ตระกูลเจียงมีฮูหยินหลายคนที่มาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง แต่กลับไม่รู้หนังสือ เื่เช่นนี้หากมิใช่เพราะได้เห็นกับตาเจอกับตัวคงไม่กล้าเชื่อว่าผู้าุโของฮูหยินหลายท่านมีนิสัยดื้อรั้นและมีความเชื่องมงาย
ดวงตางดงามดั่งหงส์ของเจียงชิงอวิ๋นทอประกายอ่อนโยน “พยายามต่อไปย่อมมีความหวัง”
ลุงฝูกล่าวว่า “เพื่อให้พวกเขาได้เรียนหนังสือกับนายท่าน หมอเทวดาน้อยสิ้นเปลืองความคิดไปไม่น้อยเลยทีเดียว หวังว่า์จะบันดาลให้หมอเทวดาน้อยสมปรารถนา ให้พวกเขาสอบได้ตำแหน่ง”
“อืม... เมื่อครู่ข้าถามดูแล้ว พวกเขาบอกว่า ที่ครอบครัวมีวันนี้ได้ต้องขอบใจน้องสาวของพวกเขา”
ลุงฝูถามอย่างแปลกใจ “หมอเทวดาน้อยทำสิ่งใดเพื่อครอบครัวหรือขอรับ”
“ก่อนหน้านี้ครอบครัวพวกเขายากจนเป็อย่างยิ่ง จนกระทั่งปีนี้น้องสาวของพวกเขาถือโอกาสตอนที่บิดาไม่อยู่บ้านทำอาหารไปขาย ตอนเริ่มต้นนางไม่มีแม้กระทั่งเงินทุนด้วยซ้ำ นางต้องอาศัยเครื่องในหมูที่คนไข้มอบให้ไปใช้หาเงินทุน” น้ำเสียงของเจียงชิงอวิ๋นระคนไปด้วยความรู้สึกนับถือ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาสืบเื่ครอบครัวหลี่ ก็ได้รู้ว่าพี่น้องบ้านหลี่ทำการค้า แต่ไม่ทราบรายละเอียด วันนี้เมื่อได้ยินเด็กชายทั้งสี่ของบ้านหลี่เล่าเองจากปาก จึงได้รู้ว่าหลี่หรูอี้ตัวน้อยคิดทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของครอบครัวในตอนที่บิดามารดาไม่สามารถค้ำจุนครอบครัวได้
นี่ทำให้จิตใจของเจียงชิงอวิ๋นถูกสั่นคลอนไม่น้อย
ลุงฝูกล่าวอย่างทอดถอนใจ “บ่าวมองออกขอรับ หลี่ซานเป็เกษตรกรผู้ซื่อสัตย์ หลี่สือมีจิตใจและความคิดราวกับเด็กน้อย จ้าวซื่อก็ยุ่งอยู่กับการเลี้ยงทารกทั้งสอง เด็กชายทั้งสี่ของบ้านหลี่ก็เอาแต่เรียนหนังสือทั้งวัน กิจการของครอบครัวจึงต้องให้หมอเทวดาน้อยเป็ผู้ดูแล”
สองสามีภรรยานางหลิวเดินเข้ามา นางหลิวกล่าวกับเจียงชิงอวิ๋นว่า “นายท่าน เมื่อครู่บ่าวถามคุณหนูหลี่อ้อมๆ แล้วเ้าค่ะ นางกล่าวว่าพวกหูเอ้อร์ไปบ้านหลี่มิใช่ไปซื้อยา แต่ไปขอซื้อสูตรอาหารจานแป้ง พวกเขาบอกครอบครัวหลี่ว่า พวกตนเป็เถ้าแก่ร้านก๋วยเตี๋ยว ไม่ได้กล่าวว่า เป็พ่อครัวของจวนเยี่ยนอ๋อง”
ลุงโจวอธิบายต่อ “บ่าวเดาว่าพวกเขาคงใช้เงินตนเองไปเรียนสูตรทำอาหารจานแป้งชนิดใหม่ เพื่อประจบเ้านายในจวนเยี่ยนอ๋องให้ดีใจกระมัง”
เจียงชิงอวิ๋นพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
จวนเยี่ยนอ๋องดีกับจวนเจียงไม่น้อย ั้แ่ที่เจียงชิงอวิ๋นทราบว่าพวกหูเอ้อร์ไปบ้านหลี่ ก็จดจำเื่นี้ไว้ในใจมาตลอด นอกจากจะให้องครักษ์ไปแอบสืบในหมู่บ้านหลี่แล้ว ก็ให้นางหลิวไปถามหลี่หรูอี้ด้วย
หาก้ายา เขาก็อยากทราบว่าเป็ยาอะไร ส่งผลร้ายตุ่์หรือไม่ ตอนนี้เมื่อรู้ความจริงแล้วจึงไม่ต้องเป็กังวลอีก
เจียงชิงอวิ๋นและคนอื่นๆ กำลังนึกถึงคนในจวนเยี่ยนอ๋อง โจวโม่เสวียนแห่งจวนเยี่ยนอ๋องก็กำลังขี่ม้ามาทางด้านนี้ด้วยความร้อนใจ
โจวโม่เสวียนสวมหมวกสีดำ เสื้อคลุมสีม่วง เสื้อสีม่วง และกางเกงสีดำ แม้จะยังอายุน้อยแต่ก็ดูหล่อเหลาเป็อย่างยิ่ง เขามีบุคลิกโดดเด่น เมื่อเข้ามาในห้องโถงก็ทำให้เ้าของจวนรู้สึกเป็เกียรติ
เจียงชิงอวิ๋นยิ้มบางๆ “วันนี้อากาศหนาวถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมาที่นี่ได้เล่า”
“จวนของท่านอบอุ่นจริงๆ ข้าอยากให้จวนอ๋องของข้าก่อเตียงเตาบ้าง แต่พวกนางไม่ยอม” โจวโม่เสวียนปลดผ้าคลุมออกแล้วส่งให้เด็กรับใช้ จากนั้นจึงกล่าวเข้าประเด็นทันที “ข้ามาเพราะมีบางเื่อยากจะขอร้องท่านอา”
“เื่อันใด” เจียงชิงอวิ๋นไม่ทราบว่าตนจะช่วยโจวโม่เสวียนผู้เป็เสี้ยนกงที่สูงศักดิ์ท่านนี้ได้อย่างไรจริงๆ
“ข้าได้ยินท่านย่ากล่าวว่า ท่านอาเคยไปหอตำราทั่วทั้งแผ่นดินมาแล้ว มีความสามารถเหนือผู้คน เชี่ยวชาญในด้านการจับคู่คำกลอนเป็ที่สุด ข้าจึงอยากขอให้ท่านอาช่วยจับคู่คำกลอนสักหน่อย และคิดคำกลอนคู่ที่หาได้ยากให้ข้าบทหนึ่ง”
เจียงชิงอวิ๋นคิดในใจว่า ที่แท้ก็เป็การแต่งคำกลอนคู่ นี่เป็เื่ที่เขาเชี่ยวชาญมาก จึงรีบรับปากทันที ก่อนจะถามด้วยความแปลกใจว่า “เ้าชอบเรียนวรยุทธ์ เหตุใดจึงมาแต่งคำกลอนคู่ได้เล่า”
“อย่าเอ่ยถึงเลย เห้อ... แต่ท่านก็มิใช่คนนอก ข้าจะพูดให้ฟังแล้วกัน” โจวโม่เสวียนสลัดความเคร่งขรึมออกจากใบหน้า เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่สนิทกันก็ไม่จำเป็ต้องแสร้งทำเป็สุขุม จากนั้นจึงเล่าเื่ออกมาในรวดเดียว
ที่แท้วันนี้ก็เป็วันเกิดของโจวฉยงรุ่ย พี่สาวของโจวโม่เสวียน
โจวฉยงรุ่ยจัดงานชมดอกเหมยและชวนสหายสนิทมาร่วมงานจำนวนหนึ่ง
โจวลั่วเหยียนน้องชายของโจวโม่เสวียนอยากแสดงความโดดเด่นจึงแต่งคำกลอนออกมา จากนั้นก็เจาะจงให้โจวโม่เสวียนมาแข่งต่อคำกลอน ทั้งยังจำกัดเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกอีกด้วย
โจวโม่เสวียนส่งคนไปถามทหารในเมืองเยี่ยนมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถแต่งออกมาได้ จึงมาขอร้องเจียงชิงอวิ๋นด้วยตนเองและถือโอกาสมาเยี่ยมเขาสักหน่อยว่าอยู่ดีหรือไม่
“หากเป็ปกติข้าคงคร้านจะใส่ใจเขา แต่วันนี้มีคนจากแต่ละจวนในเมืองเยี่ยนมาเยือนมากมาย หากข้าไม่สามารถแต่งคำกลอนคู่ได้คงจะขายหน้าจริงๆ”
เจียงชิงอวิ๋นมองไปยังกระดาษที่โจวโม่เสวียนส่งมาให้ ้ามีคำเขียนเอาไว้สองประโยคเป็กลอนบทแรก เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างจึงตั้งใจคิดทบทวนนึกถึงความทรงจำของตน นี่เป็คำกลอนคู่ที่จดบันทึกไว้ในหนังสือคำกลอนเล่มหนึ่ง ต้นฉบับที่เหลืออยู่เพียงเล่มเดียวถูกฝังอยู่ที่สู่ตี้ แต่เขามีความจำเป็เลิศเมื่ออ่านผ่านตาแล้วก็ไม่ลืมเลือนง่ายๆ จึงสามารถจดจำกลอนบทต่อเนื่องกันได้ ด้วยเหตุนี้จึงท่องออกไปให้ฟัง
โจวโม่เสวียนหัวเราะเสียงดัง “ท่านอาคนดี ท่านมีความรู้กว้างขวางจริงๆ สามารถจับคู่คำกลอนได้รวดเร็วเพียงนี้เชียว”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวอย่างเรียบๆ “ไม่ใช่ว่าข้าคิดเอง แต่ข้าเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มหนึ่ง” ในใจคิดว่า ไม่ว่าจะเป็ที่ใดก็มีการแข่งขันทั้งสิ้น นึกถึงในตระกูลเมื่อปีนั้น ทุกครั้งที่มีงานประชันอักษรเขามักจะถูกผลักออกมาด้านหน้าเพื่ออ่านหนังสือคำกลอนและใช้สมองขบคิดคู่ของมันให้ได้ ตอนนี้ในตระกูลเหลือเพียงเขาคนเดียว ไม่จำเป็ต้องแข่งขันแล้ว
“นั่นก็เป็การแสดงให้เห็นว่า ท่านอ่านหนังสือมานับไม่ถ้วน ท่านอาคนดี ท่านรีบเขียนคำกลอนคู่จากหนังสือเล่มนั้นให้ข้าสักหลายสิบบทเถิด ข้าจะได้แบ่งไปต่อกรกับอันธพาลน้อยผู้นั้นได้อีกหลายครั้ง” โจวโม่เสวียนแทบอดรนทนไม่ไหว อยากเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของโจวลั่วเหยียนเสียจริง
“เขาทำให้เ้าอับอายเพื่อให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ แต่สิ่งที่เสียหายก็คือหน้าตาของจวนพวกเ้า เขาทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ข้าว่าเ้าเพียงแต่งไปตามปกติก็พอ ไม่จำเป็ต้องแต่งกลอนคู่ถึงขั้นทำให้เขาอับอายหรอก”
โจวโม่เสวียนหดหู่จนคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน “เอ๋... อนุญาตให้เขาทำข้าโกรธได้ แต่ไม่อนุญาตให้ข้าทำเขาโกรธหรือ ท่านอา เหตุใดท่านจึงช่วยเขาเล่า”
“ข้าไม่ได้ช่วยเขา ข้าคิดทำก็เพื่อเ้าทั้งนั้น หากเ้ากลั่นแกล้งเขาต่อหน้าผู้อื่น เช่นนั้นการกระทำของเ้าก็เหมือนกันกับเขา”
“แต่ข้ามิอาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ได้”
“เ้าไม่จำเป็ต้องแต่งคำกลอนคู่ให้เขาผู้เดียว เ้าสามารถแต่งให้ทุกคนได้ เช่นนี้ก็จะแสดงให้เห็นว่า เ้ามีคำกลอนอันยอดเยี่ยม ทั้งยังสะท้อนให้เห็นว่าเ้าใจกว้างกับเขาด้วย หากญาติผู้พี่ของข้ารู้เื่นี้ จะต้องกล่าวชมว่าเ้ามีความรู้กว้างขวางเป็แน่”
โจวโม่เสวียนกลอกตาคิดอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ข้าจะฟังคำของท่าน เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“วันนี้เป็วันเกิดของฉยงรุ่ย ข้าวาดภาพไว้ภาพหนึ่งพอดี เ้าเอาไปให้นางเถิด นอกจากนี้ข้าได้ขนมแป้งย่างรสหวาน อร่อยๆ มาจำนวนหนึ่ง เ้าเอากลับไปที่จวนด้วย ไปให้ท่านอาหญิงลองชิมสักหน่อย” เจียงชิงอวิ๋นไปหยิบรูปภาพออกมาจากห้องหนังสือ แล้วบอกให้นางหลิวไปนำขนมแป้งย่างรสหวานที่บ้านหลี่มอบให้ออกมาด้วย
โจวโม่เสวียนเดินตามหลังเจียงชิงอวิ๋น ถามขึ้นว่า “ภาพอะไร ขอข้าดูหน่อย”
“ภาพดอกเหมยใน่หลายวันมานี้” เจียงชิงอวิ๋นเดินไปที่ห้องหนังสือ จากนั้นก็เขียนกลอนบทหนึ่งลงบนภาพวาดดอกเหมย เขียนทิ้งท้ายว่า ‘ชิงอวิ๋นอำนวยพรแด่หลานสาวเนื่องในวันเกิด’
แคว้นต้าโจวไม่มีวัฒนธรรมที่คิดว่าดอกเหมยเป็สิ่งต้องห้าม กลับชื่นชอบมอบดอกเหมยให้กันด้วยซ้ำ
โจวโม่เสวียนกล่าวชมเชย “วันนี้พวกเขาก็วาดภาพดอกเหมยเช่นกัน ข้าดูแล้วไม่มีภาพใดเทียบภาพของท่านอาได้เลย” จากนั้นก็รอให้หมึกแห้งแล้วม้วนใส่กล่องเก็บภาพวาด สุดท้ายก็ยังร้องขอคำกลอนคู่อีกหลายบทกับเจียงชิงอวิ๋น จนเมื่อได้รับขนมแป้งย่างรสหวานแล้วก็รีบร้อนกลับไป
เขาเดินทางกลับมาที่จวนเยี่ยนอ๋องอย่างรวดเร็ว แต่กว่าจะถึงก็เป็เวลาพลบค่ำแล้ว
งานเลี้ยงยามค่ำคืนกำลังจะเริ่มขึ้น โจวโม่เสวียนปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปหาโจวลั่วเหยียน
โจวลั่วเหยียนรู้จากข้ารับใช้แล้วว่า โจวโม่เสวียนออกไปที่เมืองเยี่ยนมา คิดว่าเขาหนีไปแล้วเสียอีก ไม่นึกว่าจะย้อนกลับมาอีกครั้ง หรือเขาจะต่อกลอนคู่ได้แล้ว เมื่อย้อนดูอีกครั้ง กลอนบทแรกนั้นยอดเยี่ยมจริงๆ มีความยากมากเสียจนทหารหลายคนไม่สามารถต่อกลอนได้ เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ไม่อาจต่อได้แน่
“พี่ห้าดูท่าทางสดชื่น คิดคำกลอนคู่ออกแล้วหรือ”
โจวโม่เสวียนจ้องมองไปยังน้องชายของตนที่ยิ้มให้เขาอย่างดูแคลน แค่นเสียงเย็นออกมาอย่างอดไม่อยู่ “เ้าหก เ้าไปได้กลอนส่วนแรกมาจากที่ใด”
_____________________________
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้