“โอ๊ย! เจ็บ!”
หนิงเทียนลืมตาขึ้นบนเตียงไม้ หัวของเขาราวกับจะแตกเป็เสี่ยงๆ
“ที่นี่คือที่ใดกัน?”
สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกแปลกใจ
“เหตุใดข้าถึงยังมีชีวิตอยู่? ข้าควรจะ... เอ๊ะ! ร่างกายข้าไม่เป็อะไรแล้ว!”
เขาลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วและบังเอิญเห็นคราบเืคล้ายลายดอกเหมย[1]บนผ้าปูที่นอน
นั่นคือ?
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง พลันมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ
“หรือจะเป็ซูอวิ๋น?”
หนิงเทียนประหลาดใจมาก ตนถูกพิษไฟของอสูรหยางเหยียนชื่อซา ซึ่งต้องใช้หยินแท้จากร่างเสวียนหาน[2]ของหญิงบริสุทธิ์ในการสลายพลังมิฉะนั้นจะต้องตาย และทั่วทั้งเมืองเสวียนซาน ซูอวิ๋นก็เป็เพียงผู้เดียวที่มีร่างเสวียนหาน นางสามารถปลุกร่างเหมันต์ซานหยินได้ ทั้งยังเป็คู่หมั้นของตนด้วย
หากไม่ใช่นางแล้วจะเป็ผู้ใดได้อีกเล่า?
“ที่แท้นางก็ยังชอบข้าอยู่”
หนิงเทียนตื่นเต้นราวผีเสื้อบินวนในท้อง เขารีบแต่งตัวให้เร็วที่สุดแล้ววิ่งออกไปอย่างว้าวุ่นใจ
“ที่นี่คือเรือนบรรพบุรุษตระกูลหนิงนี่เอง”
เมื่อออกมาด้านนอก หนิงเทียนก็พบว่าสถานที่แห่งนี้คือเรือนเดิมของตระกูลหนิงซึ่งไม่มีผู้ใดอาศัยมานานหลายปีแล้ว
อีกด้านหนึ่ง หนิงหยางกำลังคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่หน้าจวนตระกูลซูด้วยดวงตาที่ลุกเป็ไฟ
“ถ้าไม่ใช่เพราะข้า ปีนั้นตระกูลซูคงล่มสลายไปแล้ว! สามปีต่อมาก็เป็ตระกูลหนิงของข้าที่สู้จนตัวตายเพื่อปัดเป่าภัยพิบัติให้พวกเ้า สุดท้ายพอตระกูลหนิงเสื่อมลง ข้าก็ถูกทอดทิ้งให้เป็คนพิการ ยามนี้ลูกของข้าถูกพิษไฟและ้าร่างเหมันต์ซานหยินมาสลายพิษ แต่พวกเ้ากลับทำเฉยกับคนที่กำลังจะตาย สำนึกผิดชอบชั่วดีล้วนโยนให้สุนัขกินไปแล้วหรือ?”
ใบหน้าของซูอู่ฉายความอัดอั้นใจขึ้นมา การถูกหนิงหยางด่าทอในที่สาธารณะเช่นนี้ทำให้เขาอับอายยิ่งนัก
สิบหกปีที่แล้ว ซูอู่ออกเดินทางพร้อมกับภรรยาและบุตรสาว แต่ไปได้เพียงครึ่งทางพวกเขาก็พบกับอันตรายและได้รับการช่วยเหลือจากหนิงหยางมาตลอด ดังนั้นเพื่อแสดงความขอบคุณ เขาจึงหมั้นหมายบุตรสาวไว้กับตระกูลหนิง
ทว่าเมื่อสามปีก่อนตระกูลซูถูกยอดฝีมือนิรนามบุกโจมตีครั้งใหญ่หลวง ตระกูลหนิงเข้าร่วมต่อสู้เพื่อช่วยเหลือตระกูลซูจนสำเร็จ แต่ตระกูลหนิงกลับเสื่อมอำนาจ และหนิงหยางต้องกลายเป็ผู้พิการไปครึ่งร่าง
“น้ำใจในครานั้นเราย่อมไม่ลืม แต่ใต้หล้านี้ร่างเหมันต์ซานหยินของอวิ๋นเอ๋อร์นั้นหาได้ยาก ทั้งยังดึงดูดความสนใจจากกลุ่มหยวนซิว[3]แห่งสำนักหานเทียน หากนางสูญเสียร่างหยินแท้ไป ตระกูลซูของข้าย่อมเกิดภัย”
ในความเฉยเมยของเ้าเยี่ยนเหมยที่ยืนอยู่ข้างกายซูอู่นั้นแฝงไปด้วยความหยิ่งยโส นางฝากทุกสิ่งไว้กับสำนักหานเทียน
เมื่อหนิงหยางได้ยินเช่นนั้น เขาก็โกรธจนสบถออกมา “ยามนั้นเป็ข้าที่ตาบอด!”
หนึ่งปีก่อนหนิงเทียนล้มเหลวในการปลุกสายเื ทำให้ตระกูลซูผิดหวังอย่างมาก และยามนี้ซูอวิ๋นก็ปลุกร่างเหมันต์ซานหยินได้สำเร็จ นางจึงได้รับความสนใจจากกลุ่มหยวนซิว ทั้งยังดูถูกดูแคลนหนิงเทียน
เพื่อรักษาความสัมพันธ์ หนิงเทียนจึงเสี่ยงชีวิตเข้าไปเสาะหารากบ่มเพาะในส่วนลึกของเขาเฮยเสวียนอย่างไร้ซึ่งความหวัง หมายจะได้เป็จื๋อซิว[4] แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น
“สหายหนิง เื่นี้พวกเราก็กำลังคิดหาทางอยู่...”
“ขืนรอเ้าลูกข้าก็ตายแล้ว! ซูอู่ ตระกูลซูของเ้าคู่ควรกับข้าจริงหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นซูอู่ก็รู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง ทว่าเ้าเยี่ยนเหมยกลับเย้ยหยัน “เหตุร้ายที่เกิดกับหนิงเทียนไม่ใช่ความผิดของเรา เขาเฮยเสวียนเป็แดนมรณะ ในเมื่อเขายืนกรานจะเข้าไปแล้วเ้าจะกล่าวโทษผู้ใดกัน?”
หนิงหยางโกรธจัด “ที่ลูกข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะถูกพวกเ้าบีบคั้นด้วยคำเหน็บแนมแสนเ็าหรือ? ซูอวิ๋นเป็ว่าที่ภรรยาของเขา นางมีภาระผูกพันต้องช่วยเขา!”
เ้าเยี่ยนเหมยฮึดฮัด “แต่อวิ๋นเอ๋อร์ยังไม่เข้าพิธีและร่างเหมันต์ซานหยินก็ใช้ไม่ได้ ต้องขออภัยที่เราไม่อาจทำสิ่งใดได้”
ตระกูลหนิงเคยรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง แต่เพียงเพราะเส้นทางที่ตนเลือกเดินเมื่อสิบหกปีก่อนไม่ราบเรียบ การทำความดีครั้งนั้นจึงนำความพินาศมาสู่ทั้งตระกูล
“ข้าคือคนบาปแห่งตระกูลหนิง!” หนิงหยางหัวเราะเยาะโชคชะตาของตนด้วยความโศกเศร้าและความเจ็บใจ
“สหายหนิง...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว! ในเมื่อพวกเ้าไม่ยินยอม ข้าก็จะชิงตัวนางมา ข้าไม่อาจยืนมองเทียนเอ๋อร์ตายได้!” ดวงตาหนิงหยางมีเพียงความบ้าคลั่ง ก่อนจะพุ่งหาซูอวิ๋นด้วยความคิดจะจับนางไป
“กล้าดีอย่างไรมาแตะตัวลูกข้า? ออกไปให้พ้น!” เ้าเยี่ยนเหมยเข้าขวางหนิงหยาง
ซูอู่ก็พุ่งมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “สหายหนิง โปรดใจเย็น”
“ไปให้พ้น!” หนิงหยางโต้ซูอู่ด้วยกำปั้นแล้วรีบพุ่งเข้าหาซูอวิ๋น
เ้าเยี่ยนเหมยพยายามขัดขวางพร้อมสาปแช่ง “หนิงหยาง! หากเ้ากล้าััแม้แต่เส้นผมของอวิ๋นเอ๋อร์ สำนักหานเทียนจะไม่ละเว้นเ้า!”
“ข้าช่วยชีวิตทุกคนในตระกูลซู พวกสัตว์เดรัจฉานไม่รู้คุณคน!” หนิงหยางคำรามสนั่น
ซูอู่ยิ้มขมขื่นแต่เ้าเยี่ยนเหมยกลับด่าทอดังลั่น ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
“นี่มันเื่อะไรกัน?”
จางเฟิงหยางผู้สวมชุดสีน้ำเงินยืนอยู่ตรงประตูด้วยใบหน้าหล่อเหลา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยเป็แววเยาะเย้ย
“คุณชายจาง เ้าวิปลาสนี่้าทำร้ายอวิ๋นเอ๋อร์และทำลายร่างเหมันต์ซานหยินของนาง โปรดช่วยเราด้วย!”
“หุบปากเสียเ้าคนต่ำช้า!” หนิงหยางสาปแช่งเ้าเยี่ยนเหมย การที่นางกลับดำเป็ขาวเช่นนี้ก็เพื่อ้าสังหารเขา
“ในเมื่อเ้าคิดทำร้ายศิษย์คนสำคัญของสำนักหานเทียน เช่นนั้นเ้าก็ตายเสียเถอะ!” จางเฟิงหยางผู้โเี้ยกฝ่ามือขึ้น พลันความผันผวนน่าสะพรึงกลัวก็เข้ารบกวนจิตใจของผู้คน
“ท่านโปรดยั้งมือ...” ซูอู่ะโลั่น ทว่ามันสายเกินไป
หนิงหยางถูกฟาดด้วยฝ่ามือทรงพลัง เืสีแดงฉานกระเซ็นออกจากปาก กระดูกทรวงอกและอวัยวะภายในแตกเป็เสี่ยงๆ ยามนี้เขากำลังจะตาย
“ไม่!” หนิงเทียนผู้มาพร้อมความตื่นเต้นดีใจบังเอิญเห็นฉากแสนสลดนี้จากมุมถนน
ซูอู่กับซูอวิ๋นตกตะลึงทันทีเมื่อเห็นเขา หนิงหยางบอกว่าบุตรชายถูกพิษไฟและกำลังจะตายมิใช่หรือ? แล้วเขาจะมาะโโลดเต้นที่นี่ได้อย่างไร?
“น่ารังเกียจยิ่งนัก กล้าดีอย่างไรมาหลอกพวกเรา?” เ้าเยี่ยนเหมยด่าทอ ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์คนอื่นล้วนตกตะลึง
หนิงเทียนรีบวิ่งไปหาบิดาอย่างร้อนรน “ท่านพ่อ ข้าเทียนเอ๋อร์ ท่านเป็อย่างไรบ้าง? ท่านมองข้าสิ”
“เทียนเอ๋อร์? ทะ...เทียนเอ๋อร์หรือ?”
“ใช่ท่านพ่อ นี่ข้าเอง!” หนิงเทียนร้องไห้ดังลั่น
“จะ...เ้าไม่เป็ไร พะ...พ่อ...พ่อก็วางจะ...” หนิงหยางาเ็สาหัสและสิ้นลมก่อนจะสั่งเสียจบ
“ท่านพ่อ!” หนิงเทียนแผดเสียงคำรามอันเ็ปออกมา
“เหตุใดถึงเป็เช่นนี้? เหตุใดพวกเ้าต้องสังหารพ่อข้า? เขาเป็ผู้มีพระคุณของตระกูลซูไม่ใช่หรือ?” หนิงเทียนจ้องเขม็งสมาชิกตระกูลซูด้วยความเศร้าโศกและเคียดแค้นเป็อย่างยิ่ง
ริมฝีปากของซูอู่สั่นเล็กน้อย เขา้าพูดบางอย่างแต่คำพูดกลับจุกที่ลำคอ ส่วนเ้าเยี่ยนเหมยนั้นไม่ได้สำนึกผิดพร้อมกล่าวเยาะเย้ยว่า “พ่อเ้าหลอกพวกเราว่าเ้าถูกพิษไฟ ทั้งยังคิดจะจับตัวอวิ๋นเอ๋อร์เพื่อทำลายร่างเหมันต์ซานหยินของนาง เขาสมควรตายแล้ว!”
หนิงเทียนคำราม “พ่อข้าไม่ได้โกหก เ้าอย่าใส่ความเขา!”
“ถ้าพ่อเ้าไม่ได้โกหก เหตุใดเ้าถึงยังมีชีวิตอยู่เล่า?”
เื่นี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ซูอู่ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เ้ากลับไปเถอะ”
“ไปให้พ้น! ต่อจากนี้อย่ามายุ่งกับตระกูลซูของเราอีก!” เ้าเยี่ยนเหมยขับไล่ไสส่ง
หนิงเทียนโกรธจนแทบบ้า เขาจ้องมองซูอู่ เ้าเยี่ยนเหมย และซูอวิ๋นด้วยความแค้นเคือง ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะแสนคลุ้มคลั่งอย่างอับจนหนทาง
ยามนี้เขาเข้าใจแล้วว่าซูอู่ที่เขาเคยเคารพ และซูอวิ๋นที่เขาเคยชอบพอล้วนเป็เดรัจฉานที่แทนคุณด้วยความแค้นทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดซูอวิ๋นถึงช่วยชีวิตเขาไว้
เขามองนางด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยความรักและความเกลียดชัง ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เพียงเพราะข้าไม่อาจปลุกสายเืและกลายเป็หยวนซิวได้ เ้าจึงคิดว่าข้าไม่ดีพอสำหรับเ้าหรือ?”
ดวงตาเฉยชาของซูอวิ๋นเต็มไปด้วยความรังเกียจ “ข้ามีร่างเหมันต์ซานหยิน ชีวิตนี้ถูกลิขิตให้เป็ที่้าไปทั่วหล้า แล้วเ้าเล่า?”
น้ำเสียงอันเ็าและโเี้แทงทะลุหัวใจของหนิงเทียนราวกับมีดอันแหลมคม
“ในเมื่อเ้าดูแคลนข้าถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดเ้าถึงช่วยข้าไว้เล่า?” หนิงเทียนคำราม แววตาของเขามีเพียงความบ้าคลั่ง
“ช่วยเ้า?”
ร่องรอยความเกลียดชังปรากฏขึ้นอีกคราในดวงตาของซูอวิ๋น
“ข้าใช้ความบริสุทธิ์ช่วยเ้าหรือ? ช่างคิดเข้าข้างตนเองยิ่งนัก”
หนิงเทียนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทีของซูอวิ๋นดูเหมือนไม่ได้เสแสร้ง เช่นนั้นคราบเืบนผ้าปูที่นอนมาจากที่ใดกัน? อีกทั้งพิษไฟในร่างของตนจะหายไปได้อย่างไร?
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“กลายเป็ว่าข้าโง่ไปเอง ฮ่าๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะข้า ท่านพ่อจะตายด้วยน้ำมือพวกเ้าได้อย่างไร? ตระกูลหนิงของข้าจะเสื่อมถอยเพราะพวกเ้าได้อย่างไร? แต่ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าตระกูลซูจะจิตใจโฉดชั่วเยี่ยงหมาป่า[5] จนแทนคุณด้วยความแค้นเยี่ยงนี้!”
เ้าเยี่ยนเหมยแผดเสียงดังทั่วบริเวณ “หุบปากเสีย! เป็พ่อเ้าที่หลอกผู้อื่นก่อน แล้วเ้ายังจะกล้าว่าร้ายตระกูลซูของข้าอีกหรือ?”
หนิงเทียนโกรธจัด เขาแค้นจนแทบคลั่ง “นางหญิงต่ำช้า! ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากพ่อข้า ตระกูลซูของพวกเ้าก็สิ้นไปนานแล้ว! พวกเ้าไม่รู้ว่าควรแทนคุณอย่างไรกลับฆ่าเขาเสีย วันนี้ข้าจะทวงความยุติธรรมให้ท่านพ่อ!”
เขากรีดร้องด้วยเสียงสลด จิตสังหารพุ่งทะยานขึ้นในอก พร้อมกวาดสายตาจับจ้องซูอวิ๋นด้วยเพลิงแค้นที่ลุกโชน “หากปีนั้นพ่อข้าไม่ลงมือจัดการศัตรู เ้าก็คงตายไปนานแล้ว แต่เพื่อร่างเหมันต์ซานหยินเ้าถึงกับทำลายตระกูลข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเ้า!”
ตระกูลหนิงซึ่งเคยรุ่งเรืองเสื่อมอำนาจลงเพราะนาง และตระกูลซูปฏิเสธที่จะช่วยชีวิตเขาก็เพราะร่างเหมันต์ซานหยินของนาง ดังนั้น หนิงเทียนจึงอยากทำลายนาง ตระกูลซูต้องชดใช้ความสูญเสียครานี้
ซูอู่มองหนิงเทียนที่เคลื่อนไหวด้วยความโกรธ สีหน้าของเขาเผยให้เห็นร่องรอยความสับสน ก่อนจะโพล่งออกมา “หนิงเทียน! อย่า!”
“เ้าคนทราม! บังอาจนัก!” เ้าเยี่ยนเหมยะโลั่น แต่แววตาของนางกลับแฝงด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์
ที่นี่มีจางเฟิงหยางแห่งสำนักหานเทียนอยู่ด้วย หากหนิงเทียนคิดสังหารซูอวิ๋นจริงๆ จะไม่เป็การรนหาที่ตายหรอกหรือ?
ทว่า หนิงเทียนที่ดาลเดือดจะนึกถึงเื่นี้ได้อย่างไร?
ซูอู่รู้เื่นี้จึงพยายามเตือนเขา ส่วนซูอวิ๋นก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกันแต่กลับทำตัวเหมือนคนอ่อนแอ ในสถานการณ์เช่นนี้แม้ตระกูลหนิงจะดีต่อตระกูลซู แต่หนิงเทียนก็เป็ผู้ลงมือก่อน ท้ายที่สุดแล้วเขาก็สมควรตาย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สังหารหนิงเทียนก็คือจางเฟิงหยาง ไม่ใช่ตระกูลซู
จางเฟิงหยางเลิกคิ้วกระบี่พร้อมพูดอย่างเยือกเย็น “คิดสังหารศิษย์สำนักหานเทียนต่อหน้าข้าเช่นนี้ ช่างโอหังยิ่งนัก!”
ทันทีที่พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อก่อกระแสลมคำราม ความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ สายฟ้าฟาดลงมาทั่วบริเวณในชั่วพริบตา จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าร่างของหนิงเทียนได้กระเด็นไปไกลแล้ว
เืของหนิงเทียนแผ่กระจายราวเกสรดอกไม้ บรรยากาศโดยรอบเผยความเศร้าวังเวงขึ้นมา จู่ๆ เขาก็ถูกกระแทกอย่างหนักจนเืออกทั้งเจ็ดทวาร เขาไม่เห็นแม้แต่น้อยว่าจางเฟิงหยางลงมืออย่างไร แทบจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้ว
ความห่างชั้นเช่นนี้ช่างน่าสิ้นหวังอย่างยิ่ง และสิ่งที่น่ากังวลกว่านั้นก็คือสภาพของหนิงเทียนในยามนี้ เขาเจ็บหนักปางตายราวกับกำลังยืนอยู่บนขอบเหวของนรก
---------------------------------------
[1] ดอกเหมย (梅花) หมายถึง ดอกบ๊วย
[2] ร่างเสวียนหาน (玄寒体质) คือ ร่างซึ่งมีคุณสมบัติไอเย็นที่แข็งแกร่ง
[3] หยวนซิว (元修) คือ หนึ่งในสองประเภทของผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ โดยอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า ซิงซิว (星修)
[4] จื๋อซิว (植修) คือ ประเภทของผู้บำเพ็ญที่โดนดูถูกมากที่สุด
[5] จิตใจโฉดชั่วเยี่ยงหมาป่า (狼心狗肺) หมายถึง คนเลวทรามหรือคนเนรคุณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้