“เช่นนั้นบริเวณโดยรอบยังมีโสมคนอีกหรือไม่?” กู้ฉีอดถามต่อไปไม่ได้
เจินจูแสร้งทำท่าทางคิดนึกย้อนความทรงจำ หลังจากนั้นส่ายหน้า “น่าจะไม่มีแล้ว วันนั้นข้าสำรวจดูบริเวณยอดเขาอย่างละเอียดหนึ่งรอบ ไม่พบโสมคนต้นอื่นเลย”
กู้ฉีถอนสายตาที่ทอดมองไปยังูเากลับมา ท่าทางวูบโหวง
เมื่อวานเขาได้รับจดหมายที่ส่งมาจากผู้เป็มารดา โสมคนต้นนั้นมอบไปถึงมือของฉีกุ้ยเฟยแล้ว ฉีกุ้ยเฟยนำโสมคนไปมอบให้ท่านหมอเทวดาจาง พอท่านหมอได้เห็นก็แปลกใจระคนดีใจเป็อย่างมาก เอาแต่กล่าวว่าโสมคนต้นนั้นแฝงไว้ด้วยพลังเหนือธรรมชาติฟ้าดิน เป็ของคุณภาพดีเยี่ยมขั้นสูงสุดที่หาได้ยาก ไม่มีอะไรจะนำมาใช้สร้างรากฐานร่างกายให้แข็งแรงได้ดีไปกว่านี้แล้ว
ท่านหมอเทวดาจางเพิ่มโสมคนลงไปสองแผ่นในใบสั่งยาให้ฮ่องเต้ทันที หลังเสวยพระโอสถไปครึ่งเดือน พละกำลังวังชาของฮ่องเต้ล้วนเพิ่มขึ้นไม่น้อย เดิมทีที่ทำได้เพียงนอนเพื่อพักฟื้น ตอนนี้กลับสามารถลงพื้นมาเดินได้แล้วเล็กน้อย
ฉีกุ้ยเฟยปีติยินดีเป็อย่างมาก เรียกอันซื่อที่มีคุณงามความดีนำสมุนไพรมาถวายให้เข้าเฝ้าเป็พิเศษ เพื่อชมเชยอยู่พักหนึ่งและมอบรางวัลให้
แต่ปริมาณโสมคนหนึ่งต้นมีจำกัด หลังฮ่องเต้เสวยไปครึ่งเดือน โสมคนก็เหลือเพียงหนึ่งในสองส่วนแล้ว แต่อาการประชวรของฮ่องเต้เพิ่งจะฟื้นคืนกลับมาดีขึ้นได้ไม่เท่าไรเอง
นี่ทำให้ฉีกุ้ยเฟยร้อนรนจนแทบแย่ นางเรียกอันซื่อเข้าพบอีกครั้ง ถามที่มาของโสมคนให้แน่ชัด
กู้ฉีไม่ได้บอกความเป็มาของโสมคนให้อันซื่อฟัง อันซื่อกล่าวแค่ร้านสมุนไพรภายใต้ชื่อของจวนสกุลกู้ได้รับโสมคนนี้มา รู้สึกว่ารูปลักษณ์ของโสมไม่แย่ จึงส่งกลับมาจวนสกุลกู้เตรียมนำไปมอบให้ฮูหยินชรา ฮูหยินชรามีประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง คิดถึงอาการประชวรของฮ่องเต้ขึ้นมาว่าอาจสามารถใช้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงนำออกมาถวาย
ฉีกุ้ยเฟยซักไซ้ไล่เลียงต่อ เกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของร้านสมุนไพรและสถานการณ์โดยละเอียดของผู้ขายโสมคน
อันซื่อตอบอย่างระมัดระวัง เทือกเขาไท่หางเป็แหล่งเพาะวัตถุดิบพิเศษหายาก ทุกปีคนเก็บสมุนไพรที่เข้าูเาลึกไปขุดของล้ำค่ามีไม่น้อย ฝูอันถังเคยรับวัตถุดิบสมุนไพรที่ล้ำค่าและหายากมาหลากหลายชนิด คนที่ขุดโสมและเอามาขายยิ่งมากจนนับไม่ได้
ฉีกุ้ยเฟยได้ยินคำตอบเช่นนี้ไม่พอใจอย่างมาก เทือกเขาไท่หางยาวเหยียดไม่ขาดสายหลายพันลี้ ไม่รู้คนเก็บโสมและสถานที่เก็บโสมอย่างละเอียด จะสามารถหาโสมคนที่มีรูปลักษณ์พิเศษแบบเดิมได้อย่างไร
แต่ฉีกุ้ยเฟยก็ไม่ได้ทำให้อันซื่อรู้สึกลำบากใจ อย่างไรเสียก็อาศัยโสมคนที่จวนสกุลกู้ถวายขึ้นมา อาการของฮ่องเต้ถึงดีขึ้นมาได้จริงๆ
เมื่ออันซื่อกลับถึงจวนสกุลกู้ ก็ลงมือเขียนจดหมายให้กู้ฉี กำชับเขาให้ระวังการเคลื่อนไหวของฉีกุ้ยเฟย บริเวณเทือกเขาไท่หางอาจเป็เพราะเื่นี้จะทำให้เกิดคลื่นความวุ่นวายได้ นอกจากนี้วันที่สิบห้าค่ำกำลังจะมาถึง นางหวังว่ากู้ฉีจะสามารถกลับเมืองหลวงมาฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ได้ เขาจะได้หลบเลี่ยงบริเวณเทือกเขาไท่หางได้พอดีด้วย หากคนตรวจสอบของฉีกุ้ยเฟยสามารถหาโสมคนรูปลักษณ์เหมือนกันได้ย่อมเป็เื่ดี แต่หากหาไม่เจอล่ะ...
อันซื่อไม่้าให้บุตรชายคนเล็กมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง เจ็บป่วยมาสิบกว่าปี โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้มีการสื่อสารกับโลกภายนอกอะไรมากมาย การโต้เถียงของราชสำนักซับซ้อนเกินไป นางแค่หวังว่าเขาจะสามารถอยู่ภายใต้ปีกของบิดามารดาและเติบโตได้อย่างแข็งแรงเรียบง่ายได้เท่านั้น
หลังกู้ฉีพิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งและรอบคอบ ได้กำชับหลิวผิงว่าหากผู้ใดถาม ล้วนห้ามเปิดเผยเื่สกุลหูออกไปอย่างเด็ดขาด
ส่วนเขานำความหวังเพียงเล็กน้อยมาถึงบ้านสกุลหู สามารถมีโสมคนที่รูปลักษณ์คล้ายกันได้ก็จะดีที่สุด แต่หากไม่มีก็ไม่เป็ไร ที่สำคัญคือต้องเตือนสกุลหูเล็กน้อยว่าห้ามเปิดเผยเื่ที่ขุดโสมคนได้และเอาไปขาย จะได้ไม่กวักมือเรียกภัยพิบัติเข้ามา
“โสมคนต้นนั้นของครอบครัวเ้า ตอนนี้อยู่ในมือคนที่มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากครอบครัวหนึ่ง พวกเขาใช้ทำยาสมุนไพรแล้วได้ผลดีมาก ยังคิดจะค้นหาต้นที่สองที่คล้ายกัน แต่ครอบครัวเ้าไม่มีโสมคนเช่นนั้นอีก ทางที่ดีที่สุดอย่าเผยแพร่ออกไปด้วยเช่นกัน มีบางคนเพื่อของที่มีมูลค่าแล้วไม่ว่าจะลงมือด้วยวิธีการอะไรก็ล้วนทำออกมาได้ทั้งสิ้น เ้าต้องระมัดระวังหน่อย” กู้ฉีกล่าวด้วยความจริงใจ
เจินจูสีหน้าแข็งทื่อ การนำโสมคนที่ย้ายมาปลูกในมิติช่องว่างไปขาย ก่อให้เกิดเหตุยุ่งยากขึ้นจริงด้วย
“น้องสาวเจินจูวางใจ พวกข้าฝูอันถังไม่มีทางทำข้อมูลคนขายโสมรั่วไหลออกไปแน่นอน ขอแค่ครอบครัวเ้าอย่าเผยแพร่ออกไปก็ไม่มีทางที่จะมีเื่อะไรเกิดขึ้นได้” กู้ฉีเห็นนางสีหน้าเคร่งขรึมจึงรีบอธิบาย
“ขอบคุณการกล่าวเตือนของพี่ชายกู้อู่ พวกข้าจะระมัดระวัง” เจินจูพยักหน้ากล่าวขอบคุณ
ตอนหวังซื่อขายโสมคน เป็นางเข้าไปภายในร้านด้วยตัวเอง ส่วนหูฉางหลินและเหลียงซื่อสองสามีภรรยานั่งอยู่ห้องโถงใหญ่
ในตอนนั้นยังเอาเนื้อพะโล้หนึ่งโถไปให้หลิวผิงด้วย
หูฉางหลินและเหลียงซื่อไม่รู้อย่างแน่นอนว่าหวังซื่อไปขายโสมคน
เป็เพราะหวังซื่อพะวงกับเหลียงซื่อ จึงไม่ได้บอกบุตรชายคนโตถึงเื่นี้
หลังกลับมาถึงบ้านสกุลหูแล้ว หวังซื่อก็นำเงินที่เหลือจากการขายโสมคนมาให้เจินจูโดยตรง นางไม่ได้พูดเื่นี้กับผู้ใดเลย เพราะกลัวว่าทรัพย์สินเงินทองจะทำเอาคนอิจฉาตาร้อนได้
ส่วนที่บ้านเจินจูเคยเอ่ยเื่นี้แค่กับหูฉางกุ้ย เขาอาจบอกหลี่ซื่อด้วย เช่นนั้นต้องเตือนบิดากับมารดาสักรอบแล้วค่อยไปบอกหวังซื่อ เช่นนี้ก็น่าจะได้แล้ว
เจินจูสมองแล่นด้วยความรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ลมหายใจก็วิเคราะห์สถานการณ์ได้แล้ว
“น้องสาวเป็เด็กสาวที่เฉลียวฉลาดอย่างมาก”
เด็กสาวดวงตาสีมืดมิดดุจดวงดาวไหววูบเล็กน้อย ความกังวลบนใบหน้าหายไป พอมองก็รู้ได้ว่านางเข้าใจความสำคัญของเื่แล้ว ช่างเป็เด็กสาวที่เฉลียวฉลาดจริงๆ รอยยิ้มกู้ฉีอ่อนโยนอย่างมาก
เจินจูได้ยินดังนั้นจึงยิ้มขึ้นทันทีและหันไปทำหน้าตาหยอกล้อทางเขา “แน่นอนว่าข้าต้องฉลาดสิ หากข้าเป็คนโง่เขลา ตอนแรกที่อยู่ฝูอันถัง ท่านต้องไม่พูดคุยกับข้าแน่นอน”
หากนางเป็คนโง่ แม้เขาไม่ถึงกับดูถูกแต่ต้องมองข้ามอย่างแน่นอน
กู้ฉีใจลอย หวนรำลึกเหตุการณ์ที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก ผ่านไปชั่วขณะก็ตอบอย่างรอบคอบ “หากเ้าเป็คนโง่เขลา ข้าในตอนนั้นก็จะพูดคุยกับเ้าเช่นกัน”
แม่นางน้อยในตอนนั้นรูปร่างผอมเล็ก แต่เสียงกลับสดใสไพเราะน่าฟัง พอเขาได้มองไปก็ถูกรอยยิ้มที่สงบสุขุมและสว่างไสว ทั้งมีความมั่นใจในตัวเองของนางสะกดสายตาไว้ ความรู้สึกบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้ทำให้เขาอยากรู้จักนาง ไม่มีความสนิทสนมไม่มีการพูดคุยกัน มีแต่ความประทับใจแวบหนึ่ง
สีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเจินจูค่อยๆ หยุดลง นางกะพริบตาเบาๆ ปิดบังความยุ่งเหยิงในดวงตาไว้
ผ่านไปชั่วขณะ นางก็ฉีกใบหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาอีก และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่ชายกู้อู่ เช่นนั้นเ้าของร้านหลิวจะไม่เป็อะไรหรือ? อย่างไรเสียเขาก็นับว่าเป็เ้าของร้านเพียงคนเดียวที่เคยติดต่อคนขายโสม”
กู้ฉีส่ายหน้า “หลิวผิงไม่มีทางเป็อะไร ฝูอันถังเป็ร้านที่รับซื้อวัตถุดิบยาที่ใหญ่ที่สุดในละแวกใกล้เคียง คนขายสมุนไพรไปมาหาสู่ทุกวัน ปั้นเื่เสียหน่อยว่าคนขายสมุนไพรคนหนึ่งกลับบ้านเกิดแล้ว ไม่มีอะไรง่ายดายไปกว่านี้แล้ว”
เจินจูพยักหน้าวางใจ
กู้ฉีลังเลพักหนึ่ง และในที่สุดก็เอ่ยปากกล่าว “พรุ่งนี้ข้ากำลังจะออกเดินทางกลับเมืองหลวง”
“ฮะ? จะกลับเมืองหลวงอีกแล้วหรือ?” เจินจูถาม
“ใช่แล้ว วันที่สิบห้าค่ำกำลังจะมาถึง ท่านแม่หวังว่าข้าจะสามารถไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยกันได้”
คำแนะนำของอันซื่อ กู้ฉีใคร่ครวญพิจารณาอยู่นานมาก ร่างกายของเขาระยะนี้ดีขึ้นไม่น้อย การไอโดยรวมแล้วไม่มีปัญหาใหญ่โต ความอ่อนแอทางด้านร่างกายที่เป็มาระยะยาวนั้นก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในวันสองวัน
เขาเพียงได้รับผลประโยชน์จากวัตถุดิบอาหารของสกุลหู ร่างกายในขณะนี้จึงดีมากกว่าเมื่อก่อนไม่ใช่แค่หนึ่งเท่า... เช่นนี้เขาก็พึงพอใจมากแล้ว
หากเขาเอาแต่อยู่ฝูอันถังตลอด และราชสำนักส่งกำลังทหารมาตรวจสอบ ต้องเน้นตรวจสอบมาที่ตัวเขาแน่ๆ และต้องพบว่าปีที่แล้วเขายังเป็คนป่วยที่ป่วยหนักเกินกว่าจะเยียวยาได้อยู่เลย แต่ปีนี้กลับเปลี่ยนไปเป็อีกอย่าง ไม่ว่าผู้ใดก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดทั้งนั้น ขอแค่มีเจตนาจะสืบหาก็ง่ายมากที่จะสืบมาถึงครอบครัวสกุลหู
กู้ฉีไม่อยากให้เป็เพราะสาเหตุของตัวเอง ที่ทำให้สกุลหูตกสู่โลกแห่งความอันตราย การที่เขาไม่สามารถตอบแทนบุญคุณของสกุลหูได้อย่างเปิดเผย ก็ทำให้ในใจของเขายากที่จะสงบแล้ว หากเป็เพราะเขาแล้วทำให้สกุลหูถูกคนเบื้องบนจ้องเข้า เช่นนั้นเขาคงรู้สึกเป็ตราบาปไปชั่วชีวิต
ด้วยเหตุนี้ เพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ เขาต้องเลี่ยงโดยการกลับเมืองหลวงไปก่อนจึงจะเป็วิธีที่ดีที่สุด รอให้ความวุ่นวายของโสมคนผ่านไปแล้ว ค่อยมาอีกก็ไม่สาย
“ใช่สิ เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้จะถึงแล้ว ควรกลับบ้านไปฉลองเทศกาลจริงๆ เช่นนั้นขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพล่วงหน้า” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“ขอบคุณน้องสาว”
กู้ฉีมองใบหน้ายิ้มแย้มดุจบุปผาของเด็กสาว ในก้นบึ้งของหัวใจราวกับมีพวงผกาที่ไร้การจับต้องได้เบ่งบานอยู่
เพราะกู้ฉีจะกลับเมืองหลวง เจินจูจึงให้บิดาของนางกลับไปบ้านเก่าตนเองเพื่อเลือกกระต่ายออกมาสิบตัว
เส้นทางกลับเมืองหลวงไกลมาก แม้กู้ฉีร่างกายดีขึ้นไม่น้อย แต่ยังห่างไกลจากร่างกายที่แข็งแรงของผู้ชายทั่วไปอย่างมาก
เจินจูหาข้ออ้างไปแปลงผักเพื่อเก็บผัก แต่แอบกลับไปห้องและเก็บเอาดอกเบญจมาศใหม่ของนางออกมาจากมิติช่องว่าง เพราะเป็ดอกเบญจมาศสดๆ ไม่ผ่านการปรุงหรือผึ่งแดดตากแห้ง เมื่อนำออกมาจากมิติช่องว่างแล้วจึงไม่สามารถเก็บไว้นานเกินไปได้ ดังนั้นนางเลยใส่ให้เขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากนั้นหยิบขิงชิ้นใหญ่ไม่กี่หัวออกมาอีก สุขภาพร่างกายไม่สู้ความหนาว ต้องดื่มชาขิงมากๆ เหมาะสมให้กู้ฉีนำไปใช้และชงดื่มได้พอดี
สมองคิดวนไปมาหลายรอบ หาของที่เหมาะสมจะมอบให้ครบแล้ว นางจึงหอบเอาผักพวกแตงและถั่วที่พานเสวี่ยหลันเก็บไว้มาให้กู้ฉีพร้อมกัน
หูฉางกุ้ยจับกระต่ายและไก่มาอย่างละสิบตัว เดิมทีรถม้าของกู้ฉีก็ใส่ของมากมายเพียงนั้นไม่ได้อยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ หูฉางกุ้ยจึงลากเกวียนล่อออกมาเสียเลย ใส่ตะกร้าไก่และตะกร้ากระต่ายขึ้นเกวียนไปทีละอย่าง ตั้งใจจะนำไปส่งให้ถึงฝูอันถัง
อาชิงที่ออกมาดูความวุ่นวายเห็นเข้า จึงรีบวิ่งมาข้างหน้าเขาทันที “ท่านอาฉางกุ้ย รอข้าสักครู่ ข้าจะเข้าเมืองด้วยสักรอบ ที่บ้านมีของขาดไปไม่น้อยแล้ว ถือโอกาสไปซื้อด้วยได้พอดีเลย”
หูฉางกุ้ยพยักหน้า แต่ถามกลับ “อาชิง ตอนบ่ายเ้าไม่มีเรียนหรือ? เ้าไปแล้วอาจารย์ของเ้าจะดูแลเด็กมากมายเพียงนั้นได้หรือ?”
“ไม่เป็ไร มียู่เซิงอยู่ ตอนนี้เขาเก่งกว่าข้าแล้ว เหอะ... ให้เขาช่วยดูแลไปสิ” อาชิงโมโหเล็กน้อย
เ้าหมอนั่นราวกับคนที่พร้อมต่อสู้อย่างสุดชีวิต ฝึกวรยุทธ์ขึ้นมา ท่าทางเหมือนไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย บีบบังคับให้เขาจำใจต้องกัดฟันฝึกไปด้วย เหนื่อยหอบจนคล้ายสุนัขทุกวัน อ๊ะ... ไม่สิ เสี่ยวหวงสบายดียิ่งกว่าเขาเสียอีก
อาชิงกลับไปหยิบเงินในห้องตนเองด้วยในใจที่โกรธเคืองไม่เป็ธรรม
เขากับอาจารย์ฟางอาศัยอยู่หมู่บ้านวั้งหลินมาสองเดือนกว่า ได้รับค่าตอบแทนมาสองครั้ง ตามความคิดเห็นของอาจารย์ ควรต้องหยิบค่าใช้จ่ายยาสมุนไพรที่สกุลหูจ่ายไปแทนเขามาคืนสกุลหู แต่แม่นางสกุลหูบอกว่าในเมื่อตอนนี้พวกเขายังสอนอยู่บ้านสกุลหู เช่นนั้นค่ายาสมุนไพรก็ให้ถือว่าสกุลหูออกทุนสำรองให้ก่อน
หากสอนอยู่โรงเรียนวั้งหลินถึงสิบปี ค่าใช้จ่ายยาสมุนไพรที่เกิดจากการเจ็บป่วยของร่างกายล้วนสามารถลบล้างไปได้ทั้งหมด หากสอนเต็มห้าปีแต่ไม่ถึงสิบปี ค่าใช้จ่ายยาก็ลดไปครึ่งหนึ่ง และถ้าไม่ถึงห้าปีก็ลดให้หนึ่งในสามส่วน
กฎข้อบังคับนี้ใช้กับคนที่ถูกสกุลหูจ้างทั้งสิ้น รวมไปถึงพวกหลิงเสี่ยนทั้งสามคน จ้าวหงซานและน้องสาว ฟางเสิงและลูกศิษย์รวมทั้งซิ่วฉายหยางด้วย
คำพูดของเจินจูคล้ายกับฟ้าร้องในที่ราบ [1] ทำเอาทุกคนตะลึงงัน
มนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หนึ่งในเื่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือการเจ็บป่วย
การเจ็บป่วยไม่เพียงเป็ความทรมานร่างกายและจิตใจของมนุษย์ แล้วยิ่งไปกว่านั้นยังเป็สาเหตุให้ถุงเงินว่างเปล่าเพราะจ่ายไปจนเกลี้ยงอีกด้วย
หากค่าใช้จ่ายของการเจ็บป่วยทั้งหมดสามารถตัดทิ้งได้ เช่นนั้นไม่ใช่ว่าความกังวลของอนาคตก็น้อยลงไปได้ครึ่งหนึ่งหรือ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็เพราะเจ็บป่วย แล้วทำให้ทั้งครอบครัวต้องเดือดร้อน
ทันทีหลังจากนั้นพวกเขาก็ลงนามในสัญญาที่เรียกว่า... การคุ้มครองค่ายา เรียงตามลำดับคนละฉบับ บนสัญญาระบุกฎระเบียบอย่างละเอียดไม่กี่รายการไว้ชัดเจน โดยมีหลิงเสี่ยนเป็ผู้ช่วยร่างสัญญาขึ้นมา
เดิมทีหลิงเสี่ยนรู้สึกว่า... ที่เรียกว่าการคุ้มครองค่ายาฉบับนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตนเองมากนัก แต่เขียนไปเขียนมาหัวใจของเขากลับเต้นรัวเร็วขึ้น
ตอนนี้เขาอายุห้าสิบเจ็ด แม้ร่างกายดูแล้วยังนับได้ว่าแข็งแรง แต่บนความเป็จริงในใจเขาชัดเจนดี ชีวิตการเป็นักโทษเนรเทศที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานอย่างโชกโชนตลอดทั้งปี อย่างในน้ำมาในลมไป [2] ได้ทำลายร่างกายของเขาไปนานแล้ว ่หน้าหนาวของทุกปีล้วนเหมือนเวลาแห่งการเอาชีวิต ความเ็ปที่กระดูกทรวงอกยากที่จะข่มกลั้น ข้อต่อกระดูกบวมเป่งและแข็งทื่อ สิ่งเหล่านี้ได้ทรมานเขาอยู่ทุกคืนวัน
หากไม่ใช่เพื่อเด็กน้อยสองคนที่ยังไม่เป็ผู้ใหญ่ หน้าหนาวปีที่แล้วคงทนข้ามมาไม่ได้
หากมีการคุ้มครองฉบับนี้ เช่นนั้นวัยชราของตนเองก็จะได้รับความเ็ปน้อยลงใช่หรือไม่?
เชิงอรรถ
[1] ฟ้าร้องในที่ราบ หมายถึง คำที่ทำให้คนแปลกประหลาดใจ
[2] ในน้ำมาในลมไป หมายถึง การใช้ชีวิต หรือการทำงานอย่างอดทนและขยันหมั่นเพียร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้