“เ้าเป็นักหลอมโอสถขั้นสองแล้วงั้นหรือ?” จ้าวเจินถามอย่างฉงน
“ตอนนี้ข้าอยากลองเอาหญ้าเซียนขั้นสองไปหลอมดู อีกสามวันก็ต้องทดสอบแล้ว ข้ากลัวว่าจะไม่ทัน” โหยวเสี่ยวโม่เนียนพูดโกหกไป
เขาก็เลือกไม่ได้ เพราะจากที่ทุกคนรู้เขายังเป็แค่นักหลอมโอสถขั้นหนึ่งอยู่หากอีกสามวันจู่ๆ เขาก็กลายเป็นักหลอมโอสถขั้นสอง คงต้องถูกสงสัยแน่นอน
ดังนั้นตอนนี้เขาต้องเริ่มฝึกหลอมยาเซียนตันขั้นสองต่อหน้าผู้อื่น การทดสอบในอีกสามวันถึงจะสมบูรณ์แบบ ถึงตอนนั้นแม้เขาจะผ่านแล้ว ก็พูดได้ว่าเป็โชคดีหรือบังเอิญอะไรเทือกนั้น
จ้าวเจินเองก็รู้เื่นี้ อันที่จริงเขาคิดมาก่อนหน้านี้แล้ว
เขาคือคนที่รู้จักกับโหยวเสี่ยวโม่เป็คนแรกๆ รู้ว่าเด็กคนนี้เป็คนขยันหมั่นเพียร ดังนั้นจึงหวังว่าเขาจะผ่านการทดสอบได้ ไม่งั้นคนที่ขายหน้าก็คงเป็เขาและทัพพิภพ
แต่ครึ่งปีแล้ว ยังไม่เห็นเขามารับหญ้าเซียนขั้นสอง ไม่กี่วันก่อนยังได้ข่าวว่าเขาเก็บตัวอยู่ เขาเองก็เริ่มวิตก เก็บตัวอย่างเดียวจะทำให้หลอมยาขั้นสอง แล้วเป็นักหลอมโอสถได้หรือไง? ปรากฏว่าหลายวันต่อมาเขาก็ออกมาจนได้ แถมยังมาขอหญ้าเซียนขั้นสอง
“ศิษย์พี่ใหญ่เ้าน่าจะเคยบอกว่าหญ้าเซียนขั้นสองต่างจากขั้นหนึ่ง ไม่สามารถขอตามใจได้”
จ้าวเจินเอ่ยกับเขาอย่างเป็การเป็งาน เื่พวกนี้นั้นแม้กระทั่งลูกชายเขา จ้าวต๋าตัน ก็ไม่ได้รับยกเว้น แต่ด้วยหน้าที่ความเป็พ่อ นั่นก็คือให้โอกาสเขาและคว้าโอกาสนั้นเอง ลูกชายนั้นแม้บางคราจะฝีมือตกบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำให้พ่อผิดหวัง
“ขอรับ ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่ารับได้จำนวนจำกัดต่อวัน” โหยวเสี่ยวโม่พยักหน้าแล้วตอบ
จ้าวเจินเอ่ยต่อ “ตอนนี้ข้าจะบอกอย่างชัดเจนก่อน การเพาะปลูกหญ้าเซียนขั้นสองนั้นใช้เวลานานกว่าขั้นหนึ่ง และไม่ง่ายเหมือนขั้นหนึ่ง ดังนั้นจึงมีปริมาณจำกัด ดังนั้นจึงต้องจำกัดจำนวน ข้อนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์นอกเหนือจากนี้ เมื่อก่อนศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองเ้าก็เช่นกัน หากเ้าเป็นักหลอมโอสถขั้นสองแล้ว อีกหน่อยเ้าสามารถขอในปริมาณสิบเม็ดต่อวัน หากเห็นว่าน้อยเกินไป งั้นก็คงต้องพึ่งตัวเ้าเองแล้วล่ะ”
โหยวเสี่ยวโม่ครุ่นคิดพลางเอ่ย “อาจารย์ลุงจ้าว รับของหนึ่งเดือนได้หรือไม่ขอรับ?”
“ได้แน่นอน แต่ถ้าเ้ารับในส่วนของหนึ่งเดือนแล้ว หากอยากได้เพิ่มก็ต้องรอเดือนถัดไป มากสุดได้แค่หนึ่งเดือน เกินกว่านั้นเห็นจะไม่ได้ นอกจากนี้ กฎของขั้นสองคล้ายกับขั้นหนึ่ง ซึ่งก็คือต้องส่งคืนกลับมาครึ่งหนึ่ง” จ้าวเจินกล่าว
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ขอบคุณอาจารย์ลุงจ้าว” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยอย่างดีใจ
“ตอนนี้เ้าอยากได้เท่าไหร่?” เมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจจึงถามอีกรอบเพื่อความแน่ใจ
“หนึ่งเดือน ข้า้าส่วนของยาเซียนตันสิบห้าชนิด” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยอย่างไม่ลังเล ก่อนหน้านี้ที่รับหญ้าเซียนขั้นหนึ่งก็เหมือนกัน
จ้าวเจินไม่แปลกใจ พลันบันทึกจำนวนหนึ่งเดือนให้เขา
ยาเซียนตันสิบเม็ดต่อวันก็เท่ากับหญ้าเซียนสามสิบต้น หนึ่งเดือนก็เป็เก้าร้อยต้น จำนวนนี้เทียบกับหญ้าเซียนขั้นหนึ่งนับว่าไม่มาก แต่หากมีศิษย์คนอื่นเพิ่มมาสักคน ก็เป็ปริมาณที่ไม่น้อยทีเดียว
โหยวเสี่ยวโม่รับหญ้าเซียนเก้าร้อยต้นกลับห้องอย่างง่ายดาย
เมื่อกลับถึงห้อง เขาหยิบหญ้าเซียนหลายต้นขึ้นมาดู เหมือนที่เขาคิดไว้ไม่ผิดล้วนเป็หญ้าเซียนระดับล่าง และคุณภาพต่ำ มีเพียงหญ้าเซียนจำพวกนี้ที่ยกให้แก่ศิษย์เพื่อใช้สอย ไม่งั้นถ้าต้องใช้ปริมาณเยอะแยะเช่นนี้ทุกเดือน สำนักเทียนซินคงจนเสียก่อน
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกเห็นใจสำนักเทียนซินขึ้นมา อันที่จริงทางสำนักเองมีศิษย์มากมายที่ต้องเลี้ยงดู จึงตึงมือพอสมควร ไม่แปลกที่ต้องมีแขนงการค้าขายมาช่วยหาเงิน
เวลาสามวัน ไม่ช้าเกินไม่เร็วเกิน
ทว่าโหยวเสี่ยวโม่ครั้งนี้ไม่ได้ปิดห้องหลอมยา หากแต่ไปหาฟางเฉินเล่อแทน
แม้ว่าการหลอมยานี้ล้วนเป็การคลำทางจากการค้นหาในตำราด้วยตัวเอง แต่ถึงจะอัจฉริยะแค่ไหน ก็ไม่สามารถพึ่งแค่ตัวเองได้ ดังนั้นจึงตั้งใจไปสอบถามจากศิษย์พี่ใหญ่ อย่างน้อยก็เป็การแสดงละคร อีกอย่างศิษย์ข้างห้องบอกว่าศิษย์พี่ใหญ่ฝากบอกให้เขาไปหาหลังออกจากเก็บตัว
ฟางเฉินเล่อดีใจมากกับการมาหาของโหยวเสี่ยวโม่ หากไม่ใช่เพราะ่นี้ยุ่ง เขาเองก็อยากไปหาโหยวเสี่ยวโม่อีก
“ศิษย์น้องเล็ก ในที่สุดเ้าก็ยอมออกมาเสียที ปล่อยให้ศิษย์พี่ใหญ่รอเสียนาน”
ฟางเฉินเล่อเดินไปหาเขา ทนไม่ไหวลูบหัวเขา เห็นเขาสภาพสมบูรณ์แก้มแดงมีเืฝาด เขารู้สึกชินแล้ว แม้บางคนจะรู้สึกแปลกใจก็ตาม
โหยวเสี่ยวโม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่มีเื่มากมายอยากคุยกับตัวเอง จึงเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีเื่จะบอกท่าน”
“ดูจากท่าทางเ้า น่าจะเป็เื่ดี หรือว่าเ้าเป็นักหลอมโอสถขั้นสองแล้ว?” ฟางเฉินเล่อมองเขาท่าทางจริงจัง พลันคาดเดาสิ่งที่น่าจะเป็
โหยวเสี่ยวโม่มองเขาท่าทีเอะใจ “ท่านรู้ได้ยังไง?” เขายังไม่ทันพูดเลย!
ฟางเฉินเล่อจ้องท่าทีตะลึงของเขา ยิ้มอ่อนโยนแล้วเอ่ย “เมื่อครู่ข้าเจอกับศิษย์พี่รองของเ้า เขาบอกว่าเ้าออกจากเก็บตัวแล้ว อีกสามวันต้องทดสอบ แล้วตอนนี้เห็นท่าทีดีใจของเ้า ก็เลยเดาว่าน่าจะเพราะเหตุผลนี้”
ศิษย์พี่ใหญ่ช่างหลักแหลม โหยวเสี่ยวโม่อุทานในใจ เขารู้สึกว่าคนรอบข้างตัวเขาล้วนแหย่ไม่ได้ ทุกคนต่างดูไม่ธรรมดาเหมือนที่เห็น ช่างดูไม่ออกจริงๆ
หรือเป็เพราะเขาโง่เกินไป ทำให้คนอื่นดูฉลาดหลักแหลมทันตา?
ฟางเฉินเล่ออยากขอบคุณที่โหยวเสี่ยวโม่ยกโอกาสให้เขา จึงตอบคำถามทุกอย่างอย่างละเอียด ยิ่งตอนที่รู้ว่าเขาเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสองแล้ว อีกสามวันต้องเข้าร่วมการทดสอบ จึงกำชับเื่ข้อควรระวังของนักหลอมโอสถขั้นสองรอบหนึ่ง ท้ายสุดยังบอกอีกว่า หากหญ้าเซียนไม่พอใช้ ให้มาเอากับเขาได้เลย
แม้จะรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่มีแปลงหญ้าเซียนของตนเอง แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็ไม่อยากใช้ของเขา เขาเองก็มีปลูกไว้เอง ดังนั้นจึงรู้ว่าการเพาะปลูกนั้นไม่ง่ายเลย
แต่ท่าทีของศิษย์พี่ใหญ่นั้นหนักแน่นมาก โหยวเสี่ยวโม่ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงแสร้งรับปากไป
จากนั้นตลอดทั้งบ่าย โหยวเสี่ยวโม่ก็ใช้เวลาไปกับการสนทนากับฟางเฉินเล่อ
ฟางเฉินเล่อสมแล้วที่เป็นักหลอมโอสถขั้นสี่ เขารู้อะไรมากมายกว่าโหยวเสี่ยวโม่นัก อีกอย่างประสบการณ์โชกโชน หลายครั้งเพียงแค่คำชี้แนะไม่กี่คำก็สามารถคลายข้อสงสัยให้กับโหยวเสี่ยวโม่ได้ทันที อย่างเช่น การใช้พลังปราณิญญา
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยกระจ่างเื่ที่ทำไมถึงสามารถใช้พลังปราณิญญาสลายพลังปราณที่ถ้ำน้ำแข็งได้ แต่ตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
แต่ก่อนเคยมีผู้าุโกล่าวไว้ว่า พลังปราณของนักหลอมโอสถสามารถแผ่กระจายได้กว้าง เช่นเดียวกับความเมตตาของคนเรา ดังนั้นดวงิญญาสามารถรับรู้พลังปราณของดินฟ้าอากาศได้ พลังปราณบริสุทธิ์ที่ดูดซับไว้สามารถใช้งานเช่นนี้ได้ และน้ำแข็งแกะสลักในถ้ำน้ำแข็งก็เกิดจากการประจุตัวของปราณหลอมรวมกันไว้ พลังปราณิญญาที่แผ่ซ่านมาจากดวงิญญาจึงสามารถใช้หั่นหรือละลายได้
นอกจากนี้ นี่เป็เื่ที่ผู้คนต่างรู้กัน จะมีก็เพียงแต่โหยวเสี่ยวโม่ที่พึ่งเข้าวงการนั้นไม่เคยรู้มาก่อน
แต่ลองเปลี่ยนคำพูดอีกแง่หนึ่งก็คือ หมายถึงดวงิญญายิ่งบริสุทธิ์ยิ่งดี
คำพูดทั้งหมดที่กล่าวมา โหยวเสี่ยวโม่ได้ประโยชน์มากกว่าอ่านตำราเองเสียอีก
ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ทำไมอาจารย์อาเยี่ยถึงเป็นักหลอมโอสถที่เพาะปลูกหญ้าเซียนที่เก่งกาจที่สุดของสำนักเทียนซิน เพราะว่าดวงิญญาของเขาบริสุทธิ์มาก กล่าวคือเป็คนที่แบ่งแยกชั่วดีไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ คนแบบเขานั้นเหมาะสมกับการเพาะปลูกหญ้าเซียนที่สุด
“ศิษย์น้องเล็ก เ้าต้องจำไว้อย่างนึง นักหลอมโอสถขั้นสูงไม่ได้แปลว่าจะมีพลังปราณิญญาที่บริสุทธิ์ นี่เกี่ยวเนื่องกับจิตใจของเขาคนนั้นด้วย หากทำจิตใจให้สงบเยือกเย็นได้ ไม่เ้าคิดเ้าแค้นเห็นแก่ได้ ถ้าอย่างงั้นคนแบบนี้แหละที่เป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดกับการเป็นักเพาะหญ้าเซียน แม้เขาคนนั้นจะเป็แค่นักหลอมโอสถขั้นหนึ่งก็ตาม เขาก็มีโอกาสเป็นักเพาะหญ้าเซียนที่เก่งกาจที่สุดได้”
ฟางเฉินเล่อเอ่ยอย่างจริงจัง
นักเพาะหญ้าเซียนเป็อาชีพหนึ่งที่แตกแขนงมาจากนักหลอมโอสถ มีอนาคตที่ดีเหมือนกัน
ต้องทราบก่อนว่า ในดินแดนหลงเสียงนั้น คนที่สามารถเพาะปลูกหญ้าเซียนขั้นสูงได้นั้นในหมื่นคนก็ใช่ว่าจะหาออกมาได้คนหนึ่ง อีกอย่างนักหลอมโอสถส่วนใหญ่นั้นใส่ใจกับการพัฒนาฝีมือการหลอมยาของตัวเองมากกว่า ดังนั้นจึงยิ่งหายาก แต่ถึงหายากก็ใช่ว่าจะไม่มี
มีนักหลอมโอสถบางคนที่ศักยภาพอ่อนด้อย ชาตินี้ก็เป็นักหลอมโอสถขั้นสูงไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกเดินหนทางนักเพาะหญ้าเซียนแทน
ทว่า ดินแดนหลงเสียงก็ยังพอมีอัจฉริยะเ่าั้อยู่ อย่างเช่นด้านการหลอมยาหรือเพาะปลูกหญ้าเซียนต่างก็มียอดคนที่เก่งกาจโดดเด่นอยู่ประปราย เยี่ยหานนั้นก็เป็หนึ่งในยอดคน เขาเป็ถึงนักหลอมโอสถขั้นสูง และยังเป็นักเพาะหญ้าเซียนขั้นสูง นับว่าเป็อัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีหนึ่งคน
ฟางเฉินเล่อเคยบอกความลับนี้กับฝูจื่อหลินเพียงคนเดียว เป้าหมายของเขาที่จริงไม่ใช่อาจารย์ หากแต่เป็อาจารย์อาเยี่ยหาน
เขาอยากเป็เฉกเช่นอาจารย์อาเยี่ยหาน เป็นักหลอมโอสถขั้นสูงและนักเพาะหญ้าเซียนขั้นสูงในคราวเดียวกัน เขาเองก็เพียรพยายามกับเป้าหมายนี้มาตลอด เมื่อเอ่ยถึงเื่ที่ดีใจที่สุด ฟางเฉินเล่อก็พลั้งปากบอกโหยวเสี่ยวโม่ถึงความลับนี้ และขอให้เขาช่วยปกปิดมันไว้ ให้อาจารย์รู้ไม่ได้เด็ดขาด
โหยวเสี่ยวโม่เห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ถึงขั้นบอกความลับที่สำคัญแบบนี้ให้ตัวเอง รีบตอบรับว่าตัวเองจะเก็บเป็ความลับไว้อย่างดี
เมื่อกล่าวลากับฟางเฉินเล่อแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็กลับห้องตัวเอง
อารมณ์ของเขายังคงดีอกดีใจอยู่ นักหลอมโอสถกับนักเพาะหญ้าเซียนขั้นสูง นี่ช่างเป็ความฝันที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน!
เขาเองก็อยากเป็เหมือนศิษย์พี่ใหญ่ที่มีความฝันยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่พอคิดถึงคุณสมบัติของตัวเองแล้ว การเป็นักหลอมโอสถขั้นสูงคงไม่มีหวัง แต่พอคุยกับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ก็เป็การเปิดหน้าต่างบานใหม่ให้กับเขาเลยก็ว่าได้
นั่นก็คือการเป็นักเพาะหญ้าเซียนขั้นสูง!
เขาไตร่ตรองแล้วว่าตัวเองคงไม่มีทางเป็นักหลอมโอสถขั้นสูงได้ ถ้างั้นการเป็นักเพาะหญ้าเซียนขั้นสูงก็คงเป็ตัวเลือกที่ไม่เลว อย่างคำที่ว่า ‘สามร้อยหกสิบหนทาง ทุกหนทางล้วนมียอดคน’ ขอแค่เพียงมุมานะเท่านั้น!
