เมื่อาครั้งนี้สิ้นสุดลง สิ่งที่ได้มานั้นคือชัยชนะครั้งแรกที่มาพร้อมกับความยากลำบากของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ครั้งนี้ ในที่สุดนางก็ ‘โค่นล้ม’ อาจารย์อวี้ ‘ปีศาจร้าย’ ผู้นี้ได้อย่างคาดไม่ถึง ทำให้ตนได้ลืมตาอ้าปากในชั้นเรียนนี้บ้าง
เมื่อผ่านพ้นาครั้งนี้ไป เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ได้พบมโนธรรมที่เหลืออยู่น้อยนิดของอาจารย์อวี้ นั่นก็คืออาจารย์อวี้ได้ให้วันหยุดกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะอธิบายในภายหลังว่า เพราะตนเหน็ดเหนื่อยเกินไปกับการสอนสั่งนักเรียนหัวทึบอย่างเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทุกวัน หากยังไม่ยอมตนเองหยุดพักเสียบ้าง น่ากลัวว่าคงจะถูกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วบีบคั้นจนตายแน่
แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยังยกคุณงามความดีของวันหยุดที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้มาไว้ที่ตนเองอย่างรู้ตัว ถึงอย่างไรหากวันนี้ไม่ใช่เพราะตนแสดงออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วจะแลกวันหยุดอันดีงามเช่นนี้มาได้อย่างไรกัน?
ทว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดูเหมือนจะดีใจเร็วเกินไป ถึงอย่างไร ขณะที่นางกำลังเก็บกระเป๋าใส่หนังสือใบเล็กด้วยความเบิกบาน และเตรียมพร้อมจะกลับไปเพลิดเพลินกับวันหยุดอยู่นั้น อาจารย์อวี้ก็เรียกนางเอาไว้อีกครั้งราวกับมีเสียงสายฟ้าฟาด
“เยี่ยนอวิ๋นเฟย”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความสุขถึงกับไม่รู้ตัวไปชั่วขณะว่าตนก็คือเยี่ยนอวิ๋นเฟยที่อาจารย์อวี้กำลังเรียก นางยังเกือบจะถามไปว่า ท่านเรียกพี่ชายข้าทำไม?
แต่โชคยังดี สติสัมปชัญญะที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ได้เตือนหัวสมองที่ถูกวันหยุดครอบงำเอาไว้ทัน นางหยุดนิ่งตัวตรงร่างแข็งทื่อ แล้วหันกลับไปแสร้งยิ้มให้กับอาจารย์อวี้ “ท่านอาจารย์อวี้ ท่าน ยังมีธุระอะไรอีกหรือ?”
“อืม มีนิดหน่อย” อาจารย์อวี้คลี่พัดในมือเบาๆ หมุนตัวไปหยุดอยู่ที่โต๊ะด้านข้าง แล้วเผยรอยยิ้มเห็นฟันแปดซี่อย่างได้มาตรฐานให้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่มีสีหน้าดูไม่ดีนัก ท่าทางอย่างที่คิดว่าตนคือชายรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ทำเอาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้สึกประหม่าตามไปด้วย ตาลุงนี่คงไม่ได้จะกลับคำทำไม่รับรู้หรอกนะ!
แต่วันนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็นับว่าทำออกมาได้ไม่เลว จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามต่อหน้าอาจารย์อวี้ แน่นอนว่านางต้องอดกลั้นคำด่าทอที่อัดอั้นอยู่ในอกจนแทบจะะเินั้น ร้อยพันคำพูดให้กลายมาเป็รอยยิ้มเจื่อนๆ ที่ปลอมจนไม่รู้จะปลอมอย่างไรได้อีก
“เื่ เื่อะไรหรือขอรับ?”
จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน วันนี้อาจารย์อวี้พูดเหมือนกับ… เหมือนกับบีบยาสีฟัน [1] อย่างไรอย่างนั้น ไม่ถามก็ไม่พูด ถามแล้วก็อาจจะไม่พูดด้วย ช่างน่าร้อนใจทั้งน่าหงุดหงิดเสียจริง ถึงอย่างไรเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็อยากจะรีบกลับไปร่วมมื้ออาหารเย็นกับเยวี่ยเจาหราน ‘อาจารย์ผู้มีพระคุณ’ ของนาง
หลังจากลองถามหยั่งเชิงดูแล้ว ระหว่างทั้งสองก็ตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง คราวนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทนไม่ไหวจริงๆ แล้ว ในที่สุดนางก็เอ่ยซ้ำอีกครั้งหนึ่ง “ท่านอาจารย์มีเื่อะไรกันแน่เล่า ท่านอย่ารั้งวันหยุดของข้าได้หรือไม่?”
จริงๆ เลย! จริงๆ เลยเชียว! มันน่าเดือดดาลจริงๆ เลย!
ได้ยินเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถามออกมาเช่นนั้น แม้แต่อาจารย์อวี้ที่ยามปกติจะขึงขังจริงจังก็ยังไม่อาจอดกลั้น เขาขำพรืดออกมา ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะกลั้นยิ้มได้ ก่อนจะเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเสียหน่อย ข้าแค่กลัวว่าวันหยุดของเ้าจะสบายเกินไป จนลืมไปว่าต้องศึกษาเล่าเรียน เมื่อเ้ากลับมาจากวันหยุดแล้ว ให้ท่องกลยุทธ์เปิดและปิดข้อที่สองให้ข้าฟังด้วยล่ะ”
บ้าเอ๊ย นี่มันเื่บ้าบออะไรกันแน่? พูดเสีบดิบดีแล้วว่าเป็วันหยุด เหตุใดจึงยังให้การบ้านในวันหยุดหน้าหนาวอีกล่ะ?! ยิ่งกว่านั้นกลยุทธ์เปิดและปิดข้อที่สองอะไรนั่น ฟังดูท่องยากกว่ากลยุทธ์เปิดและปิดข้อที่หนึ่งเสียอีก
อะไรนะ เ้าถามข้าว่าเหตุใดจึงท่องยากเช่นนั้นหรือ? เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นหัวทึบ ใคร่ครวญอย่างเชื่องช้าว่า สองมากกว่าหนึ่ง เช่นนั้นกลยุทธ์เปิดและปิดข้อที่สองก็ต้องท่องยากกว่ากลยุทธ์เปิดและปิดข้อที่หนึ่งสิ!
พูดตามตรง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังอยากจะพูดอีกสักสองสามคำ ดูว่าจะสามารถผ่อนปรนลดโทษให้ตนได้สักเล็กน้อยหรือไม่ นางจึงเดินปรี่เข้าไปเบื้องหน้าอาจารย์อวี้ คว้าจับท่อนแขนของเขาเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอย่างคนที่ไม่ได้รับความเป็ธรรมปนร่ำไห้ “ท่านอาจารย์อวี้! กลยุทธ์เปิดและปิดข้อที่หนึ่งก็ท่องยากเสียขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้ท่านยังจะให้ข้าท่องกลยุทธ์เปิดและปิดข้อที่สองอีก นี่มันเรียกว่าเป็วันหยุดตรงไหนกัน เป็การลงโทษชัดๆ !”
แขนของอาจารย์อวี้ถูกคว้าจับไว้อย่างกะทันหัน เขาจึงสะดุ้งโหยงขึ้นมา แม้แต่พัดมือก็ร่วงลงกับพื้นส่งเสียงดังตุ้บ ทว่าอาจารย์อวี้นั้นแม้จะตกตะลึงก็ต้องรักษาใบหน้าเอาไว้ให้ได้ เขาอดกลั้นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อันน่ากลัวบนใบหน้าของตน แล้วเอ่ยอย่างเฉยชา “หากเ้าอยากจะหยุดพักผ่อนก็ต้องท่อง เื่นี้ไม่อาจต่อรอง”
“ท่าน~อา~จารย์~อวี้~” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ใช่คนออดอ้อนเก่งมาแต่ไหนแต่ไร หลังจากทำเช่นนั้น ก็ทำให้อาจารย์อวี้แทบอยากจะเอาบทประพันธ์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดเพิ่มเป็การบ้านท้ายคาบให้นางไปเสียเลย หลังจากพ่ายแพ้ในอุบายเล็กๆ ที่ขโมยไก่ไม่ได้แถมยังเสียข้าวสารอีกกำมือไปแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่กล้าต่อปากมากความอีก
“ถ้าเ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะให้เ้าคัดกุ๋ยกู่จือทั้งเล่มให้ข้ารอบหนึ่งดีหรือไม่?”
ไม่ได้การ พูดคุย่สั้นๆ อาจารย์อวี้ก็ออกกระบวนท่าสังหารเสียแล้วหรือ? กุ๋ยกู่จือหนังสือเล่มนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็มีโชคเคยเห็นมาก่อน หากต้องคัดหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด คาดว่าคงได้แต่จุดธูปเซ่นแขนที่คัดหนังสือจนพิการข้างนี้ของนางแล้ว
“ขอรับๆ ท่านอย่าใจร้อน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
เขาว่ากันว่าได้ดีแล้วก็ควรวางมือ แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดจนปากจะฉีกอยู่แล้วยังไม่ได้อะไรดี ตรงกันข้ามนางเกือบจะพาตัวเองรับกรรมไปด้วย นางขมวดคิ้ว ในใจวิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียด ก็รู้ว่ายามนี้ถึงไม่ได้อะไรดีก็ต้องวางมือได้แล้ว หากยังไม่ละมืออีกตนคงต้องซวยจริงๆ แน่!
เหมือนจะช้าแต่ก็เร็วมาก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก้าวอย่างเร่งร้อน รีบวิ่งออกไปข้างนอก ครู่หนึ่งก็ถูกประโยคหนึ่งของอาจารย์อวี้ทำเอาตกอกใอีกครั้ง “รอเดี๋ยว”
แม้ว่าน้ำเสียงของอาจารย์จะไม่ดัง แต่ก็สร้างความกดดันทางจิตใจอันใหญ่หลวงให้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เพียงคำสองคำที่เรียบง่ายเช่นนั้น ก็เพียงพอจะให้นางรีบหยุดฝีเท้าที่ก้าวราวกับขวัญหนีดีฝ่อ แล้วหันหน้ากลับไปอย่างลูกหมา “ท่าน ท่านจะสั่งอันใดหรือ?”
“ช่วยข้าเก็บพัดที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาด้วย”
...
จริงๆ เลยให้ตาย!
ถึงแม้ในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะเหยียดหยามพฤติกรรมเช่นนี้ของอาจารย์อวี้อย่างยิ่ง แต่ใครใช้ให้สิ่งสำคัญของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในตอนนี้ถูกอาจารย์อวี้กุมไว้ในมือกันล่ะ? เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้อีกเล่า ชายชาตรียืดได้หดได้ บอกให้เก็บก็เก็บ!
เมื่อหนีรอดจากอาจารย์อวี้อย่างยากลำบากแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็สะพายกระเป๋าหนังสือใบเล็กของตน วิ่งเหยาะๆ กลับไปยังเรือนเล็กด้วยเสียงหอบฮัก ท่าทางราวกับกำลังรีบมุ่งหน้าไปสู่ชีวิตใหม่...
“เยวี่ยเจา... เยียนหราน...!” เพราะตื่นเต้นดีใจมากเกินไป เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถึงกับเกือบจะเรียกชื่อของเยวี่ยเจาหรานผิดไป โชคดีที่นางอยู่ในอาณาบริเวณของเรือนตน ไม่ได้มีสายตาจับผิดวุ่นวายน่ารำคาญ คิดดูแล้วก็เป็สถานที่ที่ปลอดภัยทีเดียว พูดผิดไปสักสองสามคำ ก็ไม่ได้เป็ปัญหาอะไรมากนัก
เยวี่ยเจาหรานในยามนี้กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในเรือน เพราะไม่ได้มีใครอยู่ข้างๆ ท่าทางการเคลื่อนไหวจึงไม่เหมือน ‘เยวี่ยเยียนหราน’ เลยแม้แต่น้อย เขาเพียงเป็ตัวของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แววตาวาบประกายและหม่นลงอีกครั้ง ด้วยกลัวว่านางจะพาข่าวร้ายอะไรกลับมาอีก
“ลุกลี้ลุกลนนัก หนีอะไรมากัน”
ถึงแม้ปากจะเอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจ แต่เยวี่ยเจาหรานก็วางหนังสือในมือลง แล้วรินน้ำชาให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเต็มถ้วย เมื่อเ้าตัวเข้ามาในเรือน ก็เดินเข้าไปหาด้วยความ ‘บังเอิญ’ อย่างยิ่ง และยังจะวาดงูเติมขา [2] พูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ชาดีถ้วยหนึ่ง รินได้ไม่ถูกเวลา เช่นนั้นยกให้เ้าก็แล้วกัน”
ขณะพูดหางตาก็ยกยิ้ม ราวกับดอกท้อบนยอดไม้ที่ค่อยๆ ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ผลิ
เชิงอรรถ
[1] บีบยาสีฟัน (挤牙膏) หมายถึงบีบคั้นให้พูดความจริง บีบครั้งหนึ่งก็ค่อยพูดครั้งหนึ่ง
[2] วาดงูเติมขา (画蛇添足) หมายถึงการพูดหรือทำอะไรที่มากเกินจำเป็ เกินพอดี จนอาจทำให้เื่ที่ดำเนินไปอย่างดีอยู่แล้วแย่ลง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้