เพียงแต่...ถ้าไม่ขยับแล้วจะทำอย่างไรต่อ? แอบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ต่อไปรอจนกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายจะใช้งานได้อีก? รอให้เ้าอสูรัใหญ่ร้องคำรามจนเหนื่อยแล้วหันหัวกลับไปนอนเอง? เห็นได้ชัดเจนว่าแต่ละตัวเลือกล้วนไม่ใช่หนทางที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในใจรู้สึกสังหรณ์รางๆ ว่าเ้าัใหญ่รู้แล้วว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ หรือจะพูดให้ถูกจริงๆ คือ ั้แ่ที่พวกเขาโผล่ออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายมันก็รู้ั้แ่ตอนนั้นแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าที่จะเสี่ยงและไม่ควรเสี่ยง! สี่ชีวิตรวมถึงอนาคตของตระกูลเย่ที่รวมอยู่ภายในด้วยยิ่งไม่ควรที่จะเสี่ยง
หนี! แน่นอนว่าเสี่ยง ไม่หนีก็แน่นอนว่าอันตรายเป็อย่างมาก! อารมณ์ความรู้สึกของเย่สือซานและเย่สือชีในตอนนี้ไม่ต่างจากมดที่อยู่บนกระทะน้ำมันร้อนที่ร้อนรนกระวนกระวายเป็อย่างยิ่ง...
“สือซาน! ไปทำการสำรวจหุบเขาทางด้านขวาอย่างละเอียดดูหน่อย”
ในเวลานี้เองเย่ชิงหานที่มองดูเงียบๆ อยู่ข้างๆ เอ่ยปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังแน่วแน่
เย่สือซานและเย่สือชีที่กำลังสับสนทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นหันไปมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ อยากจะฟังว่าเขามีความคิดอะไรดีๆ ที่จะเสนอออกมา ส่วนเย่ชิงอู่ที่แสร้งทำเป็ใจดีสู้เสืออยู่ตลอดก็หันไปมองทางเย่ชิงหานอย่างตื่นเต้นอยากรู้เช่นเดียวกัน จากนั้นหันไปมองหุบเขาทางด้านขวาด้วยความสงสัยอยากที่จะมองหาคำตอบ แต่ก็มองไม่เห็นว่ามีอะไรที่แปลกพิเศษตรงไหน
“เ้าคิดว่าป่ามายาพิศวงแห่งนี้จะมีมารอสูรัอยู่สักกี่ตัวกัน?”
คำพูดของเย่ชิงหานไม่ได้ให้ข้อเสนอใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นเนื้อหาของคำพูดดูจะไม่มีที่มาที่ไปเสียด้วยซ้ำ แต่เย่สือซานที่กำลังคิ้วขมวดอยู่เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้าดวงตาพลันทอประกายแสงขึ้นมาในทันที แสดงสีหน้าอาการตื่นเต้นดีใจรีบพุ่งทะยานออกไปสำรวจหุบเขาทางด้านขวาอย่างละเอียดในทันที
ัตัวนี้เป็มารอสูรระดับแปดคุณภาพขั้นสูง แข็งแกร่งกว่าหมาป่าจันทราสีเงินสองหัวเป็อย่างมาก ภายในงานประลองาระหว่างเขตปกครองของผู้มีพลังฝีมือระดับหัวกะทิในครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมที่มีพลังฝีมือที่สูงที่สุดในตอนนี้อยู่ที่ระดับขั้นที่สามชั้นสูงสุดของขอบเขตจ้าวนักรบ ตัวอย่างเช่น หลงไซ้หนาน ปีศาจงูเพศเมียตัวหนึ่งที่อยู่ข้างกายเยาขาข่า และคนเถื่อนร่างั์ราวกับเสาศิลาใหญ่ใส่เกราะหนังสีทองสองคนที่อยู่ข้างกายหัวโล้นหมันก้าน
พวกเขาที่ถือว่ามีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งเป็อย่างมากนี้กลับไม่ใช่คู่มือของหมาป่าจันทราสีเงินสองหัวแม้แต่น้อย ฉะนั้นจึงยิ่งไม่ใช่คู่มือของั มารอสูรที่แกร่งเช่นนี้ภายในงานประลองย่อมมีไม่มาก หาไม่แล้วละก็งานประลองจะไม่ใช่การต่อสู้ตะลุมบอนกันของทั้งสามเขตปกครองอีกต่อไป แต่จะกลายเป็สามเขตปกครองต่อสู้กับมารอสูรแทน
ดังนั้นความหมายในคำพูดของเย่ชิงหานจึงชัดเจน หุบเขาทางด้านซ้ายจึงน่าจะเป็ัตัวเดียวที่มีอยู่เพียงในหุบเขาัดำเท่านั้น และสถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ก็เป็หุบเขา มันจึงสมเหตุผลว่าที่แห่งนี้คือหุบเขาัดำ แต่เื่พวกนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญอยู่ที่...พวกเย่อีเคยพักหลบภัยอยู่ภายในหุบเขาัดำแห่งนี้เเป็เวลาถึงหนึ่งเดือน! ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือภายในหุบเขาแห่งนี้มีสถานที่ปลอดภัยเพื่อใช้ในการหลบภัยได้ สถานที่แห่งนั้นอยู่ทางด้านขวาของหุบเขา ด้านขวามือของพวกเขานั่นเอง!
เย่สือซานฟังเข้าใจในความหมายและสิ่งที่เย่ชิงหานจะสื่อ ภายในใจแอบเลื่อมใสศรัทธาผู้เป็ความหวังของตระกูลคนนี้อยู่ไม่น้อยที่มีมันสมองที่ชาญฉลาดและไหวพริบปฏิภาณดีกว่าเขามากแม้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ในเวลาเดียวกันก็เริ่มออกกวาดตามองสำรวจหุบเขาทางด้านขวาในทันที
“สือซาน...เกิดอะไรขึ้น?” เย่สือชีรู้สึกแปลกประหลาดใจที่มองเห็นดวงตาที่ทอประกายแสงของเย่สือซาน เขามองไปยังหุบเขาทางด้านขวาอย่างงุนงงสงสัย ที่เห็นก็มีเพียงแค่ต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น แม้เขาจะไม่รู้ว่าเย่ชิงหานและเย่สือซานรู้อะไรมา แต่ก็ััได้จากความตื่นเต้นด้วยความลิงโลดของเย่สือซาน ดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
เย่สือซานยังไม่ได้ตอบคำถามของเขา ดวงตาที่ทอประกายของเขาจับจ้องสำรวจไปที่ด้านขวาของหุบเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนราวกับกำลังชื่นชมร่างของหญิงสาวที่ปราศจากอาภรณ์ปกคลุมใดๆ ฉันนั้น ทำการสำรวจตรวจสอบทุกซอกทุกมุมโดยไม่มองข้ามจุดใดๆ ไปแม้แต่สักแห่ง โดยเฉพาะจุดที่น่าสงสัยและมีความเป็ไปได้ทั้งหลาย
ในที่สุด หลังจากที่กวาดตาออกสำรวจไปสามรอบ เขาพบสถานที่แห่งหนึ่งที่ค่อนข้างมิดชิดและมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย มันคือก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ ด้านหน้าหลังและซ้ายขวาของก้อนหินใหญ่ถูกเครือเถาวัลย์ดึกดำบรรพ์และพงหญ้าปกคลุมเกือบทั้งหมด เพียงแต่ด้านข้างก้อนหินใหญ่มีรอยของคนเคยทำอะไรบางอย่างเอาไว้
“หาเจอแล้ว!” เย่สือซานกำหมัดแน่นด้วยความยินดี จากนั้นหมุนตัวกลับมาแล้วชี้นิ้วไปที่หินใหญ่ก้อนนั้นพร้อมกับพูดบอกเย่สือชี
“สือชี เ้ามองเห็นหินใหญ่ก้อนนั้นหรือไม่? ด้านหลังหินใหญ่ก้อนนั้นมีโพรงถ้ำอยู่ ที่นั่นรับรองได้ว่าปลอดภัย เ้ารีบพานายน้อยหานและคุณหนูอู่เข้าไปข้างใน ข้าจะระวังหลังให้เผื่อมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น จำไว้ว่าอย่าใช้พลังปราณรบเด็ดขาด เสียงฝีเท้าพยายามเดินให้เบาที่สุด”
“ตกลง” เย่สือชีมองดูหินใหญ่ก้อนนั้นอย่างสงสัยใคร่รู้ ดวงตาเปล่งประกายขึ้นเช่นเดียวกัน
สำหรับคำพูดของเย่สือซานเขาไม่มีข้อสงสัยใดๆ ว่าจะเป็จริงหรือไม่ ทั้งสองผ่านอะไรมาด้วยกันมากมายหลายปี หากเย่สือซานบอกว่าด้านหลังมีโพรงถ้ำอยู่ก็ต้องมีจริงๆ และต้องปลอดภัยอย่างมากแน่นอน ดังนั้นเขาไม่พูดอะไรมากพยักหน้าให้เย่สือซาน จากนั้นมือข้างหนึ่งยื่นออกไปจับเย่ชิงหานและอีกข้างจับเย่ชิงอู่พุ่งทะยานออกไปยังหินก้อนนั้นในทันที จังหวะฝีเท้าที่พุ่งทะยานออกไปแ่เบาไม่ได้ทำให้เกิดเสียงดังแต่อย่างใด พลังฝีมือระดับเขาประคองคนสองคนพุ่งทะยานแม้จะไม่ใช้พลังปราณรบก็ยังทำได้สบาย
เย่ชิงหานและเย่ชิงอู่ราวกับสิ่งของที่ถูกคนหิ้วไป แม้จะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวใดๆ ออกมา ถ้าหากพวกเขาทั้งสองโคจรพลังปราณรบอย่างเต็มที่ก็สามารถทำได้สบายและง่ายดายเหมือนกับเย่สือชี แต่หากไม่ใช่พลังปราณรบอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ดังนั้นให้เย่สือชีหิ้วพวกตนเองทั้งสองไปจะเป็การดีที่สุด
เย่สือซานติดตามมาด้านหลัง สมาธิทั้งหมดเพ่งเล็งไปที่หุบเขาทางด้านซ้ายอยู่ตลอด เพื่อระวังเ้าัดำที่จะโผล่มาอย่างกะทันหันจากหุบเขาทางด้านซ้าย เพราะแค่เพียงไฟพลังัที่มันพ่นออกมาอย่างง่ายๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะจบชีวิตของพวกเขาไว้ที่นี่
“โฮกๆ!”
เสียงร้องคำรามของัดังขึ้นภายในหุบเขาอย่างต่อเนื่อง ระยะทางแค่เพียงสั้นๆ แต่ก็ทำเอาทั้งสี่คนเหงื่อชุ่มกันไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงยังก้อนหินใหญ่ ด้านข้างของก้อนหินใหญ่ปรากฏปากโพรงถ้ำที่สูงสองเมตรกว่าและกว้างหนึ่งเมตร ในตอนนี้พอมาถึงพวกเขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ทั้งสี่มุดหายเข้าไปภายในปากโพรงถ้ำที่แห้งแล้งนั้น โพรงถ้ำแห่งนี้ลึกเป็อย่างมากพร้อมกับทางเดินที่ทอดตัวยาวคดเคี้ยวลึกลงไป
พรึบ!
เย่สือซานหยิบคบไฟที่ห่อสัมภาระด้านหลังออกมาจุดส่องสว่างขึ้นแล้วเดินนำทางออกไป ทั้งสี่คนเดินตามทางที่คดเคี้ยวของโพรงถ้ำไปเรื่อยๆ แม้ไม่รู้ว่าสุดปลายทางเบื้องหน้าจะพบเจอกับอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้พวกเขารอดพ้นจากอันตรายใหญ่มาได้แล้ว อารมณ์ไม่ได้ตึงเครียดสีหน้าจึงกลับคืนสู่ปกติราบเรียบดังเดิม
หลังจากเดินตามทางคดเคี้ยวมาได้ราวสิบกว่านาทีพวกเขาพบว่าทางเดินเริ่มค่อยๆ กว้างขึ้นทีละน้อย และยังมีแสงสว่างเลือนรางให้เห็นอยู่เบื้องหน้า พวกเขาเดินตรงไปยังแสงเลือนรางที่เห็นนั้น เพียงชั่วครู่ก็เดินมาจนถึงจุดหมายปลายทาง
สิ่งที่มองเห็นคือถ้ำธรรมชาติที่เป็ลานโล่งขนาดใหญ่ เนื้อที่ครึ่งหนึ่งเป็ผนังหินและอีกครึ่งหนึ่งเป็สระน้ำขนาดเล็ก ผนังถ้ำ้ามีปล่องขนาดเล็กหลายแห่งที่สามารถให้แสงส่องลอดผ่านเข้ามาได้ ด้วยจุดแสงเล็กๆ มากมายที่สาดส่องลงมาจึงทำให้ภายในถ้ำส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา
เมื่อรอดพ้นจากอันตรายมาได้ ทุกคนในตอนนี้รู้สึกราวกับว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะทรุดลงตรงนั้นให้ได้ในทันที ต่างพากันหย่อนก้นนั่งลงบนพื้นด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แม้กระทั่งเย่ชิงอู่เองก็ไม่ได้สนใจต่อภาพลักษณ์ของความเป็กุลสตรีแต่อย่างใด หย่อนก้นทรุดนั่งลงบนแผ่นหินเช่นเดียวกัน เย่สือซานกวาดสายตามองดูร่องรอยภายในถ้ำที่แสดงให้เห็นว่าเคยมีผู้มาพักอาศัยอยู่ก่อนหน้า จากนั้นถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ในหัวนึกถึงการตายที่น่าเวทนาของพวกเย่อี ภายในใจพลันบังเกิดความเศร้าเสียใจและเ็ปขึ้นมา จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยความเ็ปรวดร้าวใจ “ที่นี่คงเป็สถานที่ที่พวกพี่ใหญ่เคยใช้พักหลบซ่อนตัวตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่อยู่ภายในหุบเขาแห่งนี้!”
“เป็เพราะข้าที่ทำให้ทุกคนต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะข้ามันไม่มีความสามารถ! ข้า...เฮ้อ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้