คำพูดของนายใหญ่สวี่ที่ว่าพวกนางเป็สิงโตรอตะครุบเหยื่อฟังไม่เข้าหูของหลินฟู่อินเท่าไรนัก
แน่นอนว่านาง้าตอกกลับ แต่นางยังไม่คิดชำระแค้นตอนนี้
คิ้วสวยเลิกขึ้นขณะมองใบหน้าคมของนายใหญ่สวี่ ก่อนพูดพร้อมมอบรอยยิ้มหวาน “นายใหญ่สวี่ ใจท่านย่อมรู้ว่าถั่วทอดของเราวิเศษขนาดไหน ว่ากันตามตรงเลยก็คือ หากถั่วทอดเหล่านี้ส่งตรงไปให้บ้านของมหาเศรษฐีในเมืองใหญ่ สามสิบอีแปะนั้นฟังดูไม่แพงเลยใช่หรือไม่? ท่านไม่คิดเหมือนกันหรือ?”
“ใช่ น้องสาวของข้าพูดถูกต้อง” หลินเฟินพูดเสริม “หากถั่วนี้ขายดีจริง พวกข้าอาจทำราคาได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ”
นายใหญ่สวี่มองหลินฟู่อินด้วยสีหน้าจริงจัง เด็กสาวเหล่านี้ไม่ใช่เล่นๆ เสียแล้ว พวกนางเปรียบเสมือนนักรบในาการค้า เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของพวกนาง?
เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ นายใหญ่สวี่ก็ไม่อาจโต้เถียงอะไรได้เลย
พวกคนมีเงินเ่าั้ย่อมใช้เงินโดยไม่คิดอะไรอยู่แล้ว หากเขาไม่ตกลงยอมซื้อขายกับพวกนางในครั้งนี้ เท่ากับว่าเขายอมปล่อยให้ถั่วทอดแสนอร่อยนี่หลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย
“ข้ารู้ดีว่าสิ่งที่แม่นางพูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง แต่หากท่านลดราคาลงสักอีแปะสองอีแปะได้หรือไม่?” นายใหญ่สวี่ยังคงลังเล “หากท่านนำไปขายให้เศรษฐีใหญ่ในเมือง ท่านอาจได้ราคาสูงกว่านี้ แต่พวกเขาไม่จำเป็ต้องสั่งถั่วจำนวนมากขนาดนั้น แต่ข้าสามารถรับซื้อถั่วได้มากเท่าที่พวกท่าน้า!”
และนั่นคือสิ่งที่หลินฟู่อินกับคนอื่นๆ อยากได้ยิน!
แต่พวกนางไม่ได้วางแผนมาเพื่อเป็ฝ่ายเสนอราคาั้แ่ต้น หลินเฟินกับหลินฟางเองก็ตกลงราคาเสนอไม่ได้ พวกนางจึงส่งต่อให้หลินฟู่อินเป็คนตัดสินใจ
เห็นพี่สาวสองคนหันไปหาผู้เป็น้องเล็ก นายใหญ่สวี่รู้ทันทีว่าหลินฟู่อินเป็ผู้รับผิดชอบทุกอย่าง เขาจึงหันไปมองเด็กสาวเพื่อรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
หลินฟู่อินยิ้ม “ใช่แล้ว พวกเราสามพี่น้องต่างรักในการทำอาหาร ถั่วทอดคืออย่างแรกที่เราทำ หลังจากนี้ยังมีของว่างอีกมากมายรอเราอยู่ หากที่นี่ให้ราคาดี แน่นอนว่าเรายินดีส่งของให้ได้เรื่อยๆ ในอนาคต”
กล่าวอีกนัยก็คือหากท่านให้ราคาตามที่ข้าเรียกได้ ข้าจะส่งขนมให้ตลอดไป หากท่านไม่ให้ราคาตามที่ข้าเรียก ข้าก็ไม่ง้อเช่นกัน
แน่นอนว่านายใหญ่สวี่เข้าใจในสิ่งที่หลินฟู่อิน้าจะสื่อ สีหน้าของเขาหมองลงเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าเขากังวลเื่เงิน แต่เป็เพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่หลินฟู่อินพูดนั้นคือการกดดันเขาโดยตรง
หลินฟู่อินสังเกตจากสีหน้าว่าอีกฝ่ายกำลังใช้สมองคิดอย่างหนัก นางจึงพูดเสริมอีกเล็กน้อย “ความจริงแล้วครอบครัวของข้าจะเดินทางไปชิงเหลียนเมื่อฤดูใบไม้ผลิหน้ามาเยือน หากมีคนรู้ว่าขนมที่เราทำนี้มาจากชิงเหลียน หอพระจันทร์ก็อาจทำราคาได้ดียิ่งขึ้น”
หลังจากได้ยินความจริงเพียงครึ่งเดียวจากหลินฟู่อิน นายใหญ่สวี่ก็รู้สึกตะลึงขึ้นมาทันที ไม่แปลกใจที่ครอบครัวนี้จะย้ายไปอาศัยอยู่ที่ชิงเหลียน อย่างที่รู้กันดีว่าเขตนั้นมีผู้อยู่อาศัยชุกชุมมากกว่าในเมืองเล็ก ราคาค้าขายที่นั้นย่อมดีขึ้นหลายเท่าตัว
“เอาละ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรับซื้อถั่วทอดพวกนี้เอาไว้เอง ส่วนราคาข้าจะให้สามสิบอีแปะตามที่พวกท่านว่า!” ในที่สุดนายใหญ่สวี่ก็ตัดสินใจได้
สิ่งที่เขาคิดก็คือหากพวกนางย้ายไปอยู่ที่ชิงเหลียนคงหาเงินกันได้ง่ายกว่านี้มาก ถ้าเขามัวแต่งกเงินไม่กี่อีแปะตอนนี้ เขาอาจลำบากเวลาส่งคนไปซื้อขนมของพวกนางในภายภาคหน้า เผลอๆ พวกนางอาจไม่ขายให้เขาแล้วเสียด้วยซ้ำ
ยอมผ่อนแล้วสบายตอนนี้คงเป็การดีกว่า
โอกาสชนะของเขาแทบไม่มีเลยก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าเมล็ดขนมคั่วทั่วไปต่างก็แย่งชิงกันเพื่อมาเสนอขายสินค้าให้กับเขา เขาเป็ผู้ถือไพ่เหนือกว่าที่สามารถเลือกได้ว่าจะซื้อจากใคร รวมถึงจะซื้อมาเท่าไรก็ได้
เด็กสาวกับถั่วทอดทรงเครื่องเหล่านี้คือใครกัน?
เห็นอีกฝ่ายยอมตกลง หลินฟู่อินจึงพูดขึ้นมาว่า “เชิญนายใหญ่สวี่นำถั่วทอดเหล่านี้ไปชั่งก่อนเถิด”
ชายหนุ่มเรียกเสี่ยวเอ้อร์มารับหน้าที่ต่อ น้ำหนักของถั่วทอดทั้งหมดรวมแล้วได้สองร้อยเก้าสิบสองจิน
หลินฟู่อินลดให้สองจิน เท่ากับว่านางขอคิดราคาถั่วทั้งหมดด้วยน้ำหนักรวมสองร้อยเก้าสิบจิน
นายใหญ่สวี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจที่ได้เห็นน้ำใจของอีกฝ่าย
“ทั้งหมดแปดสิบเจ็ดตำลึงเงิน ท่านรอข้าประเดี๋ยว ข้าจะไปนำเงินมาให้” กล่าวจบเงาของชายหุ่นกำยำก็หายไป ทันใดนั้นหลินฟางหันมากระซิบข้างหูหลินฟู่อิน “เราจะได้เงินอีกแล้วฟู่อิน!”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม ตราบใดที่ขยันหาโอกาสค้าขาย เงินก้อนใหญ่ย่อมไม่หนีไปไหนไกล แต่ก็ใช่ว่าโอกาสจะหามาได้ง่ายดาย
กล่าวคือหากนางไม่ตกลงตามหลี่อี้มาเที่ยวเล่นที่หอพระจันทร์ก่อนหน้านี้ นางก็คงไม่คิดทำถั่วทอดขายเช่นกัน
หากคิดให้ถี่ถ้วน นางไม่สามารถขายถั่วราคาสูงให้กับร้านค้าทั่วไป และต่อให้ไปเสนอขายให้กับบ้านคนรวยก็ไม่สามารถขายได้ในปริมาณเยอะขนาดนี้!
เวลาล่วงเลยไปสักพัก นายใหญ่สวี่ก็กลับมาพร้อมกับถุงเงิน “ในเมื่อการค้าขายนี้จบลงด้วยดี หากพวกท่านมีเวลาก็ขอเชิญเที่ยวเล่นที่หอพระจันทร์กันตามสะดวก ไม่ว่าจะไปที่ไหนพวกท่านไม่จำเป็ต้องจ่ายเงินสักอีแปะเดียว!”
หลินฟู่อินยิ้มดีใจ ส่วนหลินเฟินและหลินฟางกล่าวขอบคุณกันยกใหญ่
“พวกท่านขายของว่างชนิดอื่นให้ข้าได้อีกหรือไม่?” นายใหญ่สวี่เอ่ยถาม
หลินฟู่อินพร้อมสนองความ้านั้น เพราะนั่นคือสิ่งที่นางคิดเอาไว้อยู่แล้ว
“หากพวกข้าทำเสร็จใน่บ่ายของวันพรุ่งนี้ เราจะส่งมาให้นายใหญ่สวี่ลองชิมทันทีเ้าค่ะ” หลินฟู่อินตอบ
“ดีมาก! ดีมาก!” นายใหญ่สวี่กล่าวอย่างมีความสุข จากนั้นจึงหันไปสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำถั่วทอดทรงเครื่องไปเร่ขายให้แก่แขก
เมื่อครู่ขณะกลับเข้าไปชั่งถั่วทอดซ้ำอีกครั้ง ถั่วทอดหนึ่งจินนายใหญ่สวี่สามารถแบ่งขายได้หกจาน เขาตั้งราคาขายไว้ที่สิบอีแปะต่อจาน เท่ากับว่าเขาจะได้กำไรจินละสามสิบอีแปะ นับเป็จำนวนเงินที่มากกว่าราคารับซื้อถึงหนึ่งเท่า!
แน่นอนว่านายใหญ่สวี่พร้อมเอาใจใส่สามพี่น้องหลินอย่างดี
เมื่อพอใจกันทั้งสองฝ่าย หลินฟู่อินจำได้ว่าพี่สาวทั้งสองของนางอยากไปดูละครเงา นายใหญ่สวี่จึงสั่งให้คนพาพวกนางไปดูพร้อมจัดที่นั่งให้พร้อม
ไม่วายคิดหาเงินกันต่อไป ทันทีที่การแสดงละครเงาจบพวกนางจึงมุ่งหน้ากลับบ้านกัน
“ไม่ดูต่อแล้วหรือ? สนุกดีออก” หลินฟู่อินคิดว่าการแสดงละครเงาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้คือศิลปะอันล้ำค่า
หลินเฟินตอบ “สนุกมากจนข้ามีแรงทำงานเลยละ! เรากลับไปเจียวน้ำมันหมูทอดถั่วกรอบกันดีกว่า ว่าแต่เรายังไม่ได้แช่ถั่วลันเตากับถั่วปากอ้าเลยไม่ใช่หรือ?”
หลินฟางพูดเสริมอีกเสียงด้วยดวงตาที่เป็ประกาย “ใช่แล้ว ดูละครเงาจบแล้วเท่ากับว่าความฝันที่ข้ามีมาเนิ่นนานเป็จริงแล้ว! ข้าเองก็คิดเช่นกันว่าเรากลับไปหาเงินกันเถิด!”
กลายเป็สองสาวน้อยหน้าเงินเสียแล้ว…
หลินฟู่อินส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากเด็กสาวทั้งสามกลับบ้าน พวกนางเริ่มล้างมันหมูที่ซื้อมาให้สะอาด หั่นแบ่งออกเป็ชิ้นใหญ่ จากนั้นเทน้ำเย็นใส่หม้อเล็กแล้วนำมันหมูที่หั่นเสร็จใส่ลงในหม้อ ก่อนจุดไฟในเตาด้านล่างให้เรียบร้อย
ข้อดีของการเจียวน้ำมันหมูด้วยวิธีนี้ก็คือน้ำมันที่ได้นั้นจะมีคุณภาพดี แถมกากหมูที่ผ่านการเจียวรีดน้ำมันจะไม่ไหม้เป็สีดำเกรียม
สำหรับคนจนแล้ว กากหมูคืออาหารโอชะที่ล้ำค่าและหายาก หลินเฟินตั้งใจเก็บส่วนนี้ไว้เป็ของว่างสำหรับกินเล่น
หลังจากเจียวน้ำมันหมูเสร็จหนึ่งหม้อ เด็กสาวก็ตักน้ำมันที่ได้แยกเก็บไว้อีกหม้อ แล้วเริ่มเจียวน้ำมันหมูหม้อถัดไป
หลินเฟินหยิบกากหมูมากินเล่นระหว่างรอ
หลินฟู่อินหันไปมองแล้วเอ่ยถาม “กินเช่นนี้ไม่เบื่อหรือ?”
ยิ่งจำเป็ต้องเจียวน้ำมันหมูมากเท่าไร กากหมูที่ได้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายแล้วหลินเฟินอาจจะรู้สึกเบื่อเพราะกินมากเกินไป
แต่เด็กสาวกลับมอบรอยยิ้มกว้างเป็คำตอบ “ฟู่อิน เ้าปล่อยให้ข้ากินเถิด ตอนพวกข้ายังเด็ก เวลาเจียวน้ำมันหมู กากหมูไม่เคยเหลือถึงเราสักครั้งเดียว มีคนเอาพวกมันไปทำอาหารทั้งหมด ตอนนั้นประหยัดได้ก็ต้องประหยัดกันให้มากที่สุด”
“แต่ว่า…” หลินฟู่อินอยากพูดความในใจ แต่เมื่อไตร่ตรองดีแล้วนางคิดว่าไม่ควรพูดออกไป เพราะต่อให้คนบ้านนั้นมีเงิน พวกเขาก็คงไม่คิดเลี้ยงดูหลินเฟินอยู่แล้ว
“นี่ดูสิ ข้าเคยเป็คนขี้อิจฉามาก่อนด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ข้ากลับกินได้มากเท่าที่้า ช่างเป็พรอันประเสริฐเสียยิ่งกระไร!” หลินฟางพูดอย่างภูมิใจ
หลินฟู่อินรีบพูดขึ้นมาว่า “แน่นอนอยู่แล้ว! รอรับโชคที่เหลือของเราได้เลย!”
กล่าวจบเด็กสาวก็หยิบกากหมูชิ้นหนึ่งใส่ปาก กลิ่นของมันทั้งหอมทั้งให้ััที่กรอบอร่อย
ถึงอย่างนั้นหลินฟู่อินก็ไม่สามารถนั่งกินเล่นเป็ขนมเช่นนี้ได้ มันเลี่ยนเกินไป กินชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้ว
หลินเฟินและหลินฟางหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็น้อง
“ข้ายกให้พวกท่านหมดเลย ข้ากินไม่ไหว” หลินฟู่อินพูด
หลินเฟินตอบกลับ “รอข้าทำมื้อเย็นก่อนเถิด ข้าจะเอากากหมูนี้ไปผัดกับถั่วงอก แค่เอาไปผัดกับผักก็ไม่น่าเบื่อแล้ว”
ในฐานะที่หลินฟู่อินเคยเป็หมอมาก่อน ความจริงแล้วทางการแพทย์ไม่แนะนำให้เรากินไขมันมากขนาดนี้เพราะจะเป็อันตรายต่อร่างกาย
แต่คิดๆ ดูแล้วมันหมูในสมัยก่อนคงแตกต่างจากสมัยปัจจุบัน หลินเฟินกับหลินฟางอายุยังน้อยแถมต้องออกแรงทำงานหนักทุกวัน ออกกำลังหนัก กินแต่พอดี ย่อมไม่เป็อะไรมาก
จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก
เมื่อเจียวน้ำมันหมูเสร็จแล้ว หลินเฟินและหลินฟางลุกไปทอดถั่วต่อทันที ทิ้งให้หลินฟู่อินนั่งอยู่ลำพัง
เด็กสาวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี นางจึงแยกตัวไปดูถั่วลิสงและถั่วปากอ้าที่แช่ทิ้งเอาไว้
เพราะนำไปแช่ในน้ำเดือดมาก่อน ถั่วจึงแตกตัวได้อย่างรวดเร็ว หลินฟู่อินหยิบถั่วออกมาจากถังขนาดใหญ่แล้วลองบีบดู พบว่าถั่วเหล่านี้เริ่มนิ่มดีแล้ว
แช่น้ำทิ้งต่อไปอีกสักชั่วยามหรือชั่วยามครึ่งจึงจะสามารถนำไปทำเป็ถั่วลิสงคลุกเกลือและถั่วปากอ้าทรงเครื่องได้
ที่จริงแล้วถั่วลิสงนั้นสามารถนำมาทอดปรุงรสได้เช่นกัน แต่ถั่วลิสงมีรสชาติที่ดีอยู่แล้วจึงไม่ต้องผ่านการปรุงอะไรมากมาย แค่ใส่เกลือก็เพียงพอแล้ว
อีกเหตุผลหนึ่งคือหลินฟู่อินตั้งราคาขายถั่วสองชนิดนี้ไว้ในราคาที่เท่ากัน ไม่เกี่ยวว่าถั่วชนิดไหนจะทำง่ายกว่ากัน
ถั่วปากอ้าเองก็สามารถทำมาทำเป็ถั่วปากอ้าทอดกรอบ แต่เพราะปริมาณของถั่วปากอ้านั้นมีมากกว่า ถือเป็การสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ การทำเกลือและน้ำตาลบดจนนำมาคลุกเคล้ากับถั่วก็ไม่ใช่เื่ง่าย นำมาทำเป็ถั่วปากอ้าปรุงรสย่อมเหมาะกว่า
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็รายละเอียดเพียงเล็กๆ น้อยๆ แต่หลินฟู่อินจะพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะนางต้องทำเงินจากต้นทุนที่ถูกที่สุด และผ่านกรรมวิธีที่ง่ายที่สุด
หลินเฟินและหลินฟางยังมีแรงเหลือล้น พวกนางตั้งหน้าตาทอดถั่วจนฟ้ามืด ถามว่าจะไปทำมื้อเย็นกันเมื่อไรก็ไม่มีใครได้ยิน
หลินฟู่อินคิดว่าท้องของพี่สาวที่รักทั้งสองคงเต็มไปด้วยกากหมูแล้วแน่นอน นางจึงออกไปซื้อบะหมี่เนื้อสามถ้วยกลับมาเตรียมไว้ให้แทน
เช้าตรู่วันถัดมาหลินฟู่อิน หลินเฟิน และหลินฟางหมกตัวอยู่ใน ‘ห้องทดลอง’ ของพวกนางอีกครั้ง เด็กสาวทั้งสามช่วยกันเทน้ำลงในขวดโหลขนาดใหญ่แล้ววางพักไว้ ผงแป้งชั้นแรกถูกแยกออกไปเก็บไว้ เหลือเพียงผงละเอียดก้นโหลอีกจำนวนหนึ่ง
ขณะมองผงแป้งที่เหลือทิ้งไว้ หลินเฟินก็เอ่ยถามด้วยความเสียดาย “ฟู่อิน เรานำผงแป้งที่เหลือไว้ไปทำอะไรได้หรือไม่?”
หลินฟู่อินมองไปยังขวดโหลใบใหญ่ก่อนคิดอะไรบางอย่างออก “พี่เฟิน ท่านนำมันไปผึ่งแดด รอให้แห้งสนิท แล้วนำไปใส่ผ้าที่สะอาดที่สุด ม้วนผ้าปิดปากให้ดีแล้วใช้ค้อนเล็กทุบให้ละเอียด เสร็จแล้วเราจะเก็บมันไว้ใช้ประโยชน์ทีหลัง”
“โอ้! ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันต้องใช้ได้!” หลินเฟินมองด้วยสายตาชื่นชม หลินฟู่อินขยิบตาตอบอย่างภูมิใจ เรียกเสียงหัวเราะให้พี่สาวทั้งสองของนางครั้งใหญ่
หลินฟู่อินคิดว่านางจะใช้ผงแป้งแปรรูปเหล่านี้ทำชาดบำรุงหน้า นางเพียงต้องใช้กันโหยวและน้ำผึ้งเล็กน้อยเท่านั้น
เป็อีกครั้งที่สิ่งของเหล่านี้ไม่มีส่วนผสมอันตรายปะปน เพราะฉะนั้นปลอดภัยหายห่วงแน่นอน
กระนั้นนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะนำชาดนี้ไปเร่ขายแต่เก็บไว้ใช้กันเอง บางครั้งทำสิ่งล้ำสมัยมากเกินไปก็เป็ดาบสองคม
มีคนเคยกล่าวไว้ว่ามนุษย์ทุกคนมีทั้งด้านมืดและสว่าง
หลินฟู่อินเองก็ต้องดูแลตัวเองขณะหาเงินเข้ากระเป๋าไปด้วย
“เสร็จแล้วฟู่อิน วันนี้เ้าจะทำถั่วปากอ้าปรุงรสกับถั่วลิสงคลุกเกลือหรือไม่?” หลินฟางถามอย่างตื่นเต้น
หลินฟู่อินหยักหน้าเป็คำตอบ “เราทำกันวันนี้ก็ได้ เมื่อวานท่านกับพี่เฟินมัวแต่ง่วนอยู่กับการทอดถั่วใช่หรือไม่ แถมยังกลับมาทำกันตอนดึกดื่นอีก ตอนนี้มีมากพอหรือยัง?”
หลินเฟินหลุบตาลง “ได้มาเกือบสองพันจินเลยฟู่อิน ถั่วทอดเสร็จหมดแล้ว”
หลินฟู่อินตะลึงกับความขยันขันแข็งของสองพี่น้อง เมื่อคืนนางช่วยออกแรงอยู่พักหนึ่งก่อนขอตัวไปนอนเพราะตาแทบปิดด้วยความง่วง นางไม่รู้เลยว่าทั้งสองอยู่ทำถั่วกันจนดึกดื่น
“วันนี้รีบทำถั่วลิสงคลุกเกลือกับถั่วปากอ้าปรุงรสอย่างเ้าว่าแล้วส่งไปขายที่หอพระจันทร์พร้อมกับถั่วทอดทรงเครื่องดีหรือไม่?” หลินเฟินเอ่ยปาก
หลินฟู่อินเห็นด้วย “ดีมาก ตอนนี้เรามีถั่วทอดเหลือเฟือแล้ว เรียกคนงานจากร้านเราเข็นรถมารับมันไปขายเถิด”
หลินเฟินพยักหน้า
หลินฟู่อินเริ่มสอนพี่สาวทั้งสองทำถั่วปากอ้าปรุงรส
ง่ายนิดเดียว ขั้นตอนคือนำเครื่องเทศและสมุนไพรใส่ลงหม้อก่อนเอาถั่วปากอ้าใส่ตาม เมื่อต้มน้ำเดือดได้ที่แล้ว ก็ยกออกมาสะเด็ดน้ำแล้วใส่ลงไปในหม้อที่สอง อย่าลืมใส่เครื่องเทศและสมุนไพรจีนเข้าไปด้วย
สำหรับถั่วลิสงคลุกเกลือยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เทน้ำลงไปในหม้อต้ม ใช้เกลือครึ่งจินต่อน้ำสิบจิน ใส่ถั่วลงไปยี่สิบจินก่อนต้มให้เดือด น้ำถั่วออกมาสะเด็ดน้ำไว้ เมื่อต้มซ้ำอีกรอบแล้วจึงลองชิมรสแล้วคลุกเกลือลงไปตามใจชอบ
หลินเฟินและหลินฟางรีบหยิบถั่วที่ทำไว้เข้าปากอย่างมีความสุข ยิ่งทำเสร็จใหม่ร้อนๆ ยิ่งอร่อยจนหยุดไม่อยู่
หลินฟู่อินโล่งใจ
ขณะทั้งสามกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานในครัวอย่างขันแข็ง อยู่ๆ ก็มีเสียงคนทุบประตูบ้านดังลั่น หลินฟู่อินเช็ดมือให้สะอาดก่อนออกไปดูว่ามีใครมาเยือน
“ใครหรือ?” เสียงใสเอ่ยถามอีกฝากของประตู
“ฟู่อิน ข้าเอง แม่นางฉิน!” หญิงสาวะโสุดเสียง
เมื่อรู้ว่าเป็ใคร หลินฟู่อินก็เปิดประตูทันที
“ฟู่อิน ข้าหาเ้าเจอสักที” แม่นางฉินก้าวเข้ามาในบ้านขณะโบกผ้าในมือคลายร้อนไปด้วย เห็นได้ชัดว่านางรีบร้อนจนเหนื่อยหอบ
หลินฟู่อินยังสังเกตเห็นปลายจมูกของนาง “แม่นางฉิน เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้? ดูเหงื่อของท่านสิ…”
“ข้ารีบมาตามหาเ้า แป้งหอมโม่กุ้ยเฝิ่นขายหมดแล้ว! มีลูกค้าแย่งชิงกันมากมาย ไยข้าจะรีบร้อนไม่ได้เล่า?” แม่นางฉินถามต่อ “ฟู่อิน เ้ายังมีแป้งหอมของเ้าอยู่หรือไม่?”
หลินฟู่อินนั่งกะพริบตาปริบก่อนถามกลับโดยไม่ตอบคำถามเมื่อครู่ “แม่นางฉิน แป้งหอมมีมากถึงหกสิบแปดตลับ จะขายหมดภายในไม่กี่วันได้อย่างไร? เหตุใดจึงเป็เช่นนั้น?”
เห็นอีกฝ่ายสงสัย แม่นางฉินก็ไม่คิดปิดบัง “เมื่อวานนี้ แม่นางเฉิงที่ซื้อแป้งหอมไปก่อนหน้าเดินทางไปเยี่ยมเยียนนายหญิงใหญ่ที่จวนตระกูลวังหยวน ได้ยินว่าทั้งสองท่านสนิทสนมกันยิ่งนัก แป้งโม่กุ้ยเฝิ่นที่ซื้อเผื่อไปนั่นนางเอาไปฝากนายหญิงวังพร้อมชื่นชมว่าแป้งของเ้าใช้ดีขนาดไหน หลังจากนายหญิงวังลองใช้แล้วพบว่าแป้งหอมดีสมคำยกยอ นางจึงส่งคนมาเหมาอีกสามสิบตลับที่เหลือไปทันทีทันใด”
ได้ยินว่ามีคนเหมาแป้งหอมไปหมดเช่นนั้น หัวใจของหลินฟู่อินก็พองโต
แม่นางฉินเล่าเสียงเศร้า “ข้าดีใจที่มีคนซื้อมันจนหมด แต่ลูกค้าบางคนที่ไม่ได้แวะมาร้านข้าเมื่อวานส่งคนมาซื้อแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นของเ้าเช่นกัน ในบ้านมีเหลืออยู่เพียงกล่องเดียว ข้าจึงต้องเร่งร้อนเดินทางมาหาเ้า!”
กล่าวจบแม่นางฉินก็ส่งสายตาอย่างมีความหวัง
หลินฟู่อินเลิกคิ้วสวยพร้อมยิ้มกว้าง “โชคดียิ่งนัก ข้าเพิ่งทำแป้งหอมเพิ่มพอดี ท่านไม่ต้องกังวลไปแม่นางฉิน ข้าจะเอาให้ท่านเอง”
จากนั้นเด็กสาวก็ขอตัวไปยัง ‘ห้องทดลอง’ แล้วยกขวดโหลใบใหญ่ออกมา
แม่นางฉินยิ้มแป้น ใจของนางสงบลงเล็กน้อย
หลินฟู่อินยกน้ำชามาให้สหายร่วมการค้า ก่อนพูดอย่างร่าเริง “ขวดโหลนี้เหมือนกับของเมื่อวาน อาจใส่ตลับแป้งได้มากถึงเจ็ดสิบหรือแปดสิบตลับ”
แม่นางฉินมองหน้าหลินฟู่อิน “ฟู่อิน นับเป็หกสิบแปดตลับเช่นเมื่อวานดีหรือไม่?”
หลินฟู่อินหยักหน้า
เมื่อวานนี้แม่นางฉินทำเงินได้มากกว่าสี่ร้อยตำลึงเงิน นางมีตั๋วแลกเงินหนึ่งพันห้าร้อยตำลังเงินติดตัวพอดี หญิงสาวหยิบขึ้นมานับก่อนส่งต่อให้หลินฟู่อิน “ข้าไม่ได้หยิบเงินตำลึงติดตัวมา วานเ้ารับตั๋วเงินหนึ่งพันสี่ร้อยตำลึงนี้ไว้ก่อน”
หลินฟู่อินยิ้มก่อนบอกให้แม่นางฉินรอสักครู่ นางเดินเข้าห้องไปหยิบเงินยื่นให้อีกฝ่าย “นี่เงินสี่สิบตำลึงเงินสำหรับท่าน”
แม่นางฉินตอบรับ “ข้าจะไปหาเงินมาให้อีก คราวหน้าข้าแวะมารับของได้เลยหรือไม่?”
หลินฟู่อินหัวเราะ “ย่อมได้”
แม่นางฉินเล่าเื่ที่ได้ยินมาให้หลินฟู่อินฟังทิ้งท้าย “เ้าอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าเหตุใดนายหญิงวังจึงเหมาซื้อไปมากถึงสามสิบตลับ? อา ใช่แล้ว ซ้ำแล้วนางยังขอให้ข้าเก็บไว้ให้นาง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้