เทือกเขาตระหง่านสูงขึ้นตรงหน้า แลดูเป็ปราการอันน่าเกรงขามที่ทอดยาวสุดสายตา หลินเว่ย หลิวซิน และเมิ่งหลิงเดินทางมาถึงรอยต่อระหว่างป่าทึบและเชิงเขาในที่สุด หลังจากเดินทางอย่างยากลำบากมาเป็เวลาสามวัน พวกเขาก็มาถึงเขตที่ชาวบ้านแถบนี้เรียกกันว่า "เขตต้องห้าม"
หลินเว่ย หยุดมองป้ายเก่าสีซีดจางที่ปักอยู่ริมทาง มีตัวอักษรจีนเก่าสลักไว้ว่า "อันตราย ห้ามเข้า" และมีสัญลักษณ์แสดงถึงกัมมันตรังสีอยู่ด้านล่าง
"นี่คือที่ที่หวังเจียนบอกให้พวกเรามาใช่ไหม?" เขาถามขณะที่พยายามควบคุมลมหายใจให้สม่ำเสมอ การเดินขึ้นที่สูงทำให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้น้อยลง
หลิวซิน พยักหน้า ใบหน้าคมเข้มของเธอสงบนิ่ง แม้จะเดินทางมาเหนื่อยยาก "ใช่ แผนที่ที่เขาให้มาระบุว่าต้องเข้าไปในหุบเขาด้านหลัง มันน่าจะเป็ทางผ่านที่ปลอดภัยที่สุด"
เมิ่งหลิง ขยับแว่นตาที่เริ่มลื่นจากเหงื่อบนใบหน้า "ฉันได้ยินเื่เขตต้องห้ามมาก่อน ผู้คนเล่าว่ามันเคยเป็ฐานทัพลับ หรือเขตทดลองอาวุธชีวภาพใน่าเย็น ไม่มีใครกล้าเข้าไปเพราะกลัวมลพิษและกับดัก"
หลินเว่ยนิ่งไป ความสงสัยเริ่มก่อตัวในใจ "ทำไมหวังเจียนถึงส่งเรามาที่นี่ล่ะ?"
"อาจเป็เพราะองค์กรเทียนซื่อก็ไม่กล้าเข้ามาเหมือนกัน" หลิวซินตอบพลางสำรวจเส้นทางตรงหน้า "หรือบางทีอาจจะมีอะไรในนี้ที่เขาอยากให้เราค้นพบ"
ลมหนาวจากเทือกเขาพัดมากระทบใบหน้า นำพากลิ่นอายแปลกประหลาดมาด้วย กลิ่นคล้ายโลหะผสมกับความชื้นที่ไม่น่าไว้ใจ
หลินเว่ยหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ และนั่งลงในท่า ัหลับใหล ที่เขาได้ฝึกฝนมา ตัดขาดจากเสียงรอบข้าง มุ่งความสนใจไปที่ลมหายใจและความรู้สึกภายใน เขานึกถึงคำสอนของหลิวซินที่ว่า: "
ลมหายใจคือสะพาน เชื่อมโยงโลกภายนอกและภายใน
จิตสงบดังน้ำนิ่ง แม้พายุโหมกระหน่ำ ไม่หวั่นไหว
ัหลับใหล ในกายาที่ไร้การเคลื่อนไหว
แต่พลังภายในเปล่งประกาย เปลวไฟแห่งชีวิตลุกโชน"
หลินเว่ยรู้สึกถึงเส้นทางการไหลของพลัง ชี่ ในร่างกาย จากปลายนิ้วเท้าโอบล้อมขึ้นมาตามขา ผ่านต้นขา ไขสันหลัง คอ จนถึงศีรษะ ก่อนจะไหลกลับลงมาสู่ดานเถียน—จุดศูนย์กลางพลังที่อยู่ต่ำกว่าสะดือสามนิ้ว
แต่ละวัฏจักรแห่งลมหายใจเข้าและออก ทำให้เขารู้สึกถึงพลังงานที่เติบโตมากขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้น และแม้ดวงตาจะปิดสนิท ทว่าการรับรู้กลับแผ่ขยายออกไปไกลกว่าที่เคย เขาััได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านจากใจกลางของเขตต้องห้าม แม้จะอยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร
"คุณกำลังทำอะไร?" เมิ่งหลิงถามด้วยความสงสัย
หลิวซินยิ้ม ยกมือห้ามไม่ให้รบกวน "เขากำลังใช้ ัหลับใหล เพื่อรับรู้ถึงความผิดปกติในพื้นที่... ปล่อยให้เขาทำต่อไป"
ในความเงียบและความสงบของจิตใจ หลินเว่ยรู้สึกถึงกระแสพลังงานแปลกประหลาดในอากาศ มันไม่ใช่ลม ไม่ใช่มลพิษธรรมดา แต่เป็พลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากใจกลางของเขตต้องห้าม เหมือนคลื่นพลังงานที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ความหนักแน่นปรากฏในแววตา "มีบางอย่างอยู่ในนั้น... บางอย่างที่แผ่พลังงานออกมา ไม่ใช่รังสีธรรมดา แต่เป็พลังงานในรูปแบบที่ฉันไม่เคยััมาก่อน"
หลิวซินพยักหน้า "ฉันรู้สึกได้เหมือนกัน นี่คือเหตุผลที่ฉันสอนท่า ัสยายปีก ให้คุณเมื่อคืน คุณต้องใช้มันเพื่อป้องกันตัวเองจากพลังงานนี้"
หลินเว่ยลุกขึ้นยืน ความกังวลยังคงอยู่ แต่ความมุ่งมั่นชัดเจนในแววตา "ถ้าทางเดียวที่จะไปถึงที่ปลอดภัยคือผ่านเขตนี้ เราก็ไม่มีทางเลือก"
เมิ่งหลิงมองขึ้นไปยังเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหมอกบางๆ "แล้ว...ฉันล่ะ? ฉันไม่มีพลังปกป้องตัวเองเหมือนพวกคุณ"
หลิวซินหยิบเชือกออกมาจากกระเป๋า "เราต้องผูกตัวติดกันไว้ ฉันจะอยู่ข้างหน้า หลินเว่ยอยู่ท้ายแถว เมิ่งหลิงอยู่ตรงกลาง พลังของเราจะช่วยปกป้องคุณ"
ทั้งสามผูกเชือกรอบเอวเข้าด้วยกัน เตรียมเสบียงและน้ำให้พร้อม แล้วเริ่มก้าวเข้าสู่เขตต้องห้าม
เส้นทางเริ่มชันขึ้นทันทีที่พวกเขาผ่านแนวป้ายเตือน ต้นไม้ที่นี่มีลักษณะผิดปกติ บางต้นแคระแกร็น บางต้นสูงเกินธรรมชาติ ใบไม้มีสีซีดจางหรือมีจุดประหลาดแปลกตา พื้นดินเองก็เปลี่ยนไป บางแห่งเป็สีเทาซีดเหมือนเถ้าถ่าน บางแห่งมีรอยแตกระแหงที่มีของเหลวสีม่วงอมเขียวซึมออกมา
กลิ่นโลหะและกำมะถันลอยอวลในอากาศผสมกับไอหมอกบางเบาสีเทา แมลงและสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่พวกเขาพบล้วนมีลักษณะผิดปกติ—แมงมุมหกขา นกที่มีปีกโปร่งแสง กระรอกที่มีตาสามดวง ซากสัตว์ตายที่พวกเขาเดินผ่านมีร่องรอยการกลายพันธุ์อย่างรุนแรง
บางตัวมีอวัยวะเกินมา บางตัวมีิัแข็งเหมือนเกราะ เสียงของที่นี่ก็แปลกประหลาดไม่น้อย เหมือนมีเสียงกระซิบแว่วมาตามสายลม เสียงโหยหวนห่างไกลที่ไม่อาจระบุที่มา บางครั้งมีเสียงะเิเบาๆ จากพื้นดินเมื่อก๊าซใต้ดินพุ่งทะลุผิวโลกขึ้นมา ท้องฟ้าเองมีสีที่ไม่ปกติ—สีเทาอมม่วงกับเขียวเข้ม เหมือนม่านรุ้งพิษที่ทาบทาทั่วท้องฟ้า ไม่มีนกบิน ไม่มีเสียงจักจั่น มีเพียงความเงียบงันที่กดทับจิตใจอย่างหนักอึ้ง
"อากาศเปลี่ยนไป" เมิ่งหลิงสังเกต "มันอึดอัดและหนักกว่าปกติ"
หลินเว่ยรู้สึกเช่นกัน เหมือนมีแรงกดทับไม่มองเห็นบนบ่าของเขา หายใจเข้าไปแต่ละครั้งก็รู้สึกถึงความหนักและเข้มข้นในอากาศ
หลิวซินเริ่มทำท่า ัสยายปีก ขณะเดิน แขนของเธอแผ่ออกเล็กน้อยเป็จังหวะ สอดคล้องกับการหายใจ กระแสพลังงาน ชี่ แผ่ออกมาจากร่างกายของเธอเป็โล่บางๆ หลินเว่ยทำตามเธอ สร้างแรงต้านกับพลังงานแปลกปลอมที่แผ่เข้ามา
พวกเขาเดินลัดเลาะตามเส้นทางเก่า ผ่านซากอาคารที่ถูกทิ้งร้างมานาน บางแห่งเห็นเครื่องจักรสนิมเขรอะที่ไม่อาจบอกได้ว่าเคยใช้ทำอะไร
"นี่มันอะไรกัน" เมิ่งหลิงมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย "ดูเหมือนเคยเป็ศูนย์วิจัย หรือโรงงานบางอย่าง"
หลินเว่ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์บนผนังที่พังครึ่งหนึ่ง เป็รูปวงกลมที่มีสามเหลี่ยมอยู่ตรงกลาง คล้ายกับโลโก้ขององค์กรบางแห่ง
"หลิวซิน ดูนั่น" เขาชี้ไปที่สัญลักษณ์ "เคยเห็นมาก่อนไหม?"
หลิวซินขมวดคิ้ว "ไม่... แต่มันคล้ายกับสัญลักษณ์เก่าของ..." เธอชะงักกลางคัน "...ไม่อาจเป็ไปได้"
"อะไร?" หลินเว่ยและเมิ่งหลิงถามพร้อมกัน
"มันคล้ายสัญลักษณ์ของจักรพรรดิัดำ กลุ่มลับที่เชื่อว่าสูญสิ้นไปนานแล้ว" หลิวซินตอบเสียงเบา "พวกเขาเคยเป็องค์กรที่รวบรวมนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์โบราณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังชี่และความลี้ลับของจักรวาล"
"และพวกเขามาทำอะไรที่นี่?" เมิ่งหลิงถาม
"ฉันไม่รู้" หลิวซินส่ายหน้า "แต่ถ้าที่นี่เคยเป็ฐานของพวกเขา มันคงมีความลับมากมายซ่อนอยู่"
พวกเขาเดินทางต่อไป ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดลง เมฆสีเทาเข้มก่อตัวเหนือยอดเขา อากาศหนาวเย็นลงอย่างรวดเร็ว
"เราควรหาที่พักก่อนที่ฝนจะตก" หลินเว่ยเสนอ มองไปรอบๆ
พวกเขาพบกับอาคารหินที่ยังคงสภาพดีพอสมควร มีหลังคาที่ไม่รั่ว และผนังที่แข็งแรงพอจะกันลมได้ ทั้งสามเข้าไปข้างในและตั้งค่ายพักแรม จุดไฟเล็กๆ จากเศษไม้ที่หาได้
ขณะที่หลิวซินกำลังจัดเตรียมอาหารจากเสบียงที่เหลือน้อยลงทุกที เมิ่งหลิงก็เข้าไปสำรวจส่วนในของอาคาร ใช้ไฟฉายส่องไปตามทางเดินแคบๆ
หลินเว่ยนั่งลงข้างกองไฟ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้กล้ามเนื้อของเขาปวดระบม แต่เขาก็เรียกพลัง ชี่ ขึ้นมาปลอบประโลมความเ็ป เืไหลเวียนดีขึ้น ความปวดเริ่มบรรเทา
ทันใดนั้น เสียงร้องใของเมิ่งหลิงก็ดังมาจากส่วนในของอาคาร
"เมิ่งหลิง!" ทั้งหลินเว่ยและหลิวซินพุ่งตัวไปตามทิศทางของเสียงร้องทันที
พวกเขาวิ่งตามทางเดินมืดไปจนถึงห้องกว้างด้านใน ที่นั่น เมิ่งหลิงยืนตัวแข็งอยู่ แสงไฟฉายในมือของเธอส่องไปที่ผนังซึ่งเต็มไปด้วยภาพวาดและตัวอักษรโบราณจีน
"ดูนี่สิ..." เธอพูดเสียงสั่น
บนผนังคือประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ด้วยภาพวาด เล่าเื่ราวของสิ่งมีชีวิตที่มาจากฟากฟ้า ทำากับมนุษย์โบราณ ภาพสุดท้ายเป็รูปวงกลมขนาดใหญ่ที่ดูดกลืนทั้งมนุษย์และผู้มาเยือนเข้าไป
"พวกเขาบันทึกการมาของสิ่งมีชีวิตนอกโลก?" หลินเว่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ
หลิวซินขยับเข้าไปใกล้ผนัง อ่านตัวอักษรโบราณที่เขียนไว้ข้างภาพ "ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตนอกโลก แต่เป็ผู้มาจากอีกมิติหนึ่ง" เธออธิบาย "จักรพรรดิัดำเชื่อว่ามีหลายมิติซ้อนทับกันอยู่ และเขตนี้คือจุดที่ม่านระหว่างมิติบางเบาที่สุด"
"นั่นเป็ไปได้หรือ?" เมิ่งหลิงถาม ใบหน้าซีดขาว
"ฉันไม่—" คำพูดของหลิวซินถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำรามต่ำๆ ที่ดังมาจากมุมมืดของห้อง
ทั้งสามค่อยๆ หันไปมอง เมิ่งหลิงสั่นมือจนแสงไฟฉายกระเพื่อม แต่ก็เพียงพอที่จะเผยให้เห็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่ซุกตัวอยู่ในเงามืด
มันมีร่างคล้ายมนุษย์ แต่ิัเป็เกล็ดสีเขียวอมเทา ใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูป ดวงตาสีแดงเรืองแสงในความมืด
"อย่าขยับ" หลิวซินกระซิบ "มันเป็ผู้ติดเชื้อที่กลายพันธุ์มากกว่าปกติ"
สิ่งมีชีวิตนั้นค่อยๆ คลานออกมาจากเงามืด เสียงข้อต่อแตกดังกร๊อบแกร๊บ ิัของมันยืดหดได้อย่างผิดธรรมชาติ เล็บยาวแหลมคมกรีดไปบนพื้นหิน
"มันคงมาจากคนที่ติดเชื้อและหลบเข้ามาซ่อนตัวในนี้" เมิ่งหลิงคาดเดา เสียงสั่น "แต่ทำไมถึงกลายพันธุ์รุนแรงขนาดนี้?"
"ไม่แน่ว่าอาจเป็เพราะพลังงานแปลกปลอมในพื้นที่นี้" หลินเว่ยตอบ พลางเตรียมพร้อมรับมือ
สิ่งนั้นตวัดหัวไปมาราวกับดมกลิ่นอะไรบางอย่าง ก่อนจะสบตากับหลินเว่ยโดยตรง เสียงคำรามดังขึ้นในลำคอ ก่อนที่มันจะกระโจนเข้าใส่พวกเขาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
หลินเว่ยผลักเมิ่งหลิงออกห่างจากแนวโจมตี ขณะที่หลิวซินะโไปอีกทาง สัตว์ประหลาดพุ่งเข้ามาในจุดที่พวกเขายืนอยู่เมื่อครู่ก่อน
"ใช้ ัทะยานน้ำ!" หลิวซินะโพลางลุกขึ้นเตรียมรับมือ
หลินเว่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยให้พลัง ชี่ ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย แขนขาผ่อนคลายแต่พร้อมเคลื่อนไหว สายตาจับจ้องสิ่งมีชีวิตตรงหน้า
สัตว์ประหลาดหันมาทางหลินเว่ย เห็นได้ชัดว่ามันรับรู้ถึงพลังพิเศษในตัวเขา มันแยกเขี้ยวคมกริบออก น้ำลายข้นหยดลงบนพื้น ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง
แทนที่จะหลบหรือป้องกัน หลินเว่ยเลือกที่จะใช้ ัทะยานน้ำ ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลราวกับสายน้ำ เขาบิดตัวหลบการโจมตีอย่างหวุดหวิด ปล่อยให้สัตว์ประหลาดพุ่งผ่านไป ก่อนจะใช้แรงเหวี่ยงของฝ่ายตรงข้ามซัดมันเข้ากับผนัง
โครม!
สัตว์ประหลาดกระแทกผนังหินอย่างรุนแรง แต่มันลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีทีท่าาเ็ กลับโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม
"มันทนทานมาก!" หลินเว่ยร้อง พยายามหาจุดอ่อน
หลิวซินะโเข้ามาร่วมต่อสู้ เธอใช้ ัสยายปีก ในรูปแบบโจมตี แผ่กระจายพลัง ชี่ ออกมาเป็คลื่นพลังงานที่มองไม่เห็น ปะทะกับสัตว์ประหลาด ทำให้มันเซถอยไปหลายก้าว
สัตว์ประหลาดคำรามด้วยความเ็ป แต่ก็ไม่ยอมล้มเลิก มันพุ่งเข้าใส่ทั้งสองคนสลับกันไปมา ทำให้พวกเขาต้องป้องกันตัวอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไป เมิ่งหลิงค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังมุมห้อง เธอสังเกตเห็นประตูลับที่ซ่อนอยู่ในผนัง "หลินเว่ย! หลิวซิน! ทางนี้!" เธอร้องเรียก
หลิวซินมองไปทางเมิ่งหลิงเพียงชั่วครู่ แต่ความไม่ระวังนั้นทำให้เธอถูกสัตว์ประหลาดตวัดเล็บใส่ เสื้อผ้าฉีกขาด เืไหลซิบจากแผลที่แขน
"หลิวซิน!" หลินเว่ยร้องด้วยความใ พลัง ชี่ พลันเพิ่มความเข้มข้นขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับถูกจุดชนวนด้วยความโกรธและความกังวล
เขายืนหยัดระหว่างสัตว์ประหลาดกับหลิวซินที่าเ็ ใช้ ัทะยานน้ำ ในรูปแบบที่เขาไม่เคยทำมาก่อน การเคลื่อนไหวของเขาเร็วขึ้น แม่นยำขึ้น พลัง ชี่ แผ่รัศมีออกมารอบตัวเป็วงกว้าง
สัตว์ประหลาดชะงัก ดวงตาสีแดงฉายแววลังเลเป็ครั้งแรก
หลินเว่ยไม่รอช้า เขาพุ่งเข้าใส่สัตว์ประหลาด ใช้การเคลื่อนไหวแบบคลื่นน้ำ หลบการโจมตีของมัน แล้วกระแทกฝ่ามือใส่อกของสัตว์ประหลาดอย่างรุนแรง
ตูม!
พลัง ชี่ ะเิออกจากฝ่ามือของหลินเว่ย ส่งสัตว์ประหลาดกระเด็นไปกระแทกผนังอีกด้านของห้อง ครั้งนี้มันล้มลงและไม่ลุกขึ้นมาอีก ร่างกายของมันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะนิ่งสนิท
หลินเว่ยหอบหายใจ มองมือของตัวเองด้วยความประหลาดใจ "ฉัน...ทำแบบนั้นได้ยังไง?"
"นั่นคือพลังโจมตีของ ัทะยานน้ำ" หลิวซินอธิบาย ขณะที่กดแผลที่แขนเพื่อห้ามเื "ปกติต้องใช้เวลาฝึกนานกว่านี้มาก แต่อารมณ์ที่รุนแรงของคุณกระตุ้นพลังแฝงออกมา"
เมิ่งหลิงรีบเข้ามาดูแผลของหลิวซิน "ไม่ลึกมาก แต่เราต้องทำความสะอาดและพันไว้ให้ดี เืของสิ่งนั้นอาจมีเชื้อโรค"
หลังจากพันแผลให้หลิวซินเรียบร้อย พวกเขาจึงหันไปสนใจประตูลับที่เมิ่งหลิงค้นพบ เป็ประตูหินที่ซ่อนอยู่ในผนัง มีสัญลักษณ์ัแกะสลักอยู่
"พวกเขาพยายามซ่อนบางสิ่งไว้ข้างใน" หลินเว่ยสันนิษฐาน
หลิวซินพยายามผลักประตูแต่มันไม่ขยับเขยื้อน "คงต้องมีกลไกเปิดสักอย่าง"
หลินเว่ยตรวจสอบรอบๆ ประตู สังเกตเห็นรอยแกะสลักที่ดูเหมือนตัวอักษรจีนโบราณเรียงตัวเป็วงกลม
"ดูเหมือนจะเป็ปริศนา" หลินเว่ยเอ่ย เขาลูบตัวอักษรโบราณด้วยปลายนิ้ว "แต่ละวงคือคาถาหรือประโยคที่ต้องอ่านเรียงกันอย่างถูกต้อง"
หลิวซินเข้ามาดูใกล้ๆ แม้แขนจะาเ็ แต่ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความสนใจ "ใช่ นี่เป็วงล้อปริศนาโบราณ ต้องหมุนแต่ละวงให้ตัวอักษรเรียงกันเป็คาถาที่ถูกต้อง"
หลินเว่ยหมุนวงแหวนชั้นนอกสุด เสียงคลิกดังขึ้นเบาๆ "เรารู้ได้ยังไงว่าคาถาที่ถูกต้องคืออะไร?"
เมิ่งหลิงกวาดไฟฉายไปตามผนังโดยรอบ และหยุดที่ภาพวาดแผนผังแปลกๆ "ดูนี่สิ" เธอชี้ไปที่ภาพวาดของัที่พันตัวเป็วงกลมห้าชั้น มีตัวอักษรกำกับแต่ละชั้น "มันอาจเป็คำใบ้"
หลิวซินเข้าไปดูใกล้ๆ และพยักหน้ารับ "ใช่แล้ว 'ัห้าธาตุไล่ตามกัน น้ำไหลสู่ไม้ ไม้เผาเป็ไฟ ไฟหลอมเป็ดิน ดินให้กำเนิดทอง ทองรวมกับน้ำ' นี่คือลำดับของวัฏจักรธาตุทั้งห้าตามความเชื่อโบราณ"
หลินเว่ยเริ่มหมุนแต่ละวงแหวนตามลำดับที่หลิวซินบอก จนกระทั่งตัวอักษรทั้งหมดเรียงตัวกันอย่างถูกต้อง
ครืด!
เสียงหินเสียดสีดังขึ้น ประตูลับค่อยๆ เลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นบันไดหินเวียนลงไปสู่ความมืด
"มันเปิดแล้ว!" เมิ่งหลิงร้องอย่างตื่นเต้น
หลินเว่ยก้าวเข้าไปที่ช่องประตู ความเย็นะเืและกลิ่นอับชื้นโชยมาจากด้านใน "ไม่รู้ว่าข้างล่างนั้นคืออะไร แต่อาจเป็เส้นทางลัดข้ามเขาที่หวังเจียนบอกไว้ หรืออาจมีความลับบางอย่างที่เขาอยากให้เราพบ"
"ทางเลือกของเราไม่มากนัก" หลิวซินเตือน "ย้อนกลับไปก็คงเจอสิ่งมีชีวิตแบบนั้นอีก หรือแย่กว่า อาจเป็ทหารของเทียนซื่อ"
เมิ่งหลิงมองไปในความมืดด้านล่างด้วยสีหน้าลังเล "แต่ถ้าลงไปแล้วประตูปิดล็อกล่ะ? เราอาจติดอยู่ข้างใน"
"เราต้องเสี่ยง" หลินเว่ยตัดสินใจ "อย่างน้อยข้างในก็อาจปลอดภัยกว่าข้างนอก"
ทั้งสามตกลงใจและเริ่มเดินลงบันไดหิน ใช้ไฟฉายนำทาง บันไดหินเวียนลงไปลึกกว่าที่คาด หลังจากเดินลงไปนานหลายนาที พวกเขาก็มาถึงห้องโถงใต้ดินขนาดใหญ่
"เหลือเชื่อ..." เมิ่งหลิงอุทานเมื่อแสงไฟฉายส่องไปทั่วห้อง
ห้องโถงนั้นเต็มไปด้วยจารึกโบราณและภาพวาด มีแท่นหินตั้งอยู่ตรงกลาง บนแท่นมีม้วนกระดาษเก่าแก่วางอยู่ รอบห้องมีถ้วยหินบรรจุน้ำมันบางอย่าง
หลิวซินเข้าไปใกล้ถ้วยหินใบหนึ่งและใช้ยาสูบที่พกมาจุดไฟ น้ำมันในถ้วยลุกติดไฟทันที แสงสว่างเริ่มแผ่ขยายไปทั่วห้องเมื่อเธอจุดถ้วยหินทีละใบ
ในแสงไฟสลัว พวกเขาเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เล่าเื่ราวการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตประหลาด มีภาพนักรบโบราณที่ใช้พลังพิเศษคล้ายกับวิชาัทะยานฟ้าต่อสู้กับฝูงสิ่งมีชีวิตที่มาจากประตูมิติในท้องฟ้า
"นี่คือประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครรู้" หลิวซินพูดเสียงเบา "การรุกรานครั้งแรกของสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่น และการต่อสู้ของมนุษย์ผู้ใช้พลังชี่"
หลินเว่ยเดินไปที่แท่นหินตรงกลางห้อง ม้วนกระดาษเก่าแก่ดึงดูดความสนใจของเขาอย่างประหลาด เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างระหว่างตัวเขาและม้วนกระดาษนั้น
"หลินเว่ย ระวัง..." หลิวซินเตือน "มันอาจมีกับดัก"
แต่หลินเว่ยรู้สึกว่าเขาต้องดูม้วนกระดาษนั้น ราวกับมันเรียกหาเขาอยู่ เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปและแตะที่ม้วนกระดาษ
ทันทีที่นิ้วของเขาััม้วนกระดาษ พลัง ชี่ ในตัวเขาพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง หลินเว่ยรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านร่างกาย ภาพนิมิตมากมายพรั่งพรูเข้าสู่จิตใจของเขา
เขาเห็นสนามรบโบราณ นักรบชาวจีนกำลังต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประหลาด เขาเห็นผู้ใช้พลัง ชี่ พุ่งทะยานขึ้นฟ้าราวกับั เขาเห็นตำราโบราณที่บันทึกเทคนิคการต่อสู้ และเขาเห็น...ใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ไม่อาจจำได้ว่าเป็ใคร
นิมิตเ่าั้ทยอยผุดขึ้นราวกับภาพยนตร์ที่ฉายซ้อนทับกัน หลินเว่ยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดำดิ่งผ่านกาลเวลา เห็นแสงสว่างจ้าบนท้องฟ้ายามกลางคืน มีวัตถุขนาดใหญ่ดั่งดวงดาวพุ่งลงมายังพื้นโลก แรงะเิส่งคลื่นพลังงานกระจายไปทั่ว ต่อมาเขาเห็นชุมชนโบราณสร้างศาลเ้ารอบหลุมขนาดใหญ่ เห็นนักบวชที่ใช้พลังจิตในการสื่อสารกับสิ่งที่อยู่ในหลุมนั้น
เขาเห็นการเกิดขึ้นของสำนักลับและตำรับยุทธ์ เห็นการรวบรวมความรู้ทั่วทั้งแผ่นดินจีนเพื่อสร้างวิชาัทะยานฟ้า แล้วเขาก็เห็นภาพาที่น่าสะพรึงกลัว มนุษย์ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูป เห็นเืและความตาย เห็นนักรบที่ใช้พลังชี่เผชิญหน้ากับศัตรูที่มีพลังเหนือธรรมชาติ เขาเห็นการอพยพของผู้คน การสร้างเขตต้องห้าม การปิดผนึกประตูมิติ ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือชายชราในชุดขาว ที่คุ้นเคยแต่แปลกหน้า
ชายคนนั้นมองตรงมาที่เขา ริมฝีปากขยับราวกับกำลังพูดอะไรบางอย่าง แต่ไร้เสียง ก่อนที่มือเหี่ยวย่นจะยื่นมาแตะที่หน้าผากของเขา ความรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยแผ่ซ่านจากจุดัันั้น พร้อมคำกระซิบที่ดังก้องในจิตใจ: "ลูกของข้า กลับมาแล้วหรือ?"
"หลินเว่ย!" เสียงของหลิวซินดังแว่วมาราวกับอยู่ไกลแสนไกล "หลินเว่ย! ตื่นขึ้นมา!"
เขาค่อยๆ ฟื้นคืนสติ พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้น หลิวซินและเมิ่งหลิงคุกเข่าข้างๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
"ฉันเป็อะไรไป?" เขาถามพลางลุกขึ้นนั่ง
"คุณแตะม้วนกระดาษแล้วล้มลงไป" เมิ่งหลิงตอบ "เหมือนโดนไฟช็อต แล้วก็หมดสติไปประมาณห้านาที"
หลินเว่ยมองไปที่ม้วนกระดาษ ซึ่งตอนนี้เปิดออกบนแท่นหิน "ฉันเห็นภาพบางอย่าง...เหมือนความทรงจำโบราณ"
หลิวซินช่วยเขาลุกขึ้นยืน "คุณพูดอะไรบางอย่างระหว่างหมดสติด้วย เหมือนภาษาโบราณที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน"
"ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น" หลินเว่ยส่ายหน้า "แต่ฉันรู้สึกว่า...ฉันเข้าใจวิชาัทะยานฟ้ามากขึ้น ราวกับมีความรู้บางอย่างถูกปลดล็อกในตัวฉัน"
ทั้งสามเข้าไปดูม้วนกระดาษที่เปิดอยู่บนแท่น มันบันทึกท่าไม้ตายของวิชาัทะยานฟ้าที่สูญหายไปนาน มีภาพวาดแสดงท่าทางและเส้นทางการไหลเวียนของพลัง ชี่
"นี่คือ...ส่วนที่หายไปของตำราที่ฉันสอนคุณ" หลิวซินพูดด้วยความตื่นเต้น "มันสมบูรณ์แล้ว"
"หวังเจียนรู้หรือเปล่าว่าสิ่งนี้อยู่ที่นี่?" เมิ่งหลิงถาม
"ฉันคิดว่าเขารู้" หลินเว่ยตอบ "นั่นคงเป็เหตุผลที่เขาส่งเรามาทางนี้ แต่ฉันยังไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องกับฉันยังไง"
หลิวซินศึกษาตำราอย่างละเอียด "ตามจารึกระบุว่า วิชาัทะยานฟ้าถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องมนุษยชาติจากการรุกรานของสิ่งมีชีวิตจากมิติอื่น มันไม่ใช่แค่วิชายุทธ์ แต่เป็การยกระดับจิติญญามนุษย์ให้สามารถต่อกรกับพลังเหนือธรรมชาติได้"
เมิ่งหลิงมองไปรอบห้อง สังเกตเห็นทางเดินอีกด้านหนึ่ง "ดูเหมือนจะมีทางออกทางนั้น"
พวกเขารีบม้วนตำราเก็บไว้อย่างดีและเดินตามทางเดิน หลังจากเดินไปไม่นาน ก็มาถึงบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่พื้นผิว
"ฉันคิดว่าเราอยู่อีกฝั่งของูเาแล้ว" หลิวซินคาดเดา "อุโมงค์นี้พาเราลอดใตู้เา"
พวกเขาขึ้นบันไดและพบประตูหินอีกบานที่ปิดสนิท แต่ครั้งนี้มีกลไกเปิดง่ายๆ จากด้านใน หลินเว่ยผลักประตูเปิดออก แสงสว่างของดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามา พวกเขาเดินออกมาพบว่าตัวเองอยู่อีกด้านของเขตต้องห้าม
ตรงหน้าพวกเขาคือหุบเขาเขียวขจีที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา ในระยะไกลเห็นแนวป่าทึบและอาจมีหมู่บ้านเล็กๆ ซ่อนอยู่
"เราทำได้แล้ว" หลินเว่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก "เราข้ามเขตต้องห้ามมาได้"
"และได้พบสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าที่คิด" หลิวซินเสริม พลางแตะกระเป๋าที่เก็บตำรา "ความลับของวิชาัทะยานฟ้าที่สมบูรณ์"
เมิ่งหลิงมองกลับไปยังทางที่พวกเขาเพิ่งออกมา "แต่ความรู้มักมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ฉันสงสัยว่าการพบตำรานี้จะนำพาเราไปสู่อะไร"
หลินเว่ยมองไปยังหุบเขาเบื้องหน้า ความมุ่งมั่นปรากฏชัดในแววตา "ไม่ว่าจะเป็อะไร เราต้องพร้อมรับมือ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าองค์กรเทียนซื่อไม่ใช่ภัยคุกคามเพียงอย่างเดียว มีบางสิ่งบางอย่างที่อันตรายกว่านั้นซ่อนอยู่ และเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม"
แสงแดดอ่อนๆ ของยามเช้าทอประกายบนใบหญ้าที่ชุ่มด้วยน้ำค้าง เส้นทางเบื้องหน้ายังอีกยาวไกล แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีความหวังและพลังที่เพิ่มขึ้นในการเดินทางต่อไป
"เราควรพักสักหน่อย" หลิวซินเสนอ "แล้วค่อยเริ่มเดินทางลงจากเขา"
"เห็นด้วย" หลินเว่ยพยักหน้า "แต่ก่อนอื่น เธอสอนฉันเกี่ยวกับท่าต่อไปหน่อยได้ไหม? ฉันอยากรู้ว่าสิ่งที่ฉันเห็นในนิมิตนั้นคืออะไร"
หลิวซินยิ้ม "ได้เลย ถึงเวลาเรียน ัสยายปีก อย่างเต็มรูปแบบแล้ว มันจะช่วยให้คุณตรวจจับอันตรายโดยรอบได้ดียิ่งขึ้น"
ในความสงบของยามเช้า ท่ามกลางความงดงามของขุนเขา หลินเว่ยเริ่มฝึกฝนท่าใหม่ กางแขนและแผ่พลังออกจากร่างกาย เรียนรู้ที่จะรับรู้สิ่งรอบตัวด้วยพลัง ชี่ แสงอาทิตย์เช้าสาดส่องผ่านแนวเมฆบางทอดเป็แนวรัศมีทองลงมา ยามที่หลินเว่ยยืนหลับตาบนลานหญ้าเล็กๆ ริมทางลง หลิวซินยืนตรงข้ามเขา แสงเงาทำให้ใบหน้าของเธอดูสงบและเด็ดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน
"สยายปีกเหมือนัโบยบิน" หลิวซินเอ่ยเสียงนุ่ม ขณะที่เธอสาธิตท่าทาง แขนทั้งสองข้างค่อยๆ ยกขึ้น โค้งออกด้านข้างราวกับปีกที่กางออก "ััอากาศรอบกาย รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในทุกอณู มองเห็นด้วยพลังจากภายใน ไม่ใช่ด้วยดวงตา"
หลินเว่ยทำตาม ปล่อยให้พลังจากภายในไหลเวียนไปตามแขนทั้งสองข้าง ใน่แรกมันรู้สึกหนาวเย็น แต่จากนั้นก็อุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนร้อนวาบ เมื่อเขาค่อยๆ ยกแขนขึ้นและกางออก มันเหมือนมีแผ่นบางๆ ที่มองไม่เห็นแผ่ขยายออกไปจากร่างกายของเขา
"รับรู้..." หลิวซินกระซิบ "รับรู้ทุกเสียง ทุกกลิ่น ทุกการเคลื่อนไหว จากทุกทิศ รวมเป็หนึ่งภายในตัวเ้า"
แล้วจู่ๆ หลินเว่ยก็รู้สึกได้—เสียงลมที่พัดผ่านยอดหญ้า แมลงเล็กๆ ที่บินวนอยู่ห่างออกไปสิบเมตร คลื่นความร้อนที่ลอยขึ้นจากพื้นดินที่ถูกแสงแดดส่อง และแม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจเมิ่งหลิงที่นั่งมองอยู่ไม่ไกล ทุกสิ่งแผ่ซ่านเข้ามาในการรับรู้ของเขาพร้อมกัน ชัดเจนราวกับแผนที่ที่มีชีวิต
เขาลืมตาขึ้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง พลังนี้...มันจะเปลี่ยนทุกสิ่งในตัวเขา
การเดินทางของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้น และความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้ายังอีกมากมาย แต่ด้วยความรู้ใหม่และพลังที่เพิ่มขึ้น พวกเขาก็มีความหวังมากขึ้นที่จะเอาชนะอุปสรรคเ่าั้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้