"หยกนี้มันพิเศษมาก นอกจากจะหายากแล้ว ยังมีพลังเสริมโชคอีกด้วย"ซางหลางหยิบหยกสีแดงใส่ในมือของไป๋ฮวาบ้าง
ไป๋ฮวามองหยกในมือของเว่ยจิน และซางหลางก่อนจะยิ้มบางๆ
“พวกท่านควรนำมันติดตัวไว้” ไป๋ฮวาส่งหยกคืนทั้งสองคน
"ทำไมล่ะ เ้านี่ใจแข็งชะมัดเลย" เว่ยจินพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ดวงตาของเขาเหมือนจะชวนให้ไป๋ฮวารับเอาหยกชิ้นของเขาไว้
ก่อนที่เธอจะตอบอะไร ซางหลางที่ยืนอยู่ข้างๆก็ไม่รอช้า เขาคว้ามือไป๋ฮวาอย่างอ่อนโยนแล้วยื่นของขวัญอีกชิ้นให้
"ไป๋ฮวาไม่รับหยก ข้าขอให้เ้ารับสิ่งนี้จากข้า" ซางหลางพูดเสียงนุ่มด้วยรอยยิ้มที่สง่างาม เขากำลังถือแหวนเงินฝังอัญมณีสีแดงเข้มอยู่ในมือ
"แหวนวงนี้สามารถเพิ่มพลังใจให้เ้ารู้สึกกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้า"
"นี่ไท่จือท่าน อีกแล้วเหรอ" ไป๋ฮวาถามด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
"มันดีขนาดนั้นท่านเก็บไว้เองสิซางหลาง สำหรับข้าข้าจะไม่ปล่อยให้นางเผชิญอุปสรรคพร้อมกับสิ่งมงคลที่ท่านอ้างว่าช่วยให้นางเผชิญอุปสรรคได้อย่างกล้าหาญแต่ข้าจะอยู่ข้างนางเสมอยามที่ไป๋ฮวาเผชิญอุปสรรค” "เว่ยจินพูดยิ้มๆ
"ข้าจะอยู่เคียงข้างนางเสมอเช่นกันแต่เท่ากับมีเกราะสำหรับคนที่ข้าหมายปองถึงสองชั้น"
เว่ยจินที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
"ซางหลางร้ายจริงๆ เลยข้าเกือบจะแพ้แล้วเชียวแต่คนอย่างเว่ยจินไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ"วางปิ่นปักผมลงบนฝ่ามือของไป๋ฮวา
“เอาสิ่งนี้เลยทีเดียวไม่ต้องพูดมาก เจ็บคอ” ไป๋ฮวาถอนหายใจ
“ข้าไม่อาจรับของสิ่งนี้ไว้ได้ข้าๆๆ”
“พี่สาวท่านก็บอกเว่ยจินไปเลยว่าท่านยังตัดสินใจเลือกใครไม่ได้พวกท่านทั้งสองจะต้องเร่งทำคะแนนเข้าใจไหม” ไป๋อวี้พูดขึ้นยิ้มๆ
" ข้าคิดว่าเ้ากำลังซื้อใจไป๋ฮวาเหมือนซื้อขนมหวานเสียอีก" ซางหลางยิ้มอย่างไม่ยอมแพ้
"แต่ถ้าไป๋ฮวาชอบของขวัญที่มีคุณค่าจริงๆข้าก็ขอแนะนำแหวนวงนี้ให้เ้า"ไป๋ฮวาถอนหายใจยิ้มบางๆ
“เรามาที่นี่เพื่อสอบถามเื่หยกพวกท่านใจเย็นก่อนของที่พวกท่านมอบให้ข้ามัน มีราคาไม่น้อย ไป๋ฮวาไม่บังอาจรับไว้ทั้งหมด”
ซางหลางถอนหายใจ
“แค่เ้ามองข้าบ้าง แล้วมองเว่ยจินแค่หางตาข้าก็ดีใจแล้ว”
ใบหน้าของไป๋ฮวามีรอยยิ้มบางๆ ออกมาแม้ว่าจะไม่ค่อยชอบที่ทั้งสองมาคอยเอาใจตลอดเวลา แต่ลึกๆแล้วไป๋ฮวาก็รู้สึกขอบคุณในความปรารถนาดีของพวกเขา
"ความสนุกนี้...ยังคงเป็แค่การเริ่มต้นข้าอิจฉาพวกท่านจังที่ได้ใช้ชีวิตวัยเด็กด้วยกัน" หญิงอัปลักษณ์ในเงามืดคิดในใจ ขณะหลับตาลงเบาๆเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ในใจ
แต่สำหรับไป๋ฮวา...เธอกำลังมองไปที่พวกเขาทั้งสองด้วยรอยยิ้มละมุน รู้ดีว่าเธอไม่ได้อยู่เพียงลำพังในโลกนี้
จวนอ๋องไร้พ่าย
อ้ายฉิงนั่งอยู่ในห้องหนังสือที่เงียบสงบแสงไฟจากตะเกียงไม้หอมส่องสะท้อนบนผืนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะไม้เก่า ร่างคำสัญญาที่บรรจุข้อความสำคัญกำลังรอให้อ้ายฉิงรับรู้และยอมรับคำมั่นนั้นอีกครั้ง
เหลือบมองกระดาษที่ขยับตามแรงลมจากหน้าต่างที่เปิดเล็กน้อย สายลมเย็นพัดเข้ามามันทำให้หัวใจของอ้ายฉิงเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย คำสัญญานั้นยังคงอยู่ในใจของเสมอ
"ตงเกา...เจียวหยู..." เสียงของอ้ายฉิงพร่าเลือน หญิงสาวเหลือบตามองร่างคำสัญญาที่อยู่ในมือ ทุกคำที่เขียนด้วยหมึกดำบนกระดาษเก่าแก่เสมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ขับเคลื่อนอารมณ์ในใจของเธอได้ทุกครั้งที่เธอคิดถึงมัน
คำสัญญานั้นเป็การผูกพันระหว่างสองสหายที่รักใคร่กันดั่งพี่น้อง
"เจียวหยู บอกข้าเสมอว่าจะกลับมาในที่สุดเ้าสองคนก็จากไปไม่กลับมา...ตงเกาท่านเองก็เช่นกันสินะคงใช้ชีวิตสนุกที่นั่นคิดถึงกันบ้างไหม"
น้ำเสียงของอ้ายฉิงเจือด้วยความหวั่นไหว ไม่ใช่เพียงแค่ความรับผิดชอบที่หนักหนา แต่ยังรวมไปถึงความผูกพันมีต่อคนทั้งสองคนที่ยืนหยัดเคียงข้างอ้ายฉิงในทุก่เวลาของชีวิต
ใน่เวลาเดียวกันนั้น ยังคิดถึงคำสัญญาที่ตงเกาและเจียวหยูให้ไว้คำมั่นสัญญาที่บอกว่าหากมีวันใดที่พระชายาพบกับเื่ที่เป็อันตรายพวกเขาจะกลับมา คำสัญญาเหล่านี้มันไม่ได้เป็เพียงแค่ลายลักษณ์อักษรในกระดาษเช่นจดหมายฉบับนี้เท่านั้น แต่กลับเป็สัญญาที่ผูกพันชีวิตของพวกเขาเข้าด้วยกัน
อ้ายฉิงใช้มือลูบเบาๆ ที่ร่างคำสัญญาก่อนจะยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสามที่ยังคงอบอุ่นและเข้มแข็ง แม้ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
"หากวันหนึ่ง...ไป๋อวี้ต้องเดินไปบนเส้นทางของตัวเอง ข้าจะยังคงรักษาคำสัญญานี้ไว้อยู่เสมอ ให้เขาเดินตามทางที่ข้า้าและตามคำสัญญาที่ให้ไว้ ลูกสาวเ้าบุตรชายข้า ลูกสาวข้าบุตรชายเ้า"
อ้ายฉิงพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ขณะที่สายลมเย็นๆพัดผ่านผ้าม่าน ทำให้กระดาษรอยสัญญายังคงอยู่ตรงนั้นไม่ปลิวไปตามลมเหมือนจะยืนยันคำมั่นสัญญาในใจอีกครั้ง
แม้ว่าจะไม่มีใครอื่นนั่งอยู่ข้างๆ แต่ในใจของอ้ายฉิง เธอรู้ดีว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังจะรักษาคำสัญญานี้ไว้จนถึงที่สุด เพราะมันไม่ใช่แค่คำมั่นในกระดาษ แต่เป็คำสัญญาของรักและความไว้ใจที่ยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด.
ไป๋อวี้นั่งนิ่งอยู่หน้าชานเรือนห้องทำงานของเฉิงอู๋อ๋อง ใต้แสงโคมกระดาษที่ไหวระริก เขาหยิบหยกสองชิ้นขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง หยกหนึ่งมาจากคอของหญิงปริศนาผู้สวมหน้ากากอัปลักษณ์ หยกอีกชิ้น...คือของที่มารดาเขาเคยเก็บไว้อย่างทะนุถนอมและยังพกติดตัวราวกับของมีค่าสำคัญกระนั้น
“รูปรอยตรงมุม…เหมือนกันราวกับถูกเจียระไนจากก้อนเดียวกัน...” เสียงของเขาเบาแ่ ราวกับพูดกับลมหายใจตนเอง
เสียงฝีเท้าแน่นอนดังขึ้นเื้ั ก่อนร่างสูงในชุดคลุมยาวสีครามจะปรากฏร่างสุงนั้นยังองอาจผึงผายไม่เปลี่ยน