ซูิเยว่เบิกตากว้างเล็กน้อยแล้วมองสตรีผู้นั้นอย่างใ
ฉินหว่านที่สตรีผู้นั้นเรียกไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็ชื่อของมารดาซูิเยว่ เพียงแต่เหตุใดสตรีนางนี้ถึงได้รู้ชื่อของมารดาของตนกัน ในตอนนั้นนางใมาก ระหว่างที่กำลังในั้นสตรีผู้นั้นก็มาคว้าแขนนางไว้
นางกำนัลด้านหลังก็เข้ามาดึงสตรีผู้นั้นถอยไปด้านหลัง แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็จับแขนซูิเยว่ไม่ปล่อย ปากก็ร้องเรียก “ฉินหว่าน ฉินหว่าน ในที่สุดข้าก็หาเ้าเจอแล้ว”
ซูิเยว่เองก็ลืมที่จะสะบัดออก นางมองสตรีเสียสติตรงหน้านิ่งค้าง
“ฉินหว่าน ฉินหว่าน” สตรีผู้นั้นร้องเรียกชื่อนี้ซ้ำๆ แล้วหัวเราะทุกข์ใจออกมา “ฉินหว่าน ในที่สุดข้าก็หาเ้าเจอแล้ว”
ซูิเยว่มองใบหน้าของสตรีผู้นั้นที่อยู่ใกล้แค่คืบ เมื่อมองในระยะใกล้อย่างละเอียด นางถึงได้รู้สึกว่าดวงตาของสตรีเสียสติผู้นี้ดูคุ้นเคยเล็กน้อย แต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ในที่สุดเวินเยว่ก็ตั้งสติได้แล้วสั่งเสียงเย็น “เร็วเข้า รีบไปดึงนางออกมา”
การเคลื่อนไหวนั้นวุ่นวายมาก เพียงครู่เดียวก็ทำให้คนในตำหนักโยวหลันใ แต่เพียงพริบตาเดียวภายในตำหนักโยวหลันก็มีเมอเมอหลายคนพุ่งออกมา จากนั้นก็ลากสตรีเสียสติคนนั้นออกไป
เมื่อถูกดึงออกมานางก็พยายามดิ้นสุดชีวิต นางมองซูิเยว่แล้วะโร้องไห้ “ฉินหว่าน ฉินหว่านของข้า พวกเ้าปล่อยข้านะ”
ต่อมานางก็ถูกคนพวกนั้นหามออกไป เสียงร้องไห้โวยวายก็ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ตามการลาก
“ขอโทษด้วยนะแม่นาง สมองของนางไม่ค่อยจะปกติ” แม่นมคนนั้นยิ้มแล้วขอโทษซูิเยว่ ทั้งยังทำความเคารพเวินเยว่ก่อนจะจากไป ประตูของตำหนักโยวหลันก็ปิดลงต่อหน้าซูิเยว่ ทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
แต่หัวใจของซูิเยว่สงบไม่ลง ภาพเมื่อครู่ยังคงวนอยู่ในหัวของนาง ปากที่ร้องเรียกชื่อไม่หยุด รวมถึงสายตาของนาง ล้วนทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือนจนมองอะไรไม่เห็น
“คุณหนูซู ไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?” จู่ๆ เวินเยว่ก็มาพูดเสียงเบาข้างนาง “เป็ความผิดพลาดของเปิ่นกงเองที่ทำให้เ้าใ”
ซูิเยว่พอได้สติกลับมาก็มองเวินเยว่พลางส่ายหน้า ใบหน้าของเวินเยว่นอกจากความกังวลแล้วก็ไม่มีสีหน้าอื่นอีก ดูแล้วคงจะรู้เื่ของสตรีเสียสติคนนั้นจริงๆ
“ข้าไม่เป็อะไรเพคะ เหนียงเหนียง”
“หากไม่เป็อะไรแล้วก็เดินต่อกันเถิด ใกล้จะถึงแล้ว”
เวินเยว่พูดจบก็หมุนตัวเดินต่อไป ซูิเยว่เดินตามหลังนาง ความสงสัยในใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนอดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ “เหนียงเหนียง สตรี...คนเมื่อครู่เป็ใครหรือเพคะ เป็เฟยจื่อของฮ่องเต้หรือ?”
“ไม่ใช่หรอก” เวินเยว่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจน้อยๆ “นางไม่ใช่เฟยจื่อของฮ่องเต้ เปิ่นกงเองก็ไม่รู้ว่านางคือใคร เพียงแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนฮ่องเต้ได้พานางมาขังไว้ที่นี่ พวกเราเองก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของนาง ปกติแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรมาก”
ซูิเยว่ขมวดคิ้ว ไม่ใช่เฟยจื่อแล้วเป็ใครกัน “นางเป็แบบนั้นมาตลอดเลยหรือเพคะ?”
เมื่อครู่นางได้สังเกตสภาพจิตใจของสตรีผู้นั้นใกล้ๆ ปกติแล้วอาการเช่นนี้ล้วนเป็เพราะในอดีตเจอเื่กระทบกระเทือนจิตใจหรืออาจเป็เพราะเหตุผลอื่นทำให้จิตใจเลอะเลือน
เวินเยว่พยักหน้า “ั้แ่เปิ่นกงเจอนาง นางก็เป็เช่นนี้แล้ว ส่วนก่อนหน้านี้ปกติหรือไม่นั้น เปิ่นกงเองก็ไม่รู้”
ซูิเยว่พยักหน้า ดูเหมือนว่าในวังจะมีความลับมากมายที่ไม่มีใครรู้ “เหนียงเหนียง” นางก็ถามคำถามสุดท้ายออกมาอีก ทั้งยังเป็สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุด “เหตุใดสตรีเมื่อครู่ถึงได้เรียกชื่อมารดาของหม่อมฉันเพคะ?”
ฝีเท้าของเวินเยว่ชะงักไปอย่างชัดเจน แต่เพิ่งครู่เดียวก็กลับมาเป็ปกติ สีหน้าไม่มีอะไรผิดปกติ นางตอบกลับเสียงเรียบ “เปิ่นกงเองก็ไม่รู้ แต่ก่อนมารดาของเ้ามาที่วังบ่อยๆ บางทีคงถูกเจอเข้าละมั้ง เ้ากับแม่ของเ้าหน้าตาคล้ายกันแปดส่วน หากใครไม่รู้จักเ้าแล้วได้มาเจอเ้าในตอนนี้ก็คงคิดว่าเป็มารดาของเ้า”
“จริงหรือเพคะ” ซูิเยว่ฟังเวินเยว่พูดจนจบ
น้ำเสียงที่ใช้ตอนกล่าวคำพูดนั้นของเวินเยว่ฟังดูแข็งมาก อีกทั้งนางยังพบว่าตอนที่เวินเยว่พูดออกมา มือที่วางทับกันบนหน้าท้องก็บีบเข้าหากันแน่น
ชัดเจนมากว่ากำลังโกหก ซูิเยว่รู้ว่าเวินเยว่จะต้องรู้อะไรแน่นอนแล้วปกปิดนาง ส่วนเพราะอะไรถึงปกปิดนั้น นางเองก็ไม่รู้
เื่พวกนี้ในตอนนี้ก็เหมือนก้อนเมฆแห่งความสงสัยมาปกคลุมตรงหน้านาง
ระหว่างพูดคุยกันพวกนางก็มาถึงวังมู่หว่านของเวินเยว่ หลังจากนั้นภายในวังมู่หว่าน เวินเยว่ก็ลากซูิเยว่มาพูดคุยเื่เก่าๆ เล่าเื่เกี่ยวกับมารดาของซูิเยว่ให้ฟัง สุดท้ายยังชวนนางมาทานอาหารเที่ยงด้วยกันอีก
ซูิเยว่ทูลลาเวินเยว่แล้วออกจากวังมู่หวานก็ตอนบ่ายคล้อยแล้ว นางเข้าวังมาั้แ่เช้า ถึงตอนนี้ก็เลยเวลาสองชั่วยามแล้ว
เวินเยว่จะไปส่งนางแต่ถูกนางปฏิเสธพร้อมคำขอบคุณ จากวังมู่หวานไปทางออกวังนั้นใกล้มาก เส้นทางนางเองก็รู้
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ที่จวนสกุลซู หลังจากซูิเยว่เข้าวังไป เสี่ยวอวี่ก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางเดินวนไปมาอยู่ในเรือน ถึงนางจะร้อนใจแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นางเป็แค่สาวใช้ต่ำต้อยคนหนึ่ง จะไปทำอะไรได้
เวลาที่รอนั้นผ่านไปยาวนานเป็พิเศษ ทุกๆ ครั้งที่เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวอวี่ก็จะไปดูที่หน้าประตูว่าซูิเยว่กลับมาแล้วหรือยัง แต่ทุกครั้งก็มีแต่ความผิดหวัง
ซูิเยว่บอกว่าไปสองชั่วยามแล้วจะกลับ ตอนนี้จะสองชั่วยามแล้ว แต่ด้านนอกจวนยังเงียบอยู่เลย
เสี่ยวอวี่รออยู่ครู่หนึ่งจนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว นางจึงทำตามที่ซูิเยว่ได้สั่งการเอาไว้ นางไปหาแผ่นป้ายใต้หมอน
คุณหนูบอกไว้ว่า หากนางไม่กลับมาภายในสองชั่วยามก็ให้นำแผ่นป้ายนี้ไปหาองค์ชายสาม เสี่ยวอวี่หยิบแผ่นป้ายขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วใส่เข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นก็ออกจากประตูหลังจวนสกุลซู
ถึงแม้ด้านนอกจะลือกันว่าองค์ชายสามมีนิสัยเ็าและอยู่ร่วมด้วยยาก แต่ในเวลาแบบนี้เสี่ยวอวี่ก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
พอออกมาจากจวนนางก็จ้างรถม้าหนึ่งคันแล้วเดินทางไปยังจวนองค์ชายสาม จากนั้นก็ลงรถม้าตรงที่ที่ไม่ไกลจากจวนองค์ชายสามมากนัก
นี่เป็ครั้งแรกที่นางมาที่จวนองค์ชายสาม ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ซูิเยว่มาที่นี่ก็ไม่เคยพานางมาด้วยเลย
เสี่ยวอวี่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไป องครักษ์ตรงหน้าประตูขวางนางเอาไว้อย่างที่คิด “หยุดก่อน เ้าเป็ใคร?”
เสี่ยวอวี่รักษาท่าทางนิ่งสงบเอาไว้แล้วล้วงป้ายแผ่นนั้นออกมาจากอก “ข้ามีเื่จะพบกับองค์ชายของพวกเ้า”
องครักษ์พวกนั้นเห็นป้ายแผ่นนี้ สีหน้าก็จริงจังขึ้นมา พวกเขาทำความเคารพแล้วเปิดทางให้ “เช่นนั้นเชิญตามข้ามา”
เสี่ยวอวี่พยักหน้าแล้วเดินตามหลังองครักษ์คนนั้น เดินผ่านทางเดินคดเคี้ยว ในที่สุดก็ไปถึงเรือนหลังที่จี๋โม่หานอยู่
ด้านหน้าประตูเรือนของจี๋โม่หาน หลิงชวนกับจื๋อหลันยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้น พอเห็นองครักษ์พาสาวใช้คนหนึ่งมาก็ขมวดคิ้วทันที
จนกระทั่งนางคนนั้นเดินเข้ามาใกล้หลิงชวนถึงได้จำได้ สาวใช้คนนั้นเขาไม่รู้ว่าชื่ออะไร แต่เขาเคยเห็นนางอยู่กับซูิเยว่ตลอด เหมือนจะเป็สาวใช้ข้างกายของซูิเยว่
องครักษ์คนนั้นรายงานหลิงชวน “ใต้เท้า แม่นางคนนี้นำแผ่นป้ายของท่านอ๋องมาบอกว่ามีเื่สำคัญจะพบท่านอ๋องขอรับ”
หลิงชวนขมวดคิ้วพยักหน้า “เอาล่ะ เ้าไปได้แล้ว”