้นสูงโดยเนื้อแท้ ไม่แปลกที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานนางมากกว่าพระสนมองค์อื่น ถึงขนาดร่างของนางถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีจวบจนถึงปัจจุบัน แต่ว่าเท่าที่จำได้ ร่างในโลงแก้วทำไมจึงเตี้ยกว่าตัวจริงอยู่มาก’
“เหตุใดจึงจ้องหน้าข้าเช่นนั้น” คำถามของอีกฝ่ายทำให้อี้หนิงได้สติ แล้วค่อย ๆ วางถ้วยชาในมือลงพลันเอ่ยขึ้น
“หม่อมฉันเพียงแค่คิด ว่าจะมีผู้ใดงดงามเทียบเท่าพระองค์หรือไม่”
“เ้าไง” หญิงสาวกระตุกคิ้วเล็กน้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้