ชิงหร่านไม่เข้าใจ ค่ายเสินเช่อเป็แหล่งต้นตอของโรคระบาด และการเผาค่ายเสินเช่อจะทำให้เมืองชุ่นเทียนปลอดภัย
ทว่าท่าทีที่เผยออกมาของฮ่องเต้กลับมิใช่ความสบายใจ ในดวงตาคู่นั้นฉายชัดถึงความกังวลใจ ซึ่งมิอาจปกปิดซ่อนเร้น
"เ้าไม่เข้าใจเื่การเมืองในราชสำนักหรอก เ้ามิรู้หรอกว่า สถานการณ์ในท้องพระโรงจะเป็เช่นไร เมื่อค่ายเสินเช่อถูกทำลาย โดยเฉพาะฉู่ชิงที่สิ้นชีพในค่ายเสินเช่อ"
ฮ่องเต้หยวนเต๋อโบกมือไล่ความคิด ทว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้ออกบัญชาให้เผาค่ายเสินเช่อ ฉู่ชิงที่อยู่ในแหล่งต้นตอของโรคระบาดคงมิแคล้วรอดชีวิตมาได้
เขามิมีทางหนีความตายพ้น ส่วนราชวงศ์เป่ยฉี อย่างไรเสียคงต้องพบกับหายนะเช่นนี้อีกอย่างแน่นอน
ฉู่ชิงตายแล้ว เช่นนั้นผู้ใดควรขึ้นมารับตำแหน่งนี้แทนเขา?
แม้เขาจะเป็ฮ่องเต้หยวนเต๋อ ทว่าในหัวยามนี้ยังมิเห็นว่ามีผู้ใดเหมาะสมที่จะเลือกแม้แต่น้อย
“ฝ่าา...” ชิงหร่านเรียกขานเขาอย่างแ่เบา พลางประคองฮ่องเต้หยวนเต๋อเข้าไปในห้องทรงพระอักษร รอจนเขานั่งลงแล้ว นางจึงค่อยยื่นมือออกไปนวดขมับให้เขา
ััที่ประณีตละเอียดอ่อน ทำให้ร่างกายของฮ่องเต้หยวนเต๋อชะงักไปเล็กน้อย ทว่าก็มิได้เอ่ยห้ามปัดไล่แต่อย่างใด มือบอบบางอ่อนนุ่มคู่นั้นนวดคลึงขมับเบาๆ อารมณ์ตึงเครียดค่อยๆ คลายลงไปมาก
ฮ่องเต้หยวนเต๋อหลับตาลง มิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ชิงหร่านคิดว่าฮ่องเต้หยวนเต๋อหลับใหลลงไปแล้ว ทันทีที่มือนางละออกจากขมับของฮ่องเต้ มือใหญ่พลันคว้ากุมข้อมือของนางไว้
“ฝ่าา...” ชิงหร่านขมวดคิ้วเล็กน้อย อุณหภูมิจากฝ่ามือที่แผ่ออกมาบนข้อมือนาง ทำให้นางระมัดระวังตัวขึ้นมาอีกเล็กน้อย “ฝ่าาเพคะ หากพระองค์ทรงเหนื่อย เสด็จบรรทมก่อนเถิดเพคะ บ่าวจะไปบอกให้กงกงจัดการให้เพคะ...”
"ไม่ต้อง คืนนี้เ้าอยู่กับเจิ้นจะดีกว่า" ฮ่องเต้หยวนเต๋อคว้าข้อมือนาง และไม่ยอมปล่อย
อยู่กับเขาหรือ?
ตนเองคอยปรนนิบัติรับใช้ข้างวรกายฮ่องเต้ ั้แ่ไหนแต่ไรมา ยามที่ถึงเวลาที่ฝ่าาควรพักผ่อน นางจะออกไป อยู่ด้วยกัน...ความหมายของพระองค์คือ...
ชิงหร่านปรนนิบัติรับใช้อยู่ในตำหนักฉิ่นของฮ่องเต้ นางรู้ขนบการถวายงานของเหล่าสนมดี ทว่านาง...
"เ้ามิต้องเป็กังวลไป เจิ้นมิหลับนอนกับเ้าหรอก" ฮ่องเต้หยวนเต๋อตรัส ครั้นสังเกตเห็นสีหน้าที่ดูไม่เป็ธรรมชาติของชิงหร่าน
ชิงหร่านลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่ามิรู้เพราะเหตุใด นางกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทว่าเพียงครู่เดียว ชิงหร่านรีบโบกสะบัดไล่ความคิดในหัว รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแย้มสะพรั่งพลางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นบ่าวจะคอยเฝ้าฝ่าาจนพระองค์ทรงบรรทมหลับไปนะเพคะ”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อจ้องมองรอยยิ้มสดใสตรงหน้า รู้สึกจิตใจล่องลอยออกไปเล็กน้อยอย่างแปลกประหลาด เขาเคยพบเจอสตรีอ่อนโยนและไร้เดียงสาเช่นนี้มาก่อน
“อืม” ฮ่องเต้หยวนเต๋อเปล่งเสียงรับ เขาลุกขึ้น ทว่ายังไม่ปล่อยมือของชิงหร่าน ทว่ากลับเลื่อนฝ่ามือใหญ่จากข้อมือของนางมากุมมือนางแทน จูงมือน้อยๆ อ่อนนุ่มของนางเดินออกจากห้องทรงพระอักษร และตรงไปที่ห้องบรรทม...
ณ ตำหนักชีอู๋
ยามที่ฮองเฮาอวี่เหวินเห็นแสงของเปลวเพลิงนอกเมืองชุ่นเทียน แขนขาทั่วทั้งร่างกายนางพลันอ่อนระโหยไร้เรี่ยวแรง หลังจากเดินกลับมาที่ห้อง นางทิ้งตัวลงนั่งบนตั่ง มือกุมขมับ ไม่แม้แต่จะเอ่ยพูดอะไรเป็เวลาเนิ่นนาน
เจินกูกูที่คอยเฝ้ามองอยู่ด้านข้าง ในใจนางเข้าใจถึงความกังวลของฮองเฮาอวี่เหวิน เพลิงไหม้ที่ลุกโชติ่ยามนี้ เกรงว่าท่านแม่ทัพหลวงคงมิอาจรอดออกมาได้!
“วันนี้ส่งจดหมายไปแล้ว จิ้นอ๋องว่าอย่างไรบ้าง?” ฮองเฮาอวี่เหวินตรัสถาม น้ำเสียงนั้นฟังดูโรยแรง
"ทูลฮองเฮาเพคะ จิ้นอ๋องเห็นจดหมายแล้วเพคะ ทว่ามิได้พูดสิ่งใดเพคะ"
“ไม่ได้พูดอะไรเลยหรือ?” ฮองเฮาอวี่เหวินขมวดคิ้ว ยามนี้อี้เอ๋อร์ออกไปนอกเมืองแล้ว แท้ที่จริงสถานการณ์เป็เช่นไรนั้นมิมีผู้ใดรู้เลย
ในเวลานี้ ผู้คนในเมืองชุ่นเทียนต่างเห็นเปลวเพลิงลุกโหมกันทั้งหมดแล้ว เมื่อฉู่ชิงเสียชีวิต เหตุการณ์ในราชสำนักครานี้คงปั่นป่วนวุ่นวายอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกัน ณ จวนจิ้นอ๋อง
จิ้นอ๋องยืนอยู่ในลานเรือน ทอดมองไปยังค่ายเสินเช่อ
จิ้นหวังเฟยก้าวเข้ามาทางข้างหลัง หยิบยกชุดเบาบางชุดหนึ่งคลุมบนตัวเขา เหลือบมองเปลวเพลิงลุกโชนบนท้องฟ้า “มันถูกเผาแล้ว หากเป็เช่นนี้ เมืองชุ่นเทียนน่าจะปลอดภัยแล้ว”
ในยุคนี้ที่เมื่อเอ่ยถึงโรคระบาด การจุดไฟเผาสามารถสร้างความมั่นใจให้กับใครหลายคนได้
ทว่า...
“ปลอดภัยก็น่าจะปลอดภัยแล้ว ทว่าสถานการณ์ในราชสำนักคงแปรเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน” จิ้นอ๋องพึมพำ
"ในจดหมายของฮองเฮาอวี่เหวินเขียนไว้อย่างไรหรือ?" จิ้นหวังเฟยเลิกคิ้ว เอ่ยถามหยั่งเชิง
คิ้วของจิ้นอ๋องค่อยๆ ขมวดมุ่นเล็กน้อย บอกจิ้นหวังเฟยอย่างไม่หลบเลี่ยง “ท่านอ๋องมู่ทรงออกไปนอกเมือง ยามนี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าเขาอยู่ที่ใด ท่านแม่ทัพหลวงถูกขังอยู่ในค่ายเสินเช่อ เพลิงไหม้โหมกระหน่ำเช่นนี้ โชคชะตาคงถูกกำหนดไว้แล้วว่ามิอาจรอดได้ ตระกูลหนานกงต้องจับจ้องตำแหน่งแม่ทัพหลวงอยู่อย่างแน่นอน หากตำแหน่งนี้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลหนานกง เช่นนั้นเื่ราวในท้องพระโรง เกรงว่าเพียงมือข้างเดียวของตระกูลหนานกงคงบดบังคลุมทั่วผืนฟ้าได้แล้ว”
ยามที่เอ่ยถึงตระกูลหนานกง สีหน้าของจิ้นหวังเฟยพลันมืดมนลงทันใด
นางจดจำความแค้นที่ตระกูลหนานกงกระทำกับบุตรีนางได้ตลอดเวลา เหนียนเฉิงนั่น...
จิ้นหวังเฟยสูดหายใจลึก หันมองจิ้นอ๋อง “ท่านอ๋อง ฮองเฮาทรงไม่้าให้ตำแหน่งแม่ทัพหลวงตกไปอยู่ในมือของตระกูลหนานกง แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องช่วยนางนะเพคะ”
“ช่วยหรือ? เื่ราวมันจะง่ายปานนั้นได้อย่างไร!” จิ้นอ๋องถอนหายใจ “ไหนเลยข้าจะไม่รู้ว่า อำนาจของตระกูลหนานกงมิอาจขยับขยายมากไปกว่านี้ได้แล้ว ทว่าความคิดของฝ่าา ผู้ใดจะคาดเดาได้? หากว่าเขามีคนที่โปรดปรานอยู่ แล้วข้าแนะนำคนของตัวเองไปอย่างไม่คิดหน้าหลัง เกรงว่าจะยิ่งทำให้ฝ่าาระแวงขึ้นมาได้ ความสงสัยของฮ่องเต้จะยิ่งเป็ต้นเหตุของหายนะ”
“ทว่าพระองค์จะถึงขั้นทำให้ตระกูลหนานกงได้รับผลประโยชน์เชียวหรือ?” จิ้นหวังเฟยตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย “อิ้งเสวี่ยของพวกเราต้องทนทุกข์เยี่ยงนั้น หากตระกูลหนานกงมีอำนาจมากมายขึ้นอีก ผนวกกับนิสัยของหนานกงเยวี่ยแล้ว เกรงว่าทุกๆ วันของอิ้งเสวี่ยที่อาศัยอยู่ในจวนเหนียน คงมิอาจอยู่ดีมีสุขเป็แน่ ถือเสียว่าพวกเราต้องสู้กับตระกูลหนานกงกันสักตั้ง เพื่ออิ้งเสวี่ยของเรา”
จิ้นอ๋องนิ่งเงียบ มองดูท้องฟ้าที่สว่างไสว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายจึงเอ่ยออกมาว่า “เ้าพูดถูก หากข้าไม่สู้ในท้องพระโรง เช่นนั้นคงได้แต่รอให้ผู้อื่นมารังแก”
เื่ของอิ้งเสวี่ย พวกเขามีประสบการณ์ไม่ดีมามากเกินไปแล้ว
จิ้นอ๋องตัดสินใจ เขาเข้าไปในห้องกับจิ้นหวังเฟย เดินไปยังโต๊ะหนังสือและจรดพู่กันเขียนจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา
ณ ตำหนักฉางเล่อ วังหลวง
นอกห้องพระ เหล่านางกำนัลและขันทีต่างพากันเสวนากันถึงเหตุการณ์ไฟไหม้โหมลุกโชนทั่วฟ้านอกเมืองชุ่นเทียน ในห้องพระ สตรีผู้หนึ่งกำลังคัดลอกคัมภีร์พระไตรปิฎกภายใต้แสงตะเกียงสาดส่อง ครั้นนางได้ยินความเคลื่อนไหวภายนอก พู่กันในมือพลันชะงักค้างไปเล็กน้อย รอยยิ้มบนมุมปากเริ่มยกโค้งเสี้ยวหนึ่ง
จุดไฟเผาแล้วหรือ?
ทั้งค่ายเสินเช่อ ทั้งตัวฉู่ชิงจะกลายเป็เพียงประวัติศาสตร์!
"คืนนี้ หลายคนคงนอนไม่หลับ" ฉางไทเฮาพึมพำ จ้าวเยี่ยนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือด้านข้าง ไม่แม้แต่เอ่ยสิ่งใด
ค่ายเสินเช่อถูกไฟไหม้ เช่นนั้นเหนียนยวี่เล่า?
หัวใจของเขาราวกับถูกคว้าจับแน่นด้วยมือเพียงข้างเดียว แม้แต่ตอนสูดหายใจ ยังแลดูอึดอัด
"เยี่ยนเอ๋อร์ สองวันนี้ เ้าเจรจาต่อรองกับตระกูลหนานกงเสียให้เรียบร้อย วันที่เจ็ดข้าต้องกลับชิงโหยวกว่านที่เขาฉีชานแล้ว วันที่หกก็ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงส่งเดินทาง" ฉางไทเฮาอารมณ์ดีมาก แม้แต่น้ำเสียงของนางยังผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
"กลับเขาฉีชาน ชิงโหยวกว่านหรือ?" จ้าวเยี่ยนกลับมารู้สึกตัวในทันใด เขาจ้องมองสตรีงดงามไม่หวือหวาที่กำลังคัดคัมภีร์พระไตรปิฎก "ตอนนี้ประตูเมืองถูกสั่งปิด เสด็จแม่มิจำเป็ต้องกลับชิงโหยวกว่านที่เขาฉีชานแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
ฉางไทเฮาขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นสบตาจ้าวเยี่ยน สีหน้าของนางดูไม่พอใจเล็กน้อย จ้าวเยี่ยนเป็คนเฉลียวฉลาด มิมีทางที่เขาไม่เข้าใจเจตนาของนาง
เขาใจลอยไม่มีสติได้ถึงขั้นนี้เลยหรือ...
“ยังคิดถึงเหนียนยวี่อยู่อีกหรือ?” ฉางไทเฮากล่าวอย่างเ็า แม้แต่ดวงตายังฉายแววหนาวเหน็บเย็นเยียบขึ้นมาไม่น้อย ครั้นนางเอ่ยออกไป มิคาดคิดเลยว่า นางจะได้เห็นความห่อเหี่ยวฉายออกมาจากดวงตาของจ้าวเยี่ยน “ข้าได้ยินว่าเหนียนยวี่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็ไปได้อย่างถึงที่สุดว่านางเข้าไปในค่ายเสินเช่อแล้ว ค่ายเสินเช่อเกิดไฟไหม้เช่นนี้ เกรงว่าเหนียนยวี่คนผู้นั้นคง...หึ ตายก็ดี เป็เช่นนี้ ไร้หญิงงามไร้ปัญหา เ้าจะได้ตั้งสติและทำในสิ่งที่ควรทำอย่างวางใจเสียที”