ณ สวนซือหลาน
คุณชายโจวสีหน้าเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าเป็สตรีนางหนึ่งนั่งในรถม้า ทว่าวาจาของนางกลับใสเสนาะดังกังวานชัดเจน ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าเป็คุณหนูตระกูลร่ำรวย
เขาคือบุตรชายของผู้ว่าราชการเมืองหลวงจริงดังว่า หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองหลวงของบิดาตนคงถึงจุดสิ้นสุดเป็แน่
“เกิดเื่อันใดขึ้น?”
เสียงเฉินอี้เหอดังจากเบื้องหน้า ครั้นเห็นรถม้าของเฉินจิ้งเจียถูกคนล้อมไว้ สีหน้าชายหนุ่มเป็อันคร่ำเคร่งทันตา
ตลอดทางการขี่ม้า เขามิได้ขี่เร็วนัก ทว่ายามหันกลับไปเมื่อครู่กลับไม่เห็นรถม้าของเฉินจิ้งเจียตามมาแล้ว ความกังวลผุดขึ้นเต็มทรวงจึงเร่งรีบตามมา คาดไม่ถึงว่าจะเจอเื่เช่นนี้ด้วย
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะท่านพี่ แค่คุณชายบ้านผู้ว่าราชการเมืองหลวงคิดรังแกศิษย์ที่จะไปสอบก็เท่านั้น น้องเห็นแล้วขัดตาจึงบอกกล่าวตามสมควร”
“คุณชายโจว?”
“แม่...แม่ทัพเฉิน...”
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?”
เฉินอี้เหอมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ เหงื่อกาฬผุดซึมเต็มหัวคุณชายโจว แม้นผู้ว่าราชการเมืองหลวงไม่ถือเป็ขุนนางเล็ก แต่ไหนเลยจะกล้าโอหังต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ชายแดนอย่างเฉินอี้เหอผู้นี้?
คุณชายโจวเอี้ยวม้าหันกลับก่อนตะบึงวิ่งไปไกลโดยไม่แม้แต่เอ่ยปากสักคำ
ครั้นเห็นคุณชายโจวจากไปไกล เฉินอี้เหอจึงเบนสายตามองเผยฉางชิงที่ทรุดตัวลงพื้น เขาโน้มตัวลงก่อนยื่นมือไปเบื้องหน้าเผยฉางชิง “ลุกขึ้นได้หรือไม่”
ดวงตาล้ำลึกจ้องมองแววตาอ่อนโยนของเฉินอี้เหอ สีหน้าเผยฉางชิงผ่อนคลายลง ก่อนยืมแรงเฉินอี้เหอหยัดกายยืน
“ขอบคุณท่านแม่ทัพและคุณหนูที่ยื่นมือช่วยขอรับ ข้าน้อยเผยซาบซึ้งยิ่งนักขอรับ”
แม้นทั่วกายเต็มไปด้วยาแและอ่อนแรง ทว่ากลับยากที่จะสั่นคลอนความสุขุมเยือกเย็นของเผยฉางชิงได้ เฉินอี้เหอมองเขาครู่หนึ่งก่อนเผยยิ้มบาง “เ้าไม่เป็ไรก็ดีแล้ว ยังเดินได้อยู่หรือไม่”
ตรงขาของเขามีรอยฝ่าเท้าฝังแน่นหลายรอย ดูแล้วคงถูกกระทืบมา ร่างกายเขาอ่อนแอและได้รับาเ็จริงๆ
“ท่านพี่ ให้เขาขึ้นรถม้าเถิด ถือเสียว่าช่วยเหลือสหายมนุษย์ให้สุดกำลังก็แล้วกัน” เฉินจิ้งเจียเลิกม่านขึ้น แต่กลับสบตาเผยฉางชิง
นางยิ้มบาง ก่อนหดศีรษะกลับเข้าไปขณะเขามึนงง “คุณหนูมีเมตตายิ่งนัก ข้าน้อยเผยรับรู้ด้วยใจแล้วขอรับ”
“มิเป็ไร เ้านั่งนอกรถม้าก็แล้วกัน ได้รับาเ็อย่าได้ฝืนเลย” เฉินอี้เหอมองสภาพชายหนุ่ม พลางส่ายหน้าประคองขึ้นรถม้าด้วยตนเอง “อาศัยไปจนถึงตีนเขาเบื้องหน้าจะมีโรงเตี๊ยมอยู่ เ้าจำต้องพักฟื้นสักครู่”
“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพเฉินขอรับ”
รถม้าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกเดินทางอีกครั้ง เฉินจิ้งเจียนั่งอยู่ด้านใน เผยฉางชิงนั่งด้านนอก มีเพียงม่านผืนหนึ่งกั้นทั้งสองไว้
ในความทรงจำของนาง เผยฉางชิงเป็พวกเล่นลูกไม้ ทว่ายามเปิดม่านสบตาเมื่อครู่นั้นกลับทำให้นางเกิดเสี้ยวความไม่แน่ใจขึ้น
นางไม่คาดคิดว่า บุรุษเ้าแผนการผู้นี้จะอ่อนโยนขนาดนี้
“คุณชายเผยเข้าเมืองหลวงมาสอบคราวนี้ มิทราบว่ามั่นใจหรือไม่” บรรยากาศแสนมาคุ เฉินจิ้งเจียชิงเอ่ยทำลายความเงียบงันอันแสนอึดอัดน่าประหลาดก่อน
เผยฉางชิงที่นั่งด้านนอกลูบรอยช้ำบนแขนเบาๆ คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะถามขึ้นเช่นนี้ “ข้าน้อยเผยทำได้เพียงพยายามให้ถึงที่สุดขอรับ”
เฉินจิ้งเจียพยักหน้า แต่รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องสอบติดอย่างแน่นอน จึงไม่ถามอันใดต่อให้มากความ ว่าแล้วจึงเปลี่ยนบทสนทนา “คุณชายเผย แม้ข้าจะเป็เพียงสตรี มิได้รับรู้ถึงบุญคุณความแค้นระหว่างท่านกับคุณชายโจว ทว่าเหลือเวลาอีกสามเดือนก็เริ่มสอบแล้ว คุณชายเผยจำต้องระวังตัวให้มาก”
เผยฉางชิงอดที่จะหันกายกลับเสียมิได้ แสงตะวันส่องผ่านผ้าม่านพอเห็นเงาสะท้อนเลือนรางภายใน เขาพยักหน้ารับ “ขอบคุณหนูที่คอยเตือนขอรับ ข้าน้อยเผยจะระวังตัว”
รถม้าชะลอตัวหยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมตีนเขา เฉินจิ้งเจียส่งสัญญาณให้หนานจือพกเงินไปด้วย “คุณชายเผย วันนี้นับว่ามีวาสนาต่อกัน เงินเหล่านี้คุณชายเผยโปรดรับไว้เถิด ถือว่าเป็น้ำใจของข้าที่มีต่อคุณชาย หากวันหน้าข้ามีเื่อยากขอความช่วยเหลือ ก็หวังว่าคุณชายเผยจะพอช่วยเหลือได้”
ที่จริงเผยฉางชิงอยากปฏิเสธ ทว่าคำพูดของเฉินจิ้งเจียทำเอาเขาหาเหตุผลในการปฏิเสธไม่ได้ จึงทำได้เพียงรับเอาไว้ “น้ำใจของคุณหนูเฉิน ข้าน้อยเผยจะไม่มีวันลืมขอรับ”
กระทั่งรถม้าวิ่งห่างไปไกล เฉินจิ้งเจียถึงได้เปิดม่านมองข้างหลัง แต่ไม่คาดคิดว่าเผยฉางชิงจะยังคงยืนมองทิศทางที่พวกนางจากไปอย่างเงียบเชียบ
นางรีบปล่อยม่านนั่งตัวตรงทันใด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อครู่เหมือนนางมองเห็นถึงแววตาอันสงบสุขุมของเผยฉางชิง
“คุณหนูใหญ่ ท่านเป็อันใดไปเ้าคะ?” เมื่อเห็นเฉินจิ้งเจียแปลกไป ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงผุดขึ้นกลางอกหนานจือทันใด “ท่านคงมิได้คิดกับคุณชายเผย...”
หนานจือไม่กล้าคิดต่อ จึงลดเสียงต่ำเอ่ยถาม “คุณหนูใหญ่ ท่านเป็ถึงคุณหนูใหญ่แห่งจวนป๋อชางโหว เขาเป็เพียงบัณฑิตยากจนเท่านั้น หากท่านพอใจเขาจริงละก็ เกรงว่านายท่านโหวคงโกรธมากแน่นอนเ้าค่ะ!”
พอใจเขา?
เฉินจิ้งเจียหันขวับมองหนานจือ คำพูดนี้ของนางเหมือนปลุกคนจากภวังค์ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น!
ในเมื่อ้าพึ่งพิงใครสักคน เช่นนั้นเผยฉางชิง ว่าที่ขุนนางชั้นโหวแห่งเมืองอัน ในอนาคตย่อมเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!
“คุณหนูใหญ่ ท่านคงไม่...”
“หนานจือ อย่าได้พูดจาเหลวไหล” เฉินจิ้งเจียเอ่ยเสียงเรียบ
“แต่ท่าน...”
“เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเ้า ข้ามีวิธีการของข้าเอง”
ความคิดเฉินจิ้งเจียเคลื่อนไม่หยุดยั้ง เพียงครู่เดียว ความคิดอันล้ำเลิศหนึ่งพลันผุดขึ้น
ครั้นถึงยามเฉิน[1]สองเค่อ[2] ทั้งขบวนจึงเดินทางถึงวัดอันเหรินในที่สุด เนื่องด้วยเื่ของเผยฉางชิงระหว่างทางทำให้เวลาคลาดไป ยามเฉินจิ้งเจียลงรถม้ามา เหล่าฝูงชนของจวนโหวต่างเข้าพักในเรือนกันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“เจียเอ๋อร์ ทางนี้”
หลังจากเดินตามเณรน้อยเข้าอารามแล้ว เฉินอี้เหอจึงปรี่เข้ามาต้อนรับ “เพิ่งแบ่งเรือนพักกันไป รู้ว่าเ้าไม่ชอบความวุ่นวาย พี่จึงตามหาพื้นที่ที่เงียบสงบให้เ้าเป็พิเศษ มิรู้ว่าเ้าจะชอบหรือไม่”
“ท่านพี่รู้ใจข้ามาั้แ่เด็ก ไม่ต้องดูเจียเอ๋อร์ก็ชอบเ้าค่ะ” เฉินจิ้งเจียอมยิ้ม เดินตามเฉินอี้เหอผ่านป่าไผ่เลียบทางเล็กสู่เรือนหลังน้อย
เงียบสงบจริงๆ ด้วย
แม้นอยู่่ปลายสารทฤดู ทว่าไผ่ในเรือนกลับยังเขียวขจี นอกเรือนมีขุนเขาและลำธารไหลผ่าน บรรเลงเสียงน้ำหยดกระทบผืนน้ำ แม้นห่างจากเรือนป๋อชางโหวและคนอื่นๆ พอสมควร แต่กลับเหมาะแก่การพักผ่อนสงบจิตจริงดังว่า
ครั้นเดินเข้าตัวเรือนห้อง เฉินอี้เหอจึงเอี้ยวตัวกลับมาถาม “เจียเอ๋อร์ เ้าชอบหรือไม่?”
“ชอบมากเ้าค่ะ ท่านพี่ช่างรู้ใจข้าเสียจริง” เฉินจิ้งเจียรินชาใสสองถ้วย ก่อนดันถ้วยชาไปเบื้องหน้าเฉินอี้เหอ “ข้าไม่อยากสนิทสนมกับพวกนางมากนัก ั้แ่ท่านพี่ไปประจำการชายแดนข้าก็อยากอยู่กับท่านแม่เท่านั้น หากแต่...”
“เื่มันผ่านไปแล้ว เจียเอ๋อร์ ในเมื่อเ้าติดใจกับการตายของท่านแม่ เช่นนั้นพี่เองก็จะพยายามตามหาหลักฐานเช่นกัน สักวันข้าจะกระชากหน้ากากคนชั่วที่ฆ่าท่านแม่ออกมาเอง!” เฉินอี้เหอกลืนชาลงคอ กัดฟันกระแทกถ้วยชาลงโต๊ะ “หากหาตัวฆาตกรไม่เจอ ข้าก็ไม่มีวันรามือ!”
------
[1] ยามเฉิน : เวลาเช้า่ 07:00 - 08:59 น.
[2] 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้