ทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ว่านางแต่งงานแล้ว? ในยุคสมัยนี้สตรีที่ออกเรือนแล้วกับสตรีที่ยังไม่ออกเรือนดูภายนอกไม่ได้แตกต่างกันมากนัก หรือชายที่ชื่อเสิ่นมู่ชิงคนนั้นจะรู้จักนาง
“เ้าจะแสร้งทำเป็ว่าไม่รู้จักมู่ชิงหรือ?” หญิงคนนั้นดูเหมือนจะโมโหกว่าเดิม
“ข้าไม่รู้จักเขาจริงๆ” กู้เจิงแน่ใจว่าในความทรงจำของนางไม่รู้จักผู้ชายคนนี้จริงๆ
ชุนหงคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่นางยังลังเลอยู่บ้าง
สตรีผู้นั้นมองกู้เจิงอย่างเดือดดาล “เ้าก็เป็แค่บุตรีอนุของจวนป๋อเจวี๋ยเท่านั้น ต่อให้น้องสามีของข้าจะไม่เข้าตาเ้า ก็ไม่ควรจะมาหยามเกียรติกันเช่นนี้กระมัง?” เมื่อกล่าวจบนางก็อุ้มลูกจากไปด้วยความขุ่นเคือง
“ไม่เข้าตาข้าหรือ? ไม่เข้าตาอะไรกัน?” กู้เจิงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนเป็คุณหนูในจวน ยิ่งประตูใหญ่ไม่ออก ประตูสองไม่ก้าว* ถูกคนกล่าวหาอย่างเลื่อนลอยเช่นนี้ กู้เจิงก็โมโหเช่นกัน
(*หมายถึง ไม่เคยออกนอกบ้านไปติดต่อกับคนภายนอก)
“คุณหนู” ชุนหงกระตุกแขนเสื้อของกู้เจิงเบาๆ “บ่าวจำซิ่วไฉท่านนั้นได้แล้ว นายท่านเคยจะให้คุณหนูหมั้นหมายกับคนผู้หนึ่ง คนผู้นั้นเหมือนจะมีอักษรมู่อยู่ในชื่อนะเ้าคะ”
“อะไรนะ?” กู้เจิงเบิกตากว้างมองชุนหง
“เหมือนจะชื่อมู่ชิงอะไรนี่แหละเ้าค่ะ" ชุนหงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนั้นนางได้ยินแม่เฒ่าซุนบอกซู่เหนียงเช่นนั้น
“เ้าจะบอกว่า เสิ่นมู่ชิงคนนี้ก็คือคนที่นายหญิงจะให้แต่งงานกับข้าในตอนแรกงั้นหรือ?”
ชุนหงพยักหน้า “บ่าวคิดว่าใช่เ้าค่ะ”
กู้เจิงรู้สึกว่าเมืองเยว่เฉิงนี้เล็กเหลือเกินแล้ว และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือชายคนนี้ดันเป็คนของตระกูลเสิ่นอีก
“ตอนนั้นแม่เฒ่าซุนบอกว่า คนผู้นั้นอายุสิบหกก็สอบได้ซิ่วไฉแล้ว ต้องเป็คนมีอนาคตไกลแน่ๆ แต่ที่บ้านของเขาเกิดปัญหานิดหน่อย ทำให้เขาเสียเวลาไป แม่เฒ่าซุนยังบอกอีกว่า ขอเพียงคุณหนูใหญ่แต่งเข้าไปแล้ว เื่เ่าั้นายท่านจะจัดการให้เรียบร้อยเอง สายตาของนายท่านไม่มีทางพลาดเ้าค่ะ” ชุนหงเล่าสิ่งที่ตนเองได้ยินมาอย่างละเอียด “แต่ซู่เหนียงไม่ยินยอม นางไม่ได้สนใจเื่เล็กน้อยเหล่านี้ นางแค่รู้สึกว่าคนผู้นั้นสอบได้ซิ่วไฉตอนอายุสิบหก แต่อายุสิบเก้าแล้วก็ยังเป็ซิ่วไฉ เป็เจียงหลางสิ้นความสามารถ[1] แล้ว หากคุณหนูแต่งเข้าไปจะต้องทนทุกข์เป็แน่เ้าค่ะ”
กู้เจิง “...” คำพูดหลังๆ ซู่เหนียงเคยบอกกับนางแล้ว มิน่าเล่าบุรุษคนนี้ที่เจอกันในตำหนักบูรพาเมื่อวานถึงได้มองนางอย่างโมโหปานนั้น เมื่อครู่เขาก็ทำหน้าไม่ค่อยดีใส่นาง แสดงว่าเขารู้ว่านางคือใคร
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะสอบได้ทั่นฮวาในปีนี้” ชุนหงยังกล่าวต่อ “แต่ท่านบุตรเขยกลับสอบได้เพียงจิ้นซื่อเท่านั้น” นางเอ่ยอย่างเสียดายนิดหน่อย
ใครว่ากัน สามีของนางสอบได้ถึงตำแหน่งจ้วงหยวน ทว่าสิ่งนี้ยังบอกชุนหงไม่ได้ กู้เจิงแสร้งกระแอมไปสองทีแล้วกล่าวว่า “คำพูดนี้ของเ้าจะให้สามีข้าได้ยินไม่ได้เด็ดขาด”
“บ่าวทราบเ้าค่ะ คุณหนูเมื่อครู่สตรีผู้นั้นบอกว่าพวกเขาแซ่เสิ่นหรือเ้าคะ? หรือจะเป็คนในตระกูลเสิ่นเรา?”
“ข้าเดาว่าน่าจะใช่” กู้เจิงถอนหายใจ เมื่อจบเื่แล้วกู้เจิงและชุนหงก็มุ่งหน้าไปที่ร้านหนังสือต่อ
“คุณหนูใหญ่ มาที่ร้านแต่เช้าเชียวขอรับ” หม่าตงเข้ามาทักทาย
“จริงสิ คุณหนูใหญ่ขอรับ ที่ท่านบอกให้ข้ารวบรวมซื้อหนังสือเก่า ข้าน้อยได้กว้านซื้อหนังสือเก่าจากร้านหนังสือทั้งสี่ประตูของเมืองเยว่เฉิงมาหมดแล้วขอรับ” หม่าตงยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจ “หนังสือหลายพันเล่มใช้เงินไปร้อยกว่าตำลึง และบางร้านที่สนิทกันพวกเขายังแถมหนังสือมาให้อีกขอรับ”
กู้เจิงกำลังจะอ้าปากถามถึงสภาพของหนังสือ ลุงหม่าเหมือนจะเดาออก เขาจึงกล่าวต่อว่า “คุณหนูวางใจได้ หนังสือทั้งหมดแค่เป็หนังสือเก่า แต่ไม่ได้เสียหายอะไรขอรับ”
กู้เจิงพยักหน้าพอใจ “ลำบากลุงหม่าแล้ว ยังมีอีกเื่ ข้าได้ให้ช่างไม้หรือก็คือเสิ่นกุ้ยลูกพี่ลูกน้องของสามีข้าเข้าไปทำร้านแล้ว รบกวนลุงหม่าจัดหาพวกน้ำชาเข้าไปให้เขากับพวกลูกมือของเขาด้วย”
“ได้ขอรับ เดี๋ยวข้าน้อยจะไปจัดการให้”
เมื่อเสร็จธุระและได้สั่งงานแก่ลุงหม่าไว้ทั้งหมดแล้ว สองนายบ่าวจึงขึ้นรถม้าและพากันกลับบ้าน
ขณะที่ชุนหงขับรถม้ากลับบ้าน กู้เจิงก็ออกมานั่งเป็เพื่อนชุนหงที่หน้ารถ นางอดนึกถึงชายที่ถูกเสิ่นมู่ชิงเรียกว่าแม่ทัพไม่ได้ สัญชาตญาณบางอย่างบอกนางว่านั่นไม่ใช่แม่ทัพตระกูลเยี่ยน แต่ก็ไม่เห็นได้ยินว่าเทพาเซี่ยกงเจวี๋ยกลับเข้าเมืองมาแล้วนี่นา? เทพาผู้นั้น ไม่ได้กลับเมืองมาสิบกว่าปีแล้ว ถ้าหากเขากลับเข้าเมืองมาจะต้องมีกองทัพมาด้วยแน่ หรือจะเป็แม่ทัพคนอื่น?
“คุณหนู หิมะตกเ้าค่ะ” ชุนหงยื่นมือออกไปรับััจากหิมะ
กู้เจิงนึกถึงเมื่อคืนตอนที่เสิ่นเยี่ยนกลับมาถึงบ้านก็มีหิมะเกาะอยู่บนไหล่ “เมื่อคืนหิมะก็ตกนะ”
“เมื่อคืนหิมะไม่ได้ตกนะเ้าคะ” ชุนหงกล่าวขัดขึ้น
“หิมะไม่ได้ตกหรอกหรือ?”
ชุนหงพยักหน้ามั่นใจ “บ่าวออกไปยกน้ำมาเมื่อคืน ไม่มีหิมะตกเลยเ้าค่ะ ถ้ามีหิมะตก เช้านี้ก็ต้องมีร่องรอยหิมะบ้างนะเ้าคะ”
กู้เจิงครุ่นคิด ยามที่เสิ่นเยี่ยนกลับมาเมื่อคืน บนไหล่มีหิมะเกาะอยู่จริงๆ และในตอนนั้นนางก็ได้ถามเขาว่าข้างนอกหิมะตกหรือ? และเขาก็ตอบว่า ‘หิมะตกแต่ไม่ได้หนักมากนัก’ และยังบอกอีกว่า ‘เขาได้ไปพูดคุยกับเหล่าสหายที่ค่ายทหารมา’
ถ้าหิมะไม่ได้ตก แล้วเหตุใดเสิ่นเยี่ยนถึงได้โกหกนาง? นางจะถามเขาในตอนเย็นให้ได้
วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มและยังมีหิมะตกอก อากาศจึงเย็นเป็พิเศษ
เมื่อนายบ่าวทั้งสองกลับมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น ชุนหงก็รีบไปจุดเตาถ่านในห้องของคุณหนูเพื่อให้ห้องอุ่นขึ้น หลังจากห้องอุ่นขึ้นแล้ว กู้เจิงก็ถอดเสื้อนอกตัวหนาออก นางลากเอาเก้าอี้มาวางตั้งข้างเตาถ่าน ก่อนจะนั่งลงและเริ่มลงมือปักตุ๊กตาหิมะของนาง ส่วนชุนหงก็นั่งเย็บรองเท้าอยู่ข้างๆ เตรียมไว้ให้คุณหนูของนางในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
“อาเจิง” เสียงของนายหญิงเสิ่นเรียกขึ้นจากด้านนอกห้อง
“เ้าคะท่านแม่” กู้เจิงขานตอบ
ประตูถูกเปิดออก นายหญิงเสิ่นยืนพูดจากนอกห้องว่า “ข้าได้รากผักโขมชุบเต้าหู้เหม็นมาจากบ้านที่จัดงานมงคล นี่เพิ่งทอดเสร็จกลิ่นหอมมากทีเดียว แต่คนที่ไม่เคยกินจะรู้สึกว่ามันเหม็น พวกเ้าอยากจะลองกินไหม?”
เต้าหู้เหม็น? กู้เจิงตาเป็ประกาย “อยากกินเ้าค่ะ”
“กลิ่นมันฉุนมาก คุณหนูอยากกินจริงๆ หรือเ้าคะ?” ชุนหงนั้นไม่ชอบกิน
“อยากสิ ข้าอยากลองกินดู” ไม่ว่าจะเป็ชาติก่อนหรือชาตินี้ ขอเพียงเป็อาหารที่กินได้นางก็อยากจะลิ้มลองทั้งหมด
เต้าหู้เหม็นนี้ นางเคยกินที่มณฑลอวิ๋นหนานและกุ้ยโจว ยังมีที่เมืองฉางซามณฑลหูหนาน และแถบมณฑลเจ้อเจียงด้วย เต้าหู้เหม็นที่นางชอบที่สุดจะเป็ของเจ้อเจียง เต้าหู้ของที่นั่นจะมีผิวสีเหลืองทอง กรอบนอกนุ่มใน เมื่อกัดเข้าไปด้านในจะนุ่มและจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
“งั้นรีบออกมากินในห้องครัวเถอะ” นายหญิงเสิ่นชักชวน
กู้เจิงคิดไม่ถึงว่าเต้าหู้เหม็นของแม่สามีจะคล้ายกับเต้าหู้เหม็นในแถบเจ้อเจียงที่นางชอบ ไม่ว่าจะเป็หน้าตาภายนอกหรือรสชาติก็แทบจะเหมือนกันไปหมด
นายหญิงเสิ่นเอาเต้าหู้เหม็นออกมาเพื่อให้กู้เจิงและชุนหงลองกิน หลังจากนั้นนางก็กลับไปที่บ้านที่จัดงานมงคล
ชุนหงนั้นไม่ชอบกลิ่นของเต้าหู้เหม็นนี้เลย แต่เมื่อนางเห็นกู้เจิงกินอย่างเอร็ดอร่อย นางจึงลองคีบมากินดูนิดหนึ่ง นางรู้สึกว่าเหมือนจะไม่ได้แย่เหมือนที่เคยกินเมื่อก่อน “คุณหนู ท่านว่าเื่เสิ่นมู่ชิงนั่นท่านบุตรเขยกับท่านป้าเสิ่นจะรู้ไหมเ้าคะ?”
“สามีข้าต้องรู้แน่ ส่วนท่านพ่อท่านแม่อาจจะไม่รู้” กู้เจิงคาดเดา “ตอนที่เ้าบอกว่าบ้านของคนผู้นั้นเกิดปัญหาขึ้น เ้ารู้หรือไม่ว่าเื่อะไร?”
ชุนหงส่ายหน้า “ในเมื่อคุณหนูไม่ได้แต่งกับเขา บ่าวก็เลยไม่ได้สืบอะไรต่อเ้าค่ะ”
กู้เจิงไม่ได้อยากรู้เื่เสิ่นมู่ชิงนัก เพียงแต่ตอนนี้คนผู้นั้นดันเป็คนในตระกูลเดียวกับเสิ่นเยี่ยน และนางก็แต่งงานเข้าตระกูลเสิ่นมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเจอเขาเลยสักหน คิดดูแล้ววันหน้าก็คงจะไม่ได้เจอกันบ่อยนัก
“คุณหนู พวกเราต้องกลับจวนไปถามเื่นี้กับนายหญิงไหมเ้าคะ?”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่เื่สำคัญอะไร" บิดาถูกใจคนผู้นั้น เพียงแต่ซู่เหนียงไม่เห็นด้วย หากมิใช่มีเื่ของเสิ่นเยี่ยนเกิดขึ้นกลางคัน นางก็คงถูกท่านพ่อจัดการเื่แต่งงานให้เป็แน่
กู้เจิงนึกถึงท่าทีของคนผู้นั้น เขาน่าจะคิดว่าที่นางไม่แต่งกับเขาเป็เพราะดูแคลนเขากระมัง คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมากเกินไป การอยู่ร่วมกันจะต้องเหนื่อยมากแน่ หลังจากกินเต้าหู้เหม็นชิ้นสุดท้ายหมด กู้เจิงก็ไม่ได้คิดถึงเื่นี้อีก เมื่อทานอาหารกันเสร็จกู้เจิงกับชุนหงก็พากันไปยังบ้านที่จัดงานมงคล
บ้านที่จัดงานมงคลนั้นมีคนมารวมตัวกันอย่างครึกครื้น คนที่มาล้วนเป็คนในตระกูลเสิ่นซึ่งส่วนใหญ่กู้เจิงรู้จักแล้ว พวกเขาแต่ละคนต่างยิ้มทักทายนาง
บรรดาสาวๆ ในตระกูลเสิ่นเมื่อเห็นกู้เจิงต่างก็พากันซุบซิบเสียงดัง “ลูกสะใภ้บ้านเ้าสี่ท้องหรือยัง?”
“เพิ่งแต่งงานมาแค่ไม่กี่เดือน ทั้งสองคนคงยังเขินอายกันอยู่กระมัง” พอได้ฟังคำพูดนี้ หญิงสาวที่อยู่รอบๆ ก็หัวเราะออกมา
กู้เจิงได้ยินแล้วก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรดี
“สตรีอย่างพวกเ้า อย่าถือว่าตัวเองมีลูกแล้วจะเป็คนมีประสบการณ์ อย่าได้พูดจาล้อเลียนแบบนี้ ่นี้แม่นางน้อยคงยังเขินอยู่” ท่านป้าคนหนึ่งพูดขึ้น นางกล่าวอย่างเป็มิตรว่า“ดูท่าทางงามหยดย้อยนี่สิ เห็นแล้วน่าเอ็นดูจริงๆ อย่าอายไปเลย รอเ้าให้กำเนิดลูกแล้ว เ้าก็จะพูดไปเรื่อยเปื่อยเหมือนพวกนางนั่นแหละ”
กู้เจิง “...” ไม่ๆ ต่อให้นางให้กำเนิดลูกแล้ว นางก็จะไม่ทำตัวเหมือนคนพวกนั้นแน่ๆ
-------------------------------------------------------
[1] เจียงหลางสิ้นความสามารถ เปรียบเปรยถึงคนที่มีความรู้ความสามารถ หากไม่หมั่นฝึกฝนหาความรู้ ก็จะมีแต่ถดถอยไม่พัฒนา เหมือนกับขุนนางผู้นามว่า ‘เจียงหลางหรือเจียงเยียน’ เขามีความสามารถในการเขียนบทกวีได้อย่างยอดเยี่ยม จนมีชื่อเสียงและเจริญในหน้าที่การงาน ทว่าต่อมางานเขียนของเขากลับเริ่มถดถอย ผู้คนจึงคาดเดาสาเหตุต่างๆ มากมาย บ้างก็ว่าเขาได้ล่องเรือไปยังวัดริมแม่น้ำ และฝันถึงชายชราคนหนึ่งบอกว่า ได้เก็บพู่กันด้ามหนึ่งไว้ที่เขานานแล้ว จึงมาขอพู่กันคืน หลังจากเขาให้คืนไป พอตื่นขึ้นมา เขาก็ไม่อาจเขียนบทกวีดีๆ ได้อีก ซึ่งแท้จริงแล้วอาจเป็เพราะภายหลังเขาได้ตำแหน่งสูงขึ้น ยุ่งกับหน้าที่การงานจนไม่มีเวลาฝึกเขียนบทความหรือบทกวี นานวันเข้าฝีมือเขาก็ย่ำแย่ลง และไม่อาจเขียนผลงานที่ดีได้เหมือนดังอดีต