ตกดึกความหนาวเริ่มโรยตัวลงมา แม้ว่ากองไฟจะลุกโชน แต่ก็ยังรู้สึกหนาวเล็กน้อย
อวิ๋นจื่อค่อนข้างง่วงนอน
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น ซูเจินก็หมดแรงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม คนใดคนหนึ่งต้องตื่นเพื่อเฝ้ายาม มิฉะนั้นหากมีเื่ร้ายแรงเกิดขึ้น เป็ไปได้มากว่าชีวิตของทั้งสองคงจะแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ซูเจินมองไปที่ท้องฟ้าสีดำสนิทและกล่าวว่า “ข้าอยากพักผ่อน อวิ๋นจื่อในเมื่อเ้ารู้วิชากระบี่ เ้าจึงควรเฝ้ายามก่อน ข้าจะมาเปลี่ยนเวรเมื่อข้าตื่น”
หญิงสาวไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นางถามเสียงต่ำว่า “ซูเจิน เย่เช่อจะมาหรือไม่?”
ซูเจินกล่าวด้วยท่าทีโอหัง “ข้าไม่รู้ ตอนนี้ข้า้านอน”
หลังจากพูดจบ ซูเจินก็ล้มตัวลงนอนข้างกองไฟและหลับตาทันที
อวิ๋นจื่อมองไปยังใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบสุขของซูเจินและหัวใจของนางก็อ่อนยวบ อันที่จริงซูเจินเป็เพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่อายุมากกว่านางไม่กี่ปี หญิงสาวในวัยยี่สิบต้นๆ ต้องแบกรับกิจการของตระกูลซู สถานะของตระกูลซู และทุกอย่างเกี่ยวกับตระกูลซูเอาไว้บนบ่าเล็กๆ ของตนเองเพียงผู้เดียว
ซูเจินช่างเป็คนที่น่าชื่นชมจริงๆ
เมื่อไหร่นางจะมีความสามารถได้ครึ่งหนึ่งของซูเจิน?
หญิงสาวคนนี้แข็งแกร่งกว่าสตรีทั่วไปมาก
ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็ลูกศิษย์ที่เสด็จอาสั่งสอนด้วยตนเอง
ในหัวของอวิ๋นจื่อเต็มไปด้วยความคิด
คงจะดีมากถ้าเย่เช่ออยู่ที่นี่ตอนนี้
หากเย่เช่ออยู่ที่นี่นางย่อมชมความงดงามในยามค่ำคืนได้อย่างไม่ต้องกังวล หากเย่เช่ออยู่ที่นี่เขาย่อมพานางและซูเจินออกจากป่าลึกได้อย่างรวดเร็ว หากเย่เช่ออยู่ที่นี่นางย่อมไม่ต้องกังวลมากนัก หากเย่เช่ออยู่ที่นี่เขาย่อมดูแลนางเป็อย่างดีแน่นอน หากเย่เช่ออยู่ที่นี่นางย่อมสามารถเพิกเฉยต่อทุกสิ่งได้
คงจะดีหากเย่เช่ออยู่ที่นี่
เย่เช่อ...
อวิ๋นจื่อคิดถึงแต่ชายหนุ่มผู้นี้
เมื่อคิดถึงคนรัก ความง่วงของนางก็หายไป
‘เย่เช่อ ตอนนี้เ้ากำลังทำอะไรอยู่? เ้ากำลังคิดถึงข้าอยู่หรือไม่?’
ตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไหน? เขาจะทำอะไรอยู่?
เขาจะเข้าวังไปพบฮองเฮา ทานข้าวคนเดียว อ่านหนังสือคนเดียว จากนั้นก็นอนหลับคนเดียวหรือไม่?
หรือมีแขกไปหาเขาที่จวน?
หรืออันที่จริงนางแค่คิดถึงเขา จึงรู้สึกกังวลเช่นนี้
เย่เช่อ…
ชื่อนี้ราวกับมีพลังที่ไม่สามารถอธิบายได้
หากตระกูลอวิ๋นคือภารกิจของนาง เย่เช่อย่อมเป็แสงสว่างในชีวิตของนาง
นางรักเขา
เมื่อเห็นว่าซูเจินหลับแล้ว อวิ๋นจื่อก็หยิบขลุ่ยออกมาและเป่าเล่น เหตุผลประการแรกเพราะนางเบื่อ ส่วนเหตุผลประการที่สองคือนางรู้สึกกลัวเล็กน้อยเพราะไม่มีใครคุยกับนาง
“ตอนนั้นข้ามัวเมาอยู่กับสาวงาม ความงามของนางดูบอบบางเหมือนดอกไม้
วันนี้สาวงามกลับละทิ้งข้าแล้วไปคบหากับตระกูลผู้ดีที่อยู่ห่างไกล
จุดจบของโลกช่างสวยงาม พระจันทร์เต็มดวงในค่ำคืนแสนสั้น
ถูกพรากจากชีวิตที่งดงาม เสียใจเมื่อมองไม่เห็น
ใจสลายที่ต้องห่างกันหลายพันลี้
ในความฝันข้าเมามายและนอนอยู่บนก้อนเมฆของูเาอู๋ น้ำตาข้าหยดลงในแม่น้ำเซียงเจียง
ดอกไม้และต้นไม้ที่ขึ้นอยู่สองฝั่งของแม่น้ำช่างดูงดงาม ช่วยบรรเทาความกังวลของผู้คน
ดีดกู่ฉินหยกด้วยความเศร้าโศกและขุ่นเคือง ดีดเสียงสูงจนสายขาด ไร้ผู้ใดในอ้อมอก
ความงามคือความงาม ฝนยามเย็นกับเมฆยามเช้าล้วนงดงาม
ความมัวเมาเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ทันใดนั้นก็มีเสียงที่หน้าต่าง ข้าสงสัยว่าใครมาหาข้า”
นี่เป็เพลงที่เศร้ามาก
เมื่อนางเป่าเพลงนี้ ท่วงทำนองที่ดังออกมาฟังดูใสกระจ่างราวกับน้ำพุในเดือนมีนาคม มันบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนใดๆ
จินเหนียงสอนเพลงนี้ให้นาง ดูเหมือนมันจะมีชื่อว่าความคิดถึง
จากนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกอยากเป่าเพลงผีเสื้อหยก
“มองไปที่หยาดฝนและก้อนเมฆ
มองไปที่แสงของฤดูใบไม้ร่วง อากาศในยามเย็นหนาวเหน็บ
ความเศร้าเข้าจู่โจม เสียงสายน้ำไหลและสายลมพัด ผิงกั่วผลิดอก พระจันทร์ขึ้นสูง น้ำค้างเย็นะเื
ใบไม้สีเหลือง สงสัยว่าชายชราอยู่ที่ใดในหมอกที่ลอยเหนือแผ่นน้ำกว้างใหญ่
จัดงานชุมนุมและงานเลี้ยงตามอำเภอใจ สายลมและดวงจันทร์แลดูอ้างว้าง
ดวงดาวส่องแสง ทะเลกว้างและูเาทอดยาว
ข้าไม่รู้ว่าเ้าอยู่ที่ใด? ชี้ไปที่ท้องฟ้า มองหน้ากันท่ามกลางเสียงอึกทึก
มองเห็นดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน”
จินเหนียงสอนเพลงนี้ให้นาง
รวมถึงเพลงคลื่นซัดทรายด้วย อวิ๋นจื่อเป่าเพลงนั้นทันที
“คลื่นซัดผ่านเก้าโค้งของแม่น้ำฮวงโห คดเคี้ยวม้วนตัวพัดพาสู่ฝั่ง
คลื่นตรงไปที่ทางช้างเผือก ไปที่บ้านของหนุ่มเลี้ยงวัวและสาวทอผ้า
มองเห็นดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิบนสะพานลั่วซุ่ย มองเห็นคลื่นซัดทรายในลำธารสีน้ำเงิน
ลมแรงจากที่ใดทำให้คลื่นซัดแรง? เป็ดยวนยางใคลื่นจึงบินหนี
แม่น้ำเปียนไหลไปทางตะวันออก แม่น้ำฮวยกลายเป็สีเขียวในฤดูใบไม้ผลิ
มองเห็นคลื่นซัดทรายที่ท่าเรือข้ามฟาก
คลื่นซัดเข้าหาทรายและตรงไปทางดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ
นกนางแอ่นที่มีโคลนอยู่ในปากต้องต่อสู้เพื่อบินกลับบ้าน ในขณะที่สามีจำทางกลับบ้านไม่ได้
ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ริมสองฝั่งของแม่น้ำกำลังชะล้างทรายเมื่อสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดพาคลื่นมา
หญิงสาวปักผ้าลายนกคู่ยวนยางใต้อาทิตย์อัสดง
หมอกปกคลุมแม่น้ำ ทรายขาวประดับหินหลากสีแลดูระยิบระยับ
เครื่องประดับของความงามมีอยู่เต็มผืนทราย
ในเดือนสิงหาคม คลื่นคำรามแตะูเาสูงหลายฉื่อ
หลังจากนั้นไม่นานคลื่นก็พัดเข้าไปในเมืองไห่เหมิน มันกลิ้งบนกองทรายราวกับเป็กองหิมะ
การใส่ร้ายเปรียบได้กับคลื่นใต้น้ำ และแขกที่ย้ายบ้านก็เหมือนทรายที่จมอยู่ใต้น้ำ
แม้ว่าการล้างทรายจะเป็เื่ยาก แต่เ้าจะได้รับทองหลังจากล้างทรายออกหมดแล้วเท่านั้น
สายน้ำชะล้างทรายอย่างไม่หยุดหย่อน คลื่นลูกที่แล้วยังไม่ถูกทำลาย คลื่นลูกต่อไปกำลังจะถือกำเนิดขึ้น
ผู้คนนึกถึงอุปสรรคและร้องเพลงต้อนรับเทพเ้าสามครั้ง”
อวิ๋นจื่อรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยหลังจากเป่าสามเพลงรวด นางวางขลุ่ยลงแล้วหลับตาทำสมาธิ
ทันใดนั้นนางก็นึกเื่บางอย่างขึ้นมาได้
ทั้งสามเพลงล้วนมีคำว่า “เซียว” และ “เซียง”
“เซียว” คือชื่อเสด็จอา แล้ว “เซียง” หมายถึงอะไร?
อวิ๋นจื่อรู้สึกเหมือนตนเองจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หากจินเหนียงเป็คนของเสด็จอาจริงๆ เสด็จแม่จะรู้เื่นี้หรือไม่?
หรือเป็เพราะเหตุนี้เสด็จแม่จึงให้จินเหนียงคอยดูแลนาง?
แล้วเหตุใดจินเหนียงถึงไม่เคยพูดเื่นี้?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวิ๋นจื่อก็รู้สึกกระวนกระวายใจมาก
สุดท้ายนางก็คิดไม่ออก เื่ราวยังคงคลุมเครือ นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต
นางอาจต้องไตร่ตรองมากกว่านี้
สมองของนางไม่อาจเทียบกับสมองของซูเจินได้เลย
ขณะที่อวิ๋นจื่อกำลังขบคิด นางก็เริ่มเป่าขลุ่ยอีกครั้ง
นางเป่าเพลงอำลาโดยไม่รู้ตัว
“ในสมัยโบราณมีลูกสาวคนที่สองของหวงอิงซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของตงถิงในเซียวเซียง
ทะเลลึกหลายพันลี้ มีใครบ้างที่ไม่เอ่ยถึงเื่นี้เพื่อดับทุกข์?
วันนั้นช่างน่าสังเวช ท้องฟ้ามืดมิด ฝูงลิงร้องลั่น ฝนตกลงในแม่น้ำ
ข้าจะชดเชยสิ่งที่ข้ากล่าวได้อย่างไร?
หวงเฉียงกลัวว่าเขาจะไม่แสดงความภักดี ส่วนผิงซี้าคำราม
เหยาและชุนควรเป็เฉินและอวี่
เมื่อาาสูญเสียขุนนางมือดี ัก็กลายเป็ปลา
เมื่ออำนาจกลับคืนสู่เสนาบดี หนูก็กลายเป็เสือ
เหยาถูกคุมขังอย่างสันโดษ ส่วนชุนต้องตายในป่า
เก้าอี้ดูคล้ายคลึงกัน แต่สุสานที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวคืออะไร?
าาร้องไห้ท่ามกลางหมู่เมฆ แล้วจากไปพร้อมกับสายลมและเกลียวคลื่นโดยไม่หวนกลับมา
ข้าร้องไห้และมองออกไปไกล ข้าเห็นูเาชางอู๋
ูเาชางอู๋พังทลายและแม่น้ำเซียงสุ่ยหายไป น้ำบนตาต้นไผ่สามารถดับไฟในใจได้”
ซูเจินลืมตาขึ้นและกล่าวว่า “เ้าเป่าขลุ่ยเช่นนี้ข้าจะหลับได้อย่างไร?”
อวิ๋นจื่อตอบด้วยท่าทีเขินอาย “ช่วยไม่ได้นี่ ข้ารู้สึกเบื่อมาก”
ซูเจินกล่าวว่า “เหตุใดเ้าไม่บอกข้าว่าเ้าคิดอะไรอยู่?”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้าเป่าเพลงที่จินเหนียงสอนข้า เมื่อก่อนข้าไม่รู้อะไรเลย แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าข้ารู้แล้ว”
ซูเจินถามเบาๆ “เ้ารู้อะไร?”
หญิงสาวกระซิบว่า “ตอนนี้ข้ามั่นใจได้อย่างหนึ่ง”
“เ้ามั่นใจในเื่ใด?”
“ข้ามั่นใจว่าข้าเป็บุตรีของเสด็จอา”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้