เฉินเนี้ยนหรานส่ายหน้า ยักไหล่ไปทางกวนซูเยวียน “เฮ้อ ท่านป้าเ้าคะ เป็ผู้ใหญ่ก็เ็ปเช่นนี้แหละเ้าค่ะ ท่านดูสิ ตอนนี้ก็ลามมาคำนวนกระเป๋าเงินของท่านแล้ว ข้ารู้สึกเ็ปแทนท่านจริงๆ ดูเหมือนว่าั้แ่วันนี้ไป ข้าเองก็ต้องช่วยเก็บเงินแทนเปาจื่อแล้ว ไม่เช่นนั้นต่อไปเขามีลูกน้อยมาอีกคน แถมยังเป็เด็กที่รักเงินไม่รักของขวัญอีก ถ้าข้าไม่มีเงินจะให้เขาขึ้นมาจะทำเช่นไร”
นางพูดไปก็ยังขมวดคิ้วแน่น ราวกับว่ากำลังรำคาญใจเื่ที่ต่อไปลูกน้อย้าเงินจะทำอย่างไรดี ท่าทางของนางทำให้กวนซูเยวียนหัวเราะจนถึงกับหอบ
“ฮ่าๆ…พวกเ้า…ไอ๊หยา แต่ก่อนทำไมข้าไม่คิดว่าพวกเ้าเป็คนตลกกันนะ วันนี้ถือว่าได้รับการสั่งสอนแล้ว แถมยังมีเื่ลูกของเปาจื่ออีก เปาจื่อของพวกเราเพิ่งจะอายุห้าขวบ รอจนถึงเขาแต่งงานก็ต้องรออีกสิบปีเชียว”
สิบปีจะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น จะบอกว่ายาวก็ไม่ยาว
อายุสิบห้าปี ในยุคปัจจุบันยังถือว่าเป็เด็กอยู่เลย แต่ในยุคสมัยนี้กลับต้องแต่งงานเป็พ่อคนแล้ว
คนคนนั้นก็อายุสิบห้าปีเช่นกัน เขาก็ถือว่าเป็บุรุษคนหนึ่งในยุคนี้ที่….ค่อนข้างแต่งงานช้าแล้วกระมัง
จู่ๆ เฉินเนี้ยนหรานก็คิดถึงร่างสูงผู้แสนเ็าขึ้นมาอย่างประหลาด
เขามักจะชอบฝึกกระบี่อยู่ภายในเรือนเพียงคนเดียว ดูแล้วช่างให้ความรู้สึกที่ไม่เป็มิตร เ็าเย่อหยิ่งเป็ที่สุด
ทว่าในความเป็จริงแล้ว เขากลับ…เป็บุรุษที่โหยหาความรักเป็ที่สุด
่เวลาที่ได้หลับนอนร่วมกับเขา นางรู้สึกได้ว่าขอแค่ให้ความรักและความห่วงใยแก่เขา เขาก็จะซาบซึ้งแล้วตอบแทนโลกทั้งใบกลับคืนมา
เขาเป็บุรุษที่ไม่เลว ช่างน่าเสียดายที่นางกับเขา..
“ท่านพี่ ท่านมาช่วยนับหน่อยเถิด ดูว่าพวกเราหาเงินมาได้เท่าไร” ตอนนั้นเองที่น้องหกเ้าเด็กโลภเงิน เอากล่องเงินยื่นมาตรงหน้านางเพื่อให้นางช่วยนับเงิน
พอดึงิญญากลับมาได้ เฉินเนี้ยนหรานก็รับกล่องมานับเงินแต่โดยดี
ได้รับเงินอีแปะมาเป็จำนวนมาก เศษตำลึงมีอยู่แค่สองก้อน
หนึ่งพันอีแปะใส่รวมเป็หนึ่งพวง นับไปนับมาไม่ทันได้รู้ตัวก็ได้ห้าพวงแล้ว
เศษตำลึงอีกสองชิ้น จะอย่างไรก็สามารถเอามาเทียบเป็เงินได้หนึ่งพวง ส่วนเศษอีแปะไม่กี่สิบเหรียญไม่สามารถเอามาร้อยเป็พวงได้
พอเอามานับหักลบรวมกันแล้ว ก็ได้เงินประมาณหกพันเจ็ดสิบห้าอีแปะ
ตัดค่าซื้อแตงโมไป แล้วก็ค่าน้ำตาลที่รวมทั้งหมดเจ็ดร้อยห้าสิบอีแปะ การค้าขายครั้งนี้ได้รายรับเกือบหกพันอีแปะ ซึ่งก็เป็เงิน…ประมาณหกตำลึง
หลังจากนับออกมาชัดเจนแล้ว เฉินเนี้ยนหรานก็ถึงกับอึ้งบื้อไปเลย
กวนซูเยวียนที่อยู่ด้านข้างกวาดตามองเงินบนโต๊ะก็ใไปด้วย แต่มากกว่านั้นคือความชื่นชม คิดไม่ถึงเลยว่าแค่ทำธุรกิจวันเดียว เด็กพวกนี้ก็หาเงินมาได้มากมายขนาดนี้แล้ว คิดถึงหนึ่งเดือนมานี้นางเหนื่อยแทบเป็แทบตายก็ยังหาเงินมาได้แค่ยี่สิบกว่าตำลึง
“ท่านป้า อันนี้ให้ท่าน ถือว่าเป็ค่าเช่าแผงหน้าร้านของท่านเ้าค่ะ” หลังจากนับเสร็จ เฉินเนี้ยนหรานก็เอาเงินสองตำลึงยัดเข้าไปในมือของกวนซูเยวียน ไม่รอให้นางโกรธ เฉินเนี้ยนหรานก็รีบอธิบาย “ท่านป้าสะใภ้ ข้ารู้ พวกเราเป็ญาติกัน ท่านเองก็มองข้าเป็เหมือนลูกสาว แต่ไม่ว่าอย่างไร ท่านป้าก็เป็คนทำธุรกิจ ข้ามาพึ่งหน้าร้านของท่านหาเงิน หากเป็เื่แค่วันสองวันก็ช่างมันเถิด แต่ใน่นี้ข้าอาจจะต้องมาตั้งแผงขายตลอด ดังนั้นหากอยากให้ข้าสบายใจ ท่านป้าสะใภ้โปรดรับเงินนี้ไว้เถิดเ้าค่ะ”
“พวกเราเป็ญาติกัน ไม่ใช่เพราะท่านเก็บเงินค่าแผงแค่นี้ความสัมพันธ์ก็หมดไป กลับกัน พวกเรามีเื่อะไร ก็คิดถึงกันและกัน ตอนเป็ญาติกันนั่นก็คือญาติ ดังนั้นท่านป้า ท่านก็คิดเสียว่าหลานสาวเคารพกตัญญูต่อท่านก็แล้วกัน เฮ้อ พูดไปแล้ว หากไม่มีร้านของท่าน ข้าจะไปหาร้านที่เหมาะสมจากไหนกันล่ะ? เงินพวกนี้น่ะ ท่านสมควรจะรับมันไว้แล้วเ้าคะ”
เฉินจื่อิที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางของทั้งสองคน สำหรับน้ำใจของหลานสาวตนเองก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
ถึงแม้เขาเองก็รู้สึกว่าการรับไว้จะไม่สมเหตุสมผล แต่หากไม่รับก็เกรงว่าจะหลานสาวคนเก่งคนนี้จะรู้สึกตะขิดตะขวงในใจ
ดังนั้นความคิดชั่วแล่นของเขา ทำให้คิดเงื่อนไขออกมาได้ข้อหนึ่ง
“ข้าว่านะเสี่ยวหราน เงินนี้น่ะข้าขอไม่รับไว้ เพียงแต่เ้าจะต้องฟังที่ข้าบอก”
กวนซูเยวียนจ้องเขานิ่ง “เ้าน่ะรีบพูดออกมาสิ ไม่ยอมพูดเช่นนี้ทำคนร้อนใจตายได้นะ”
“เงินนี่น่ะ พวกข้าไม่รับ เ้าเองก็ไม่ต้องจ่าย ข้าเห็นว่าเื่การทำอาหาร เ้าทำได้ไม่เลว ตอนนี้ที่ดินของเ้า คาดคะเนดูแล้วก็คงปลูกไม่ขึ้นในเร็ววันนี้ แถมหากจะปลูกมัน เ้าก็จะต้องหาคนมาช่วยเหลืออีก กลับเป็ร้านอาหารนี่ ถึงแม้กิจการจะไม่ใหญ่โต แต่ข้าเห็นว่าพวกเ้าสามคนพี่น้องกลับมีฝีมือ คาดว่าในระยะยาว พวกเ้าจะต้องเปิดร้านอาหารได้แน่”
“เช่นนั้นพวกเรามาปรึกษากันดีหรือไม่ ให้ข้ากับพวกเ้ามาร่วมมือกันทำธุรกิจ!”
คำแนะนำนี้ทำให้ใจของเฉินเนี้ยนหรานเต้นตูมตาม จะต้องรู้ว่าวันนี้ทำงานยุ่งมาทั้งวัน นางเพียงคนเดียวลำบากเกินไป ถึงแม้จะมีน้องสาวสองคนมาช่วยเหลือ แต่ก็ยังมีปัญหาอีกมากที่ยังคงมีอยู่ตรงนั้น
อย่างที่เฉินจื่อิบอก หากให้ร้านอาหารนี้ทำอยู่ได้ยาวนานต่อไป สินค้าประเภทของกินของนางจะต้องทำให้มากขึ้นมากขึ้นอีกเยอะ
เพียงแต่ทำของกินเล่นหลายอย่างนั้นจะต้องให้คนงานไปทำ จะจ้างคนนอกมาทำก็ไม่ค่อยวางใจเท่าไร
หากมีป้าสะใภ้ แล้วก็มีลูกชายคนโตของท่านลุงเข้าร่วมด้วย…
สายตาของนางก็เคลื่อนไปมองกวนซูเยวียนกับเฉินต้าหลาง[1]!
กลับเป็กวนซูเยวียนที่ขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่ตนเองสงสัยออกมาเบาๆ “เื่นี้ คำแนะนำมันก็ดีนะ เพียงแต่ข้ายังรู้สึกว่ายังทำไม่ค่อยได้เท่าไร ข้ามองดูวิธีทำผัดหัวบุก ก็ถือว่าเป็วิธีการของหลานสาวคนเดียว หากพวกเราเข้าร่วม วิธีการลับนี้มันจะไม่เผยแพร่ออกไปหรือ”
ไม่รอให้นางพูดต่อ เฉินเนี้ยนหรานก็รีบตัดบทนาง “ท่านป้า ท่านคิดมากไปแล้ว หากพวกเราไม่วางใจกัน หากข้างานยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้จนต้องไปจ้างคนนอกมา ข้าจะวางใจได้อย่างไร? เอาตามที่ท่านลุงว่ามาแล้วกันเ้าค่ะ พวกเราร่วมมือทำธุรกิจขนมด้วยกัน ทุกคนช่วยกันหาเงิน”
เฉินจื่อิฟังคำหลานพูดก็หัวเราะ ก่อนจะล้วงเงินห้าตำลึงออกมาจากอกเสื้อ “ได้ แม่หนูหราน นี่ถือว่าเป็เงินทุนก้อนแรกที่ลุงให้ไปก่อน ้าวัตถุดิบอะไรลุงจะออกให้ กำไรสุดท้ายที่ได้มาพวกเราเอามาเฉลี่ยกัน เช่นนี้ก็ถือว่าเ้าใช้วิชาลับของเ้ามาร่วมลงทุน ข้าใช้เงินทุนมาเปิดทาง พวกเราร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่ง ไม่มีใครสามารถมาล้มได้”
เอ่อ ท่านลุงพูดออกมาได้ไหลลื่นจริงๆ แต่ว่าทำไมคำพูดนี้ถึงได้คุ้นหูเช่นนี้เล่า?
เฉินเนี้ยนหรานคิดเงียบๆ ถึงพบว่าประโยคนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนตนกับเปาจื่อเพิ่งจะมีบทสนทานาเช่นนี้กัน หรือก็คือคำพูดพวกนี้ ท่านลุงได้เอามาจากคำพูดติดปากของเปาจื่อ…เป็ดังคาด ไม่เสียแรงที่ท่านลุงเป็คนทำธุรกิจ ไม่พูดถึงเื่ทำธุรกิจ ทว่าเื่เก็บคำพูดมาใช้นี่กลับราบรื่นเป็อย่างมาก
“เช่นนั้นก็ได้ เื่นี้ก็เอาตามนี้ ฮ่าๆ คาดว่า่นี้พวกเราได้ขายของหวานและนับเงินกันจนยุ่งแน่นอน ต้าหลางตอนนี้ก็ว่างอยู่ จะได้เอามาช่วยงานได้พอดี”
ต้าหลางคือลูกชายคนโตของกวนซูเยวียน อายุสิบสี่แล้ว
ดูแล้วก็เป็เด็กหนุ่มที่มีรูปลักษณ์แบบบุรุษโตเต็มวัย
เพราะว่าเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไร หลังจากรู้จักตัวหนังสือบ้างแล้ว ก็ว่างงานอยู่ในเรือน จึงออกมาช่วยงานเฉินจื่อิ อย่าได้ว่าเด็กคนนี้เรียนหนังสือไม่เก่ง ถ้าเื่ทำธุรกิจน่ะ เรียกว่าช่วยได้เยอะจริงๆ
ตอนนี้ได้ยินว่าตนจะได้อยู่ช่วยงานด้วย ต้าหลางก็ตาวาววับ เขาหันไปมองเฉินเนี้ยนหรานนิ่งก่อนจะพยักหน้า “ขอรับ จะทำตามที่แม่หนูหรานพูด”
กวนซูเยวียนหัวเราะไปด่าไป “เ้าลูกบ้า พวกเราเรียกแม่หนูหราน แล้วเ้าจะมาเรียกตามได้ที่ไหนกัน! เ้าจะต้องเรียกว่าน้องหรานสิ”
เฉินเนี้ยนหรานได้ยินก็เหงื่อออก น้องหรานหรือว่าพี่หราน จะฟังอย่างไรก็น่าหงุดหงิดอยู่ดี
“อย่าเลย เรียกข้าว่าแม่หนูหรานเถิด ข้ารู้สึกว่าเรียกแม่หนูหรานมันดูสนิทสนมกว่า รู้สึกชอบฟังมากทีเดียว จะน้องหรานหรือพี่หราน ฟังแล้วมันน่าหงุดหงิดนิดหน่อยนะเ้าค่ะ ท่านป้าให้ต้าหลางเรียกข้าว่าแม่หนูหรานเถิด ดีที่สุดแล้ว ให้ทุกคนเรียกแบบนี้ดีกว่า ข้าไม่อยากได้ยินการเรียกพี่สาว น้องสาว พวกเราเป็คนบ้านเดียวกัน ไม่ต้องใช้แบบที่คนร่ำคนรวยเขาทำกันหรอก”
กวนซูเยวียนส่ายหน้า ยกมือขึ้นมาจิ้มหัวของนาง “เ้าเด็กซน”
เฉินเนี้ยนหรานจับบ่าของนางแล้วหัวเราะ ก่อนจะเอนหัวลงไปซบ ท่าทางนั้นเหมือนกับเด็กขอของกิน
ภาพนี้ทำให้เฉินจื่อิที่มองอยู่ถอนหายใจ สองคนนี้นี่นะ สนิทกันกว่าแม่ลูกแท้ๆ เสียอีก แม่หนูหรานติดป้าสะใภ้ของตนขนาดนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกอิจฉาอยู่นิดหน่อยทีเดียว
จนถึงตอนนี้จู่ๆ เฉินจื่อิก็รู้สึกว่า…ทำไมตนเองไม่มีลูกสาวขี้อ้อนแบบเฉินเนี้ยนหรานบ้าง!
ดูเหมือนว่าการมีลูกสาวมาซุกซบเช่นนี้ก็ให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเหมือนกัน
พอคิดถึงขั้นนี้ สายตาของเฉินจื่อิก็กวาดไปมองที่ท้องของกวนซูเยวียน
หากท้องอีกสักคน คลอดลูกสาวมาสักคนคงดีมากเลยทีเดียว ลูกชายห้าคนพูดไปแล้วก็โชคดี แต่คงมีเพียง์ที่รู้ว่าเขาอยากจะมีลูกสาวมากแค่ไหน!!
กินข้าวเสร็จ เฉินเนี้ยนหรานก็รีบพาน้องสาวสองคนกลับเรือน
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนโมโหก็คือ พอเข้าเรือนมาก็มีขี้ไก่กองอยู่หลายกอง
เื่เช่นนี้ไม่ใช่มีแค่ครั้งสองครั้ง ไม่รู้ว่าเป็ไก่ของใครมาปล่อยของเสียเอาไว้ แต่ว่าในชนบทเช่นนี้ เื่นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเฉินเนี้ยนหรานจึงไม่ได้บ่นอะไร
“ท่านพี่ ท่านพี่ ตรงนี้มีไก่บ้านขนเหลืองอยู่ตัวหนึ่ง พวกเราจับมันมาฆ่าแล้วกินเนื้อดีหรือไม่?”
ในตอนนั้นเองที่น้องหกชี้นิ้วไปแล้วกอดไก่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
เฉินเนี้ยนหรานหันไปมองก็โกรธจนอยากจะกระอักเืขึ้นมาอีก
ตรงนั้นคือมันเทียนที่นางเพิ่งไปดึงมาจากูเา ตากเอาไว้แห้งแล้วยังไม่ทันได้เก็บ ใครจะไปคิดว่าจะถูกแม่ไก่เอาไปทำเป็รัง
“ไม่ได้ นี่คือบ้านของคน ให้มันมาอยู่ด้วยไม่ได้ แต่ว่าสามารถจับมันไปได้”
คำพูดของนางเพิ่งจะจบ น้องหกก็หยิบก้อนหินปาไปทางไก่ตัวนั้น
“กลับไป กลับไป….”
ไก่ตัวนั้นใร้องกุ๊กออกมาเสียงแหลมบินไปทั่วเรือน ทำเอาหัวบุกตากแห้งตกคว่ำไปมากมาย
ตอนนั้นเองที่สามพี่น้องต่างฉุนขาด น้องห้าคว้าหินใกล้มือปาไปทางไก่ตัวนั้น
“กุ๊กๆ…กุ๊กๆ…”
ก็ไม่รู้ว่าไก่ตัวนั้นโชคร้ายหรืออย่างไร แค่หินก้อนเดียวก็ทำให้มันลงไปนอนพังพาบอยู่ที่พื้น
คอของมันพยายามยืดขึ้น ปากก็ร้องกุ๊กๆ
เฉินเนี้ยนหรานใ ไก่ตัวนี้ถูกน้องห้าโยนใส่จนตายทั้งๆ เช่นนี้หรือ?
น้องห้าเองที่เป็คนที่เข้าใจเื่ราว พอเห็นไก่ตัวนี้นอนพะงาบก็ใ
นางรีบหันไปมองพี่สาวตนเองด้วยความตื่นตระหนก “ท่านพี่ ข้า ข้าแค่โยนไปเฉยๆ ใครจะไปรู้ว่า…ไก่ตัวนี้จะเป็เช่นนี้แล้ว หากมันไม่ไหวแล้วจริงๆ ท่านพี่จะทำอย่างไรกับมันเ้าคะ?”
---------------
เชิงอรรถ
[1] ต้าหลาง หมายถึงพี่ชายคนโต