หั่วอี้ลงจากรถม้าก่อน จากนั้นจึงค่อยเอื้อมมือไปรับหลิ่วจิ้งลงมาและพานางเดินขึ้นบันไดหน้าจวนอู๋
“คารวะท่านแม่ทัพขอรับ” หั่วอี้เพิ่งจะก้าวออกไปเด็กเฝ้าประตูจวนอู๋ก็รีบวิ่งลงมาหา พอคำนับเขาเสร็จก็นำทางเข้าไปภายใน
หลิ่วจิ้งมองหั่วอี้และเด็กเฝ้าประตูอย่างแปลกใจมองปราดเดียวก็เห็นได้ทันทีว่าพวกเขาคุ้นเคยกันอย่างมาก แต่เหตุใดครั้งนี้ถึงไม่เหมือนตอนที่ไปจวนอมาตย์กลับไม่ต้องถามก่อนว่าเ้าของจวนอยู่ในจวนหรือไม่จึงค่อยเข้าไป?
หั่วอี้คล้ายมองความสงสัยของหลิ่วจิ้งออก จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า“เรือนของท่านเสนาบดีอู๋ต่างกับจวนอื่นๆ ก็คือต่อให้ท่านเสนาบดีอู๋ไม่อยู่ในจวนแต่เมื่อพวกเรามาถึงหน้าประตูแล้วก็ต้องเข้าไปคารวะฮูหยินของท่านก่อน”
ที่แท้เป็ดังนี้เอง หลิ่วจิ้งพยักหน้าบอกว่าเข้าใจแล้ว
เมื่อก้าวเข้าไปในจวนอู๋หลิ่วจิ้งก็ต้องหลงใหลในมวลบุปผามากมายทั่วจวนแม้จะบอกว่านี่เป็ฤดูใบไม้ร่วงซึ่งไม่ใช่ฤดูที่ดอกไม้บานสะพรั่งแล้วก็ตามแต่ไม่รู้ว่าจวนอู๋ไปเสาะหาดอกไม้นานาพันธุ์มาจากที่ใดเมื่อเดินไปบนทางเดินที่เต็มไปด้วยดอกไม้เบ่งบานกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดก็โชยเข้าหา ทำให้หลิ่วจิ้งไม่อาจตัดใจก้าวเท้าต่อไปได้และจำต้องเดินให้ช้าลง
ในขณะที่นางกำลังอาลัยอาวรณ์อยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ หลิ่วจิ้งก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังอย่างเบิกบานใจ“วันนี้เป็ลมใดพัดมา จึงพาหลานแม่ทัพใหญ่มาถึงที่นี่ได้”
เสียงของหั่วอี้ก็ดังขึ้นอย่างพอเหมาะพอเจาะว่า“หลานคารวะท่านลุงอู๋ขอรับ”
หลิ่วจิ้งย้ายสายตาที่กำลังสนอกสนใจดอกไม้ไปยังตัวคนที่เดินเข้ามาเห็นว่าผู้ที่มานั้นท่าทางสดชื่นแจ่มใส ก้าวย่างไร้ซุ่มเสียง และสิ่งที่ทำให้ดวงตาของหลิ่วจิ้งต้องแวววาวขึ้นมาก็คือคนที่มานั้นสวมเสื้อตัวยาวสีม่วงดำผ้าต่วนมันวาวดูจากเนื้อผ้าแล้วกลับไม่ใช่ของชั้นเลิศแต่อย่างใด อย่างมากก็เป็แค่ระดับกลางคนที่มาผู้นี้จะต้องเป็เสนาบดีอู๋อย่างแน่นอน หลิ่วจิ้งสรุปในใจดังนี้
“นี่คือ?” ผู้ที่มาไม่รอให้หั่วอี้แนะนำนางกับเขาก็เอ่ยถามออกมาก่อน
“ฮูหยินมาทางนี้ รีบมาคารวะท่านเสนาบดีอู๋เร็วเข้า”หั่วอี้กวักมือเรียกหลิ่วจิ้งเข้ามาแล้วจึงหันไปแนะนำกับเสนาบดีอู๋ว่า“หลานละอายใจนักที่ยามนี้เพิ่งจะพาฮูหยินมาจวนของท่านลุง นี่คือฮูหยินของหลาน องค์หญิงหวงฝู่จิ้งขอรับ”
“หวงฝู่จิ้งคารวะท่านเสนาบดีอู๋เ้าค่ะ” หลิ่วจิ้งหันไปคำนับเสนาบดีอู๋อย่างเต็มพิธี
“โอ้ ที่แท้ท่านก็คือองค์หญิงแห่งต้าเว่ยผู้เลื่องชื่อได้ยินว่าท่านต่อกรกับทุกคนในท้องพระโรงเพื่อปกป้องเกียรติยศบารมีของแคว้นต้าเว่ยข้าเองก็ยังอยากรู้เื่น่าสนใจนี้ไวๆ วันนั้นข้าน่าจะได้ไปดูในท้องพระโรงด้วยตนเอง”เสนาบดีอู๋พูดจบก็หัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น
คำพูดของเสนาบดีอู๋ทำเอาหลิ่วจิ้งตกตะลึงหากมิได้หั่วอี้แนะนำอย่างเป็ทางการนางก็จะไม่มีวันเชื่อโดยเด็ดขาดว่าคนผู้นี้ก็คือหนึ่งในสองยอดนักบู๊ที่ทัพศัตรูต้องพรั่นพรึงยามได้ยินชื่อ
นางเลิกคิ้วขึ้น ไม่คิดว่าเสนาบดีอู๋จะถามเช่นนี้เพราะอย่างไรเขากับนางก็เพิ่งจะรู้จักกันเดี๋ยวนี้เอง
“เห็นทีว่าองค์หญิงคงจะโปรดดอกไม้อย่างยิ่งกระมัง?” เสนาบดีอู๋มองหลิ่วจิ้งด้วยความสนอกสนใจนัก
เมื่อเห็นว่าเสนาบดีอู๋เปลี่ยนหัวข้อสนทนาหลิ่วจิ้งก็รู้สึกเบาใจเพราะในสถานการณ์เช่นนี้ หากสนทนากันเื่ต้นไม้ใบหญ้าย่อมทำให้ผ่อนคลายลงได้ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นหลิ่วจิ้งก็หลงใหลดอกไม้เหล่านี้ด้วยใจจริงจนถอนตัวไม่ขึ้นดังว่า
ความรู้สึกตื่นเต้นของหลิ่วจิ้งผ่อนคลายลงมาบ้างเมื่อััได้ถึงสายตาแสนอ่อนโยนที่หั่วอี้กำลังมองมาที่นางนางจึงแย้มยิ้มเบิกบาน กล่าวว่า“ข้าไม่เคยเห็นดอกไม้มากมายเช่นนี้อยู่ในทีเดียวกัน แม้แต่ในวังก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนงดงามเหลือเกินเ้าค่ะ งามจนข้าไม่อาจก้าวเท้าต่อไปได้”
หลิ่วจิ้งพูดจากใจจริง ไม่ได้จงใจจะประจบตามคำที่เสนาบดีอู๋เพิ่งพูดไป
ท่าทีจริงใจของนางต้องตาเสนาบดีอู๋นัก เขาอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้วทั้งยังอยู่ในกรมยุติธรรม คนชนิดใดบ้างที่เขาไม่เคยพบเห็นต้องพบเจอกับนักโทษพูดจาสอพลอตลบตะแลงไม่เว้นแต่ละวันเขาย่อมสามารถแยกแยะออกว่าผู้ใดพูดประจบเยินยอ ผู้ใดพูดจากใจจริง
เสนาบดีอู๋ปลื้มเปรมใจนัก อย่ามองเพียงว่าเขาเป็คนสูงวัยผู้หนึ่ง ดอกไม้กลับเป็สิ่งที่เขารักมากที่สุดแม้แต่ฮูหยินของเขาเองก็ยังเคยกระเซ้าว่าเหตุใดเขาไม่ไปสู่ขอเทพธิดาบุปผากลับมาเสียเลยเขาจะได้ทำให้ดอกไม้นานาในจวนเบ่งบานได้ทั้งสี่ฤดูในหนึ่งปี
“เชิญๆๆ องค์หญิง ข้าจะพาท่านไปชมดอกไม้ที่มากกว่านี้” เสนาบดีอู๋เอ่ยพลางกวักมือให้หลิ่วจิ้งกับหั่วอี้เดินตามไป
หลิ่วจิ้งพลอยกระตือรือร้นไปกับเขาด้วยจึงไม่เกรงใจและเดินตามเขาไป
ทะเลครามจรดฟากฟ้า สะพานน้อยธารรี่ไหล ูเาเทียมหลากหลายรูปร่างทอดตัวอยู่ท่ามกลางจวนสกุลอู๋สิ่งที่ทำให้หลิ่วจิ้งได้เปิดหูเปิดตาที่สุดก็คือดอกไม้นานาพันธุ์กลับฝังตัวอยู่ท่ามกลางูเาเทียมเ่าั้ไม่รู้เช่นกันว่าพวกมันดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร
หลิ่วจิ้งยืนอยู่ที่ตีนูเาเทียม อารมณ์ดีขึ้นมาทันใดนางมองอย่างเคลิบเคลิ้มจนแม้เสนาบดีอู๋จะกวักมือเรียกให้นางเดินไปข้างหน้าต่อนางก็ยังไม่ได้ยิน
เห็นหลิ่วจิ้งในอาการเช่นนี้ หั่วอี้ต้องมองอย่างสนอกสนใจนักที่แท้นางชอบดอกไม้นี่เอง หั่วอี้วางแผนหนึ่งไว้ในใจ เขาไม่อาจสอยดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้ามาได้แต่การทำให้มีดอกไม้ประดับอยู่ทั่วจวนแม่ทัพกลับมิใช่ว่าเป็เื่ง่ายดายนักหรอกหรือ
หลิ่วจิ้งชมดอกไม้ หั่วอี้ชมนาง เสนาบดีอู๋กลับมองพวกเขาสองคน แต่แล้วบรรยากาศที่คนทั้งสามเข้ากันได้เป็อย่างดีนี้ก็ต้องชะงักลงเพราะเสียงเสนาะหูของสตรีเสียงหนึ่ง
“ดูท่านสิอายุปูนนี้แล้ว มีอย่างที่ไหนแขกมาจวนก็ไม่เชิญเข้าไปต้อนรับที่ห้องน้ำชาแต่ลากให้แขกไปเป็คนคลั่งบุปผาเช่นเดียวกับท่าน”
น้ำเสียงประหนึ่งนกแสนปราดเปรียวดึงหลิ่วจิ้งออกจากความลุ่มหลงในไม้ดอกนับร้อยกลับมาสู่โลกแห่งความจริงนางจึงเพิ่งรู้ตัวว่านางจดจ่อกับดอกไม้เกินไปแล้ว
หลิ่วจิ้งมองไปตามเสียงของสตรีนางเป็สตรีในชุดเข้าวังแต่งหน้าบางๆ ผู้หนึ่ง ดูจากเครื่องแต่งกายของนางก็รู้แล้วว่ายามปกตินางเป็ผู้ที่ชอบการแต่งองค์ทรงเครื่องไม่เหมือนกับหลิ่วจิ้งที่จะแต่งตัวเต็มยศก็ต่อเมื่อจำเป็ต้องออกนอกจวนเท่านั้นหากไม่ต้องออกจากจวนหลิ่วจิ้งก็จะแต่งตัวสบายๆ เป็หลัก
“คารวะท่านอาขอรับ นี่คือฮูหยินของข้า หวงฝู่จิ้ง” หั่วอี้ดึงมือหลิ่วจิ้งมาแนะนำให้อีกฝ่ายได้รู้จัก
เมื่อเทียบกับเสนาบดีอู๋แล้ว ครานี้เห็นชัดว่าหั่วอี้ยิ่งวางตัวสบายกว่าเดิมมากคิดว่าท่านอาผู้นี้จะต้องสนิทกับเขามากเช่นกัน
“คำนับท่านอาเ้าค่ะ” หลิ่วจิ้งพอจะรู้อยู่ในใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่หั่วอี้จึงไม่แม้แต่จะถามว่าเสนาบดีอู๋อยู่หรือไม่ก็เข้ามาในจวนก่อนแล้วที่แท้ก็นับว่าเป็คนในครอบครัวเดียวกันนี่เอง
“มาๆๆ ให้อาดูให้เต็มตาสักหน่อยเป็สตรีบ้านใดจึงได้เข้าตาอี้เอ๋อร์ อี้เอ๋อร์ไม่เคยพาคุณหนูบ้านใดมาให้ข้าดูมาก่อนเลยนะคุณหนูจะต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าผู้อื่นจึงหัวใจของอี้เอ๋อร์เอาไว้ได้ใช่หรือไม่”
“ท่านอา อย่าทำให้องค์หญิงใขอรับ”หั่วอี้รีบรั้งหั่วหลิงเฟิ่งท่านอาของตนเอาไว้ แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เพราะหั่วหลิงเฟิ่งเข้าไปดึงมือของหลิ่วจิ้งมากุมไว้ในขณะที่หลิ่วจิ้งกำลังสงสัยว่าเหตุใดหั่วอี้ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ไม่นานก็ได้คำตอบเพราะนางถูกหั่วหลิงเฟิ่งเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนูเาเทียมตรงหน้าเสียแล้ว
หลิ่วจิ้งตื่นกลัวเป็ที่สุด นางกำลังจะกรีดร้องดังออกมาแต่ในชั่วพริบตานั้นจู่ๆ แสงแห่งปัญญาก็ปรากฏขึ้นในหัวนางนางจึงขบริมฝีปากเอาไว้ไม่ได้เปล่งเสียงร้อง
นางไม่อาจเชื่อจริงๆว่าผู้าุโที่เพิ่งได้พบหน้ากันจะลงมือกับนางเช่นนี้สิ่งที่หั่วหลิงเฟิ่งทำจะต้องมีเจตนาอยู่ภายใน
ปรากฏว่าไม่ผิดจากที่นางคิดแม้คล้ายว่านางจะถูกเหวี่ยงออกไปอย่างไม่มีแบบแผนแต่เมื่อนางตกลงไปบนยอดูเาเทียม จากนั้นก็ร่วงจากที่สูงลงมาบนพื้นเรียบ ตัวนางกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด
หลิ่วจิ้งมองที่ที่นางเอนตัวอยู่อย่างประหลาดใจ พบว่ายามนี้นางอยู่บนยอดของูเาเทียมที่ตรงนี้หากมองจากตีนเขาก็จะไม่เห็นว่ามีที่ลับอยู่ เพราะที่นี่มีเบาะนุ่มปูรองจนเต็มจึงผ่อนแรงกระแทกเมื่อตกลงมา ทำให้ไม่าเ็แม้แต่น้อย
_____________________________
