อวิ๋นอี้ใช้สายตาเย้ยหยัน มองซูเมี่ยวเออร์ั้แ่หัวจรดเท้า
เมื่อครู่นางบอกว่าอยากจะร่วมมือกับนางหรือ?
ไม่ใช่ว่าอวิ๋นอี้จะดูถูกนาง แต่ด้วยสติปัญญาของซูเมี่ยวเออร์ นางมองการร่วมมือนี้อย่างดีมิได้
“เรามิมีสิ่งใดต้องคุยกัน” นางปฏิเสธและพูดอย่างไร้เยื่อใย “อีกอย่างคือ เ้าเข้าใจผิดแล้ว หว่านฉือมิใช่ศัตรูของข้า นางเพียงแต่งเข้ามาเป็บ้านน้อยเท่านั้น เราเป็พี่น้องกัน”
“อวิ๋นอี้ หยุดเสแสร้งได้แล้ว!” ซูเมี่ยวเออร์สองแขนกอดอก ดูมั่นใจมาก “นางจะมาแย่งบุรุษกับท่าน ท่านยังจะเรียกนางว่าพี่น้องได้อีกหรือ? เหตุใดข้าจึงไม่รู้ว่าท่านใจกว้างเช่นนี้?”
“เรามิได้รู้จักกันดีนี่ เื่ที่เ้าไม่รู้ ยังมีอีกมาก” อวิ๋นอี้อ้อมซ้ายอ้อมขวา ไม่พูดจริงจังสักที
ซูเมี่ยวเออร์กลอกตาขาว “ในเมื่อพี่น้องอย่างพวกท่านเข้ากันได้ดี เหตุใดจึงต้องกลั่นแกล้งกันในพิธียกน้ำชา?”
“นั่นมันเป็เื่ที่เ้าต้องรู้หรือ?" อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว มองดูนางอย่างไม่พอใจ
“พูดสิเพคะว่าจะร่วมมือกับข้าหรือไม่?” ซูเมี่ยวเออร์มองไปรอบๆ เห็นคนใช้เดินไปมา ก็ค่อนข้างวิตก น้ำเสียงดูเร่งเร้า
อวิ๋นอี้พูดสบายๆ ว่า “คุณหนูเป็ผู้รอบรู้มาก ข้าเกรงว่าจะเป็ภาระของเ้า ท่านไปหาผู้อื่นเถิด!"
“ท่านอย่ามาเสแสร้งกับข้า” ซูเมี่ยวเออร์จับคาง ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าตัดสินใจเื่ยากอยู่ แล้วก็พูดอย่างลังเล "ข้าไม่รังเกียจท่าน เราร่วมมือกัน ขับไล่หว่านฉือเถิด”
อวิ๋นอี้หมดคำพูด จะมีคนที่ฟังคำพูดคนไม่ออกได้อย่างไรกัน!
เ้าไม่รังเกียจข้า แต่ข้ารังเกียจเ้าพอใจหรือไม่!
นางทำหน้าบูดบึ้งราวกับซาลาเปา “ไล่หว่านฉือออกไป แล้วให้เ้าเข้าจวนมาน่ะหรือ?”
เมื่อเห็นว่าความคิดตนเองถูกมองออก ซูเมี่ยวเออร์ก็ไม่ปิดบัง พูดยอมรับอย่างไม่กระดากปาก “ใช่แล้วจะทำไมเพคะ? ข้าด้อยกว่าหว่านฉืออย่างไร? นางขี้โรค จะอยู่ได้อีกนานเท่าใดก็ไม่รู้ ครานี้ที่นางวางแผนแต่งเข้าจวนไปก็แสดงให้เห็นว่าจิตใจของนางลึกซึ้งเพียงใด ทั้งมีไทเฮาหนุนหลัง นางแต่งเข้ามาไม่แน่ท่านอาจจะโดนรังแก แต่ข้าไม่เหมือนกัน หากเราร่วมมือกันได้สำเร็จ ข้าแต่งเข้าจวนมา ก็ยังจะเป็เช่นนี้ ข้าจะปฏิบัติต่อท่านราวพี่สาว”
คำพูดดูน่าฟัง เพียงแค่สัญญาลมปากไม่จำเป็ต้องลงทุนกระไร แค่อ้าปากก็ได้แล้ว ผู้ใดเชื่อผู้นั่นแหละที่โง่
อวิ๋นอี้หมดความอดทน นางรู้สึกว่าคนจะโง่หรือเขลาอย่างไรไม่สำคัญ ตราบใดที่พวกเขารู้จักตนเองดี ก็ยังพอจะมีทางรอด
คนที่ป่วยเกินเยียวยาอย่างซูเมี่ยวเออร์เช่นนี้ มิมีทั้งหน้าตา ความสามารถก็มิมี เพียงคนภายนอกพูดกระไรเล็กๆ น้อยๆ ก็คิดไม่ออกว่าตนเองเป็อย่างไร คิดว่าทุกอย่างที่ดีเป็นางไปเสียหมด
หน้าใหญ่มาจากที่ใดกัน!
ดูเหมือนว่าหากไม่พูดให้ชัดเจน นางน่าจะไม่ยอมแพ้แน่ๆ
“ไม่เอาดีกว่า!” อวิ๋นอี้พูด "ข้ามิอยากให้ผู้ใดเข้าจวนมาอีกแล้ว ไม่จำเป็ต้องมีพี่น้องเพิ่มด้วย ขอโทษนะ ข้ายังมีเื่ต้องทำอีก ข้าไปก่อนล่ะ”
นางพูดจบก็เดินหน้ากลับไปที่ห้อง ซูเมี่ยวเออร์ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง โกรธจนริมฝีปากสั่น นางพูดอยู่ด้านหลัง “พระชายาเจ็ด!”
อวิ๋นอี้ไม่หยุดฝีเท้าใดๆ
“อวิ๋นอี้! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ซูเมี่ยวเออร์ทำได้เพียงใช้ไม้สุดท้าย “หากท่านยังเดินไปอีก ข้าจะป่าวประกาศเื่ของท่านกับท่านมหาเสนาบดีลู่ออกไป!”
“หากเ้าทำได้ล่ะก็ ทำไปเลย” อวิ๋นอี้หันกลับมามองนาง “ใช่ครั้งแรกซะเมื่อใดกันที่เ้าพูดกลับดำเป็ขาว มิต้องปรึกษาข้าหรอก จริงสิ ป่าวประกาศไปแล้วอย่าลืมบอกข้านะ ข้าจะได้ดูว่าโลกภายนอกพูดว่ากระไรกัน”
"เ้า เ้า เ้า!"
ทิฐิสูงเสียจริง!
ซูเมี่ยวเออร์เพิ่งจะรู้ว่าอวิ๋นอี้จัดการยากเช่นนี้
แสงแดดส่องผ่านชั้นของใบไม้และเล็ดลอดออกมาจากช่องว่าง ระยิบระยับบนพื้นดินราวกับเงินที่แหลกสลายเป็ประกาย
เป็เวลาเที่ยงวันพอดี ในอากาศมิมีลมเลย
คุยกับอวิ๋นอี้ตั้งนานแต่ก็มิได้ผลตามที่้า ซูเมี่ยวเออร์หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม รู้สึกว่าอากาศร้อนยิ่งขึ้นอีก
นางใช้มือพัด โบกไปมาสองสามครั้ง มีเพียงแค่ลมอ่อนๆ ทำให้คนยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
แววตาของอวิ๋นอี้ก่อนที่จะจากไป จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในใจนาง นางไม่สนใจ หรือคิดว่านางไม่กล้าป่าวประกาศเื่นี้ออกไปกันแน่นะ?
ชีวิตของซูเมี่ยวเออร์ไม่ดีนัก ั้แ่ที่หว่านฉือกลับมา นางก็มิได้ทานอิ่มนอนหลับสักวัน โดยเฉพาะตอนที่รู้ว่าหว่านฉือจะอภิเษกกับหรงซิว ความริษยาของนางก็ยิ่งมากขึ้น ฝันร้ายอยู่ทุกวัน
ไทเฮาไม่โปรดนางแล้ว นางพูดกระไรก็ถูกละเลย ความสามารถที่จำกัดของนางเองไม่สามารถขัดขวางการแต่งงานได้เลย
แม้นางจะฝึกฝนจิตใจมานับครั้งไม่ถ้วน ว่าจะทำลายหว่านฉือและหรงซิว
การมาหาอวิ๋นอี้เป็ผลจากการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อวิ๋นอี้และหว่านฉือก็มีความคับข้องใจต่อกันไม่น้อยไปกว่านาง เดิมนางคิดว่า อวิ๋นอี้จะเห็นด้วยผู้ใดจะคิดว่านางทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้เสียเช่นนั้น
มิได้!
นางมีทางเดียวคืออวิ๋นอี้ นางไม่เห็นด้วย ก็ต้องบีบให้นางยอม!
ซูเมี่ยวเออร์ตัดสินใจแล้ว รอให้งานเลี้ยงสิ้นสุดลง นางจะไปหาคนแพร่ข่าวลือเื่อวิ๋นอี้กับลู่จงเฉิง ถึงตอนนั้นอวิ๋นอี้จะต้องขอร้องให้นางร่วมมือด้วยอย่างแน่นอน!
“ทำเช่นนี้ล่ะ!” นางพูดพึมพำ
“ทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เสียงบุรุษทุ้มลึกที่จู่ๆ ก็แวบเข้ามาในหูของนาง มิมีอารมณ์หรือความอบอุ่นใดๆ ทำเอานางใแทบแย่
ซูเมี่ยวเออร์หันหน้าไปมอง ก็เห็นสีหน้าอันหล่อเหลาของลู่จงเฉิงที่มองไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ ราวกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ เสียเช่นนั้น หน้าผากของนางเหงื่อออกขึ้นทันใด “ท่าน...ท่านมหาเสนาบดีลู่...”
“คุณหนูซู ข้ามีเื่จะคุยด้วยพ่ะย่ะค่ะ หลังงานเลี้ยง ขอเชิญที่จวนเสนาบดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่น...” ซูเมี่ยวเออร์ไม่คุ้นเคยกับลู่จงเฉิงเสียหน่อย นางไม่อยากไปสักนิด จึงหาข้ออ้างปฏิเสธว่า “ข้ายังมีเื่ที่ต้องทำเ้าค่ะ เกรงว่าจะไม่...”
ลู่จงเฉิงไม่ฟังคำพูดนาง เพียงพูดต่อเองว่า "ถึงเวลาข้าจะให้คนมาเชิญนะพ่ะย่ะค่ะ หากคุณหนูให้ความร่วมมือ ก็จะลำบากน้อยลง”
ซูเมี่ยวเออร์ถูกข่มอย่างอยู่หมัด
นางไม่อยากเชื่อเลยว่า อัครมหาเสนาบดีขวาลู่ที่เป็คนไม่ค่อยพูดนี้ จะสร้างบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวได้เช่นนี้...
งานเลี้ยงดำเนินไปจนบ่ายแก่ๆ แขกที่อยู่ที่จวนส่วนใหญ่ก็ล้วนดื่มกันจนมอมเมา หรงซิวใช้ให้คนรับใช้ในจวนคอยปรนนิบัติพวกเขาเป็พิเศษ
แขกคนที่ยังได้สติอยู่ก็ถูกคนใช้พยุงขึ้นรถม้าไป แยกย้ายกันกลับจวน
ส่วนพวกที่เมาจนมิได้สติ ก็ถูกพาไปที่ห้องรองรับ ให้พวกเขานอนพักผ่อนกัน
หลังจากที่จัดการกับแเื่ได้อย่างเรียบร้อยแล้ว หรงซิวถึงจะมีโอกาสได้พักผ่อนเสียที
เขาเหลือบมองไปรอบๆ ก็ไม่พบอวิ๋นอี้ จึงโบกมือให้ยาชิงแล้วถามว่า "พระชายาเล่า?"
"หลังจากกลับไปที่ห้องั้แ่เที่ยง ก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ"
หรงซิวเลิกคิ้ว “นางทานข้าวรึยัง?”
“เซียงเหอจัดอาหารส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าทานไปเพียงไม่กี่คำ”
“เพียงไม่กี่คำหรือ?” หรงซิวอารมณ์เสียเล็กน้อย “นางจะทำกระไรกันแน่?”
ยาชิงไม่กล้าพูดมากจึงก้มหัวลง มองดูท่าทีของเขา หรงซิวเหลือบตาเล็กน้อย สั่งให้เขาไปส่งแขก แล้วก็เดินไปที่เรือนหลัง
หรงซิวมองไปทางด้านหน้า ชำเลืองมองเขาอย่างเ็า และสั่งให้ไล่แขกออกไป ส่วนตนเองก็ตรงไปที่สวนหลัง
แดดยามบ่ายไม่ร้อนแรงอีกต่อไป เพลาลงเล็กน้อย แสงอบอุ่นบนชายคาสีเหลือง บนเสาสีแดงสด ดอกไม้ในลานก็งดงาม แข่งกันเบ่งบานเผยความงาม ่เวลายาวนานและสบาย
หรงซิวมิมีจิตใจจะชมทิวทัศน์ ฝีเท้าเขาเดินอย่างรวดเร็วจนเกิดลม เมื่อถึงประตูห้อง ก็รีบหยุดแล้วยืนนิ่ง
เขาฟังการเคลื่อนไหวจากภายในก่อน ดูเหมือนจะมิมีเสียงใด จากนั้นจึงค่อยๆ กระแอมเบาๆ แล้วพูดว่า “อวิ๋นเออร์? เ้าอยู่ข้างในหรือไม่?”
มิได้คำตอบ เขาก็พูดอีก “เช่นนั้นข้าเข้าไปนะ?”
เขาผลักประตูให้เปิดออกเบาๆ ค่อยๆ ย่องเข้าไปถึงฉากกั้น ก็เห็นสาวน้อยกอดหมอนมองมาทางเขาอย่างง่วงนอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้