“...”
เอาเถอะ...
หลี่จิ่งหนานตัดสินใจเชื่อหวาชิงเสวี่ย แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกยากที่จะสงบสติอารมณ์ “เื่ง่ายๆ แค่นี้ทหารเหลียวยังไม่รู้ แถมยังต้องมาหาสตรีเช่นเ้าอีกสมควรโดนหลอกแล้วจริงๆ”
หวาชิงเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างพอใจ “พวกเขาจะเทียบความรู้กับข้าได้อย่างไร ข้ารู้เยอะกว่าพวกเขามากนะ”
หลี่จิ่งหนานยืนเอามือไพล่หลังทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย เขาพูดด้วยท่าทางเอ้อระเหย “ความรู้ของเ้าข้ายังไม่เห็นว่ามีมากเท่าใดนัก แต่ดูจากลีลาการพูดจาก็น่าจะเคยเรียนหนังสือมาบ้าง ถึงแม้จะอ่านหนังสือไม่ค่อยออก แต่ถ้าให้เ้าเป็นางกำนัลดูแลห้องซักล้างก็ยังพอไหว”
หวาชิงเสวี่ยตั้งหม้อ เริ่มลงมือทำสบู่อีกรอบ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็โบกมือ “ข้าไม่คิดจะเข้าไปทำงานในวังหรอก”
หลี่จิ่งหนานชะงักไป “เ้าไม่คิดจะกลับไปกับข้าหรือ?”
เขาถือว่าหวาชิงเสวี่ยเป็พวกเดียวกันแล้ว จึงไม่คิดว่านางจะไม่อยากไปด้วย ยิ่งกว่านั้น เขาเป็ถึงองค์รัชทายาทของแคว้น เก็บใครสักคนได้ระหว่างทาง อีกฝ่ายก็ควรจะอ้อนวอนขอให้เขารับกลับไปด้วยไม่ใช่หรือ?
“...ใครๆ ก็บอกว่าในวังหลวงเป็สถานที่ที่กินคนไม่เหลือแม้แต่กระดูก” หวาชิงเสวี่ยยังคงจ้องมองหม้อ นางคิดว่าหลี่จิ่งหนานพูดเล่นตามประสาเด็ก จึงไม่ได้ใส่ใจ ถ้านางหันกลับไปมอง ก็จะพบว่าสีหน้าของหลี่จิ่งหนานนั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก
“กินคนไม่เหลือแม้แต่กระดูก ก็เพราะไม่มีคนคุ้มครอง...” หลี่จิ่งหนานพูดตะกุกตะกัก ด้วยน้ำเสียงอู้อี้
เขาไม่อาจพูดออกไปได้ว่าจะคุ้มครองหวาชิงเสวี่ยด้วยตัวเขาเอง ถึงแม้อยากจะคุ้มครอง แต่นางก็ต้องเป็คนมาขอร้องให้เขาคุ้มครองสิ! จะให้เขาพูดออกมาเองแบบนี้...มันไม่ถูกต้อง!
หลี่จิ่งหนานรู้สึกว่าแค่คิดก็เหมือนเสียหน้าแล้ว!
หวาชิงเสวี่ยได้ยินที่เขาพูดไม่ชัดเจนนัก จึงพึมพำกับตัวเองต่อ “ไม่เพียงแต่กินคนไม่เหลือแม้แต่กระดูก กฎเกณฑ์ก็ยังมีมากมาย เจอคนนี้ก็ต้องคำนับ เจอคนนั้นก็ต้องคำนับ จะตื่น จะนอน จะกินข้าว ทุกอย่างล้วนมีเวลาที่กำหนดไว้ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ได้ยินมาว่าแม้แต่การสวมเสื้อผ้าสีอะไร อาหารแต่ละมื้อมีเนื้อมีผักกี่อย่างก็ต้องกำหนด...เฮ้อ!”
พอหวาชิงเสวี่ยพูดคำสุดท้ายว่า ‘เฮ้อ’ ระดับเสียงก็ดังขึ้นทันที! ทำเอาหลี่จิ่งหนานใ!
หลี่จิ่งหนานกำลังจะเปิดปากดุหวาชิงเสวี่ย แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นนางหันกลับมามองเขาด้วยสายตาเห็นใจ แล้วพูดว่า “เ้าอยู่ในที่แบบนั้นมาแปดปี คงลำบากไม่น้อย...”
สายตาและแววตาแบบนั้น ไม่ได้มองเขาในฐานะองค์รัชทายาทเลย!
เหมือนสายตาที่มองสัตว์ตัวน้อยน่าสงสาร!
หลี่จิ่งหนานที่ยกย่องตัวเองว่าเป็ลูกผู้ชายคนหนึ่งถึงจะตัวเล็กก็เถอะ ย่อมไม่เคยถูกใครใช้สายตาเช่นนี้มองมาก่อน?!
“ได้ยินมาว่า ทุกเื่จะมีคนดูแล แม้แต่การเข้าห้องน้ำกี่ครั้งก็จะมีคนคอยบันทึกไว้...ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่...”
“...เ้า!” หลี่จิ่งหนานโกรธจนหน้าแดง มือน้อยๆ กำหมัดแน่น!
เขาอยากจะเถียงหวาชิงเสวี่ยกลับไป แต่พอนึกถึงว่าถ้าเขาไม่เข้าห้องน้ำหลายวัน เช่นนั้นก็จะมีนางกำนัลไปรายงานเสด็จแม่...
เขาทั้งอับอายทั้งโกรธ จึงร้องฮึออกมาเสียงดัง! วิ่งเข้าไปในห้องและปิดประตูเสียงดัง!
หวาชิงเสวี่ยยืนอยู่ที่ลานเรือน ทอดถอนใจว่า “การอบรมของราชวงศ์ไม่ธรรมดาจริงๆ โกรธถึงขนาดนี้ก็ยังไม่หลุดพูดคำหยาบคายออกมา ประโยคนั้นว่าอย่างไรนะ...ช่างมีราศีของกษัตริย์เสียจริงใช่หรือไม่?”
ฉินเหลาอู่ที่มาเพื่อรายงานข่าวเพิ่งมาถึงหน้าประตูพอดี เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้า ทำเอาเกือบจะหกล้มลงไป...
สตรีนางนี้เป็ใครกัน ถึงได้กล้าวิจารณ์เชื้อพระวงศ์อย่างโจ่งแจ้งกลางวันแสกๆ เช่นนี้?!
แล้วองค์รัชทายาทเล่า? โดนแบบนี้แล้วยังยอมทนหรือ?
ชีวิตขององค์รัชทายาท...ก็ลำบากมาไม่น้อย...
จากนั้นเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าการที่ตัวเองคิดแบบนี้ถือว่าผิดต่อข้อห้ามเช่นกัน จึงพึมพำในใจสองคำว่า ขออภัย ขออภัย แล้วจึงยกมือขึ้นเคาะประตู
เสียงเคาะประตูของเขาทำเอาหวาชิงเสวี่ยใ!
หวาชิงเสวี่ยดีดตัวลุกขึ้นอย่างเร็ว รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจว่าหลี่จิ่งหนานยังโกรธอยู่ จับมือเขาแล้วพูดว่า “ต้องเป็ทหารเหลียวเอาเสื้อผ้าสกปรกมาส่งให้แน่ๆ เร็วเข้า! รีบปล่อยผมลง แล้วก็หยิบกระโปรงตัวเก่าที่อยู่ใต้หมอนของข้ามาใส่ด้วย! อย่าให้พวกเขารู้ว่าเ้าเป็เด็กผู้ชาย!”
หลี่จิ่งหนานได้ยินว่าหวาชิงเสวี่ยจะให้เขาใส่กระโปรง สีหน้าก็ยิ่งแย่ลงไปอีก “เ้าออกไปดูอีกที บางทีอาจจะไม่ใช่ทหารเหลียวก็ได้”
“หา?” หวาชิงเสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปพลิกใต้หมอน หยิบกระโปรงออกมาพลางพูดว่า “นี่มันเวลาไหนกัน เ้ายังทำใจเย็นอยู่อีก รีบเปลี่ยนเร็วเข้า กันไว้ดีกว่าแก้...”
หลี่จิ่งหนานพุ่งเข้าไปปัดกระโปรงตัวนั้นแล้วโยนทิ้งลงพื้น โกรธจนแทบจะกัดหวาชิงเสวี่ย “ข้าบอกให้เ้าออกไปดูอีกที! บางทีอาจจะเป็คนของข้าก็ได้! ถ้าเป็ทหารเหลียว ข้าค่อยใส่ก็ยังไม่สาย!!!”
หวาชิงเสวี่ยหยุดชะงัก
ถึงแม้ว่านางจะเข้าใจกฎของโลกใบนี้แค่เพียงครึ่งเดียว แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ หลี่จิ่งหนานคงไม่พูดอะไรแบบนี้ออกมาโดยไม่มีเหตุผล
หวาชิงเสวี่ยคาดเดาในใจว่า คงจะมีคนของหลี่จิ่งหนานแอบติดต่อกับเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นหลี่จิ่งหนานคงไม่พูดแบบนี้...
บอกไม่ถูกว่าภายในใจรู้สึกอย่างไร ความยินดีมีมากกว่า แต่ในส่วนลึกของจิตใจก็ยิ่งตระหนักถึงฐานะองค์รัชทายาทของหลี่จิ่งหนานมากขึ้น...
อาจเป็เพราะสีหน้าของหวาชิงเสวี่ยแข็งทื่ออย่างยิ่ง หลี่จิ่งหนานจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาเบะปากแล้วพูดเสริมอีกประโยคว่า “ตอนที่เ้าออกไปข้างนอก พวกเขาบอกว่าจะจัดการให้เร็วที่สุด...”
อย่างไรเสีย นี่ก็เป็ข่าวดี หวาชิงเสวี่ยยิ้มออกมา แล้วหันหลังกลับไปเปิดประตู
เห็นนางยิ้มสดใสแล้วเดินออกไป หลี่จิ่งหนานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก...
เขาโมโหตัวเองเล็กน้อย ทำไมต้องใส่ใจอารมณ์ของนางด้วย? ถึงแม้ว่านางจะแสดงท่าทีเหินห่างไปหน่อยแล้วอย่างไร...แค่สามัญชนคนหนึ่งเท่านั้นเอง...
แต่ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังรู้สึกว่า นางแตกต่างจากคนอื่น
...
สีหน้าของฉินเหลาอู่ตอนที่เข้ามาในห้องนั้นดูซับซ้อน
แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียว เขาก็แสดงความเคารพต่อหลี่จิ่งหนานอย่างนอบน้อม
ส่วนหวาชิงเสวี่ยก็นั่งอยู่ข้างๆ มองพวกเขาอย่างเหม่อลอย พอคิดว่าตัวเองมีโอกาสได้เห็นฉากที่องค์รัชทายาทผู้ตกอับพบปะกับขุนนางแบบนี้ นางก็รู้สึกว่าชีวิตของตนเองช่างเหมือนละครจนบรรยายเป็คำพูดไม่ถูก
การคำนับของฉินเหลาอู่ไม่ใช่การคุกเข่าโขกศีรษะอย่างที่หวาชิงเสวี่ยจินตนาการไว้ แต่เป็การยืนโค้งและกำหมัดคารวะเท่านั้น
หวาชิงเสวี่ยคิดในใจ โชคดีที่ที่แห่งนี้ไม่ใช่ยุคราชวงศ์ที่นิยมการคุกเข่าคำนับ ถ้าไม่ใช่เพราะประวัติศาสตร์แตกต่างกัน นางคงคิดว่าที่นี่คือยุคราชวงศ์ซ่ง ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เมื่อขุนนางพบกับผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าก็เพียงแค่ประสานมือเท่านั้น การคุกเข่าคำนับจะปรากฏเฉพาะในโอกาสสำคัญๆ เช่น ในพิธีการ พิธีเลื่อนตำแหน่งหรือตกรางวัล เหล่านี้เป็ต้น
ขณะที่หวาชิงเสวี่ยกำลังคิดฟุ้งซ่าน ฉินเหลาอู่ก็เริ่มเล่าถึงแผนการเดินทางของพวกเขา
“พวกเราปลอมตัวเป็ผู้คุ้มกันคาราวานสินค้าเพื่อเดินทางเข้าเมืองพ่ะย่ะค่ะ ขบวนสินค้าก็เป็ขบวนสินค้าจริงๆ ในเมืองเหรินชิวก็มีฐานที่มั่นคง ชาวเหลียวจะไม่สงสัยในจุดนี้ เพียงแค่รอให้หนังสือเดินทางได้รับอนุมัติออกมา เราก็จะสามารถออกจากเมืองได้ เพียงแต่ครั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็ที่สังเกต พวกเราจึงมาเพียงเจ็ดคน ด้านนอกเรือนได้จัดคนสี่คนคอยเฝ้าระวัง เช้าเย็นผลัดเปลี่ยนกันทำงานกะละสองคน หากมีอะไรเกิดขึ้น พวกเราก็จะรู้ทันที ตอนนี้ขอให้องค์รัชทายาทประทับอยู่ที่นี่อย่างสบายพระทัย อีกสามสี่วันก็จะออกจากเมืองได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเหลาอู่พูดจบ ก็หยุดลงชั่วครู่ แล้วพูดต่อ “ท่านแม่ทัพเข้าไปสืบจำนวนกองกำลังในเมือง พรุ่งนี้จะเดินทางมาเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่แท้ท่านก็ไม่ใช่แม่ทัพฟู่สินะ...” หวาชิงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา
หลี่จิ่งหนานรีบปรายตามองนาง ราวกับจะบอกว่า บุรุษกำลังคุยกัน สตรีอย่าพูดแทรก!
อันที่จริงตามกฎแล้ว ในขณะที่กำลังปรึกษาหารือกัน หวาชิงเสวี่ยในฐานะสตรีต้องเลี่ยงออกไป แต่เนื่องจากห้องเล็ก ไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง และนางก็ไม่อาจออกไปตากลมหนาวข้างนอกได้ อีกอย่าง หวาชิงเสวี่ยเองก็ไม่คิดว่าตัวเองควรต้องทำแบบนั้น...
หวาชิงเสวี่ยยิ้มแห้งอย่างขัดเขิน ขยับตัวไปที่มุมห้อง ไม่พูดอะไรอีก
ในที่สุดหลี่จิ่งหนานก็ได้วางท่าทีแบบองค์รัชทายาทสักครั้ง นางจะเข้าไปทำลายบรรยากาศเขาไม่ได้
หลี่จิ่งหนานพอใจกับท่าทีของหวาชิงเสวี่ยมาก เขาทำหน้าเคร่งขรึม มองไปที่ฉินเหลาอู่ แล้วพูดอย่างใจเย็น “ท่านแม่ทัพฟู่จะมารับข้าด้วยตัวเอง ข้าก็วางใจ แต่ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพมีแผนจะจัดการอย่างไรกับแม่นางหวา?”
“เนื่องจากในขบวนสินค้ามีสตรีไปด้วยคงไม่สะดวกนัก เกรงว่าครั้งนี้คงไม่อาจพาแม่นางหวาไปด้วยได้พ่ะย่ะค่ะ แต่ในความหมายของท่านแม่ทัพคือ ขอแค่องค์รัชทายาทออกจากเมืองไปได้ คนที่เหลือก็จะสะดวกในการปฏิบัติภารกิจมากขึ้น รอจนสถานการณ์สงบลง การพาสตรีออกจากเมืองคงไม่ใช่เื่ยาก”
หลี่จิ่งหนานได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ แต่เขาก็เข้าใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นมีเหตุผล เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ทำตามที่ท่านแม่ทัพเห็นสมควรเถิด”
ฉินเหลาอู่โค้งคำนับเต็มพิธีการ “ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงเห็นใจ กระหม่อมจะนำความไปรายงานให้ท่านแม่ทัพทราบ เพียงแต่ต้องลำบากให้พระองค์อดทนอีกสักสองสามวันพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จิ่งหนานพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่เป็ไร ลำบากพวกท่านแล้ว”
“กระหม่อมทูลลา”
...
รอจนฉินเหลาอู่เดินออกไปแล้ว หวาชิงเสวี่ยถึงได้ะโลงจากเตียงเตา นางยื่นหน้าออกไปมองข้างนอก มองซ้ายที มองขวาที แล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “แถวนี้มีคนสองคนคอยปกป้องเราจริงๆ หรือ? อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ พวกเขาต้องอยู่ข้างนอกตลอดเลยหรือ?”
หลี่จิ่งหนานย่นจมูก “เื่เล็กน้อยแค่นี้ก็ตื่นเต้น เสด็จพ่อเคยตรัสว่า ทหารที่ออกรบฆ่าศัตรูอยู่ในสมรภูมิตลอดทั้งปีจะมีร่างกายที่แตกต่างจากคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งทนหนาวทนหิวได้ และยิ่งไปกว่านั้นทหารคนสนิทของท่านแม่ทัพฟู่ จะต้องเก่งกาจยิ่งขึ้นไปอีก”
หวาชิงเสวี่ยปิดหน้าต่าง อยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก “ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ต้องมีขีดจำกัด หรือว่าพวกเขาฝึกวิทยายุทธ์อะไรมา? อากาศหนาวขนาดนี้อยู่ข้างนอกทั้งคืน ถึงไม่แข็งตายก็ต้องหนาวจนตัวชาไม่ใช่หรือ?”
หลี่จิ่งหนานคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าหวาชิงเสวี่ยพูดถูก เขายื่นมือไปอังความอบอุ่นจากเตาไฟ ปล่อยตัวผ่อนคลายและเอ่ยว่า “วันนี้อากาศหนาวจริงๆ ได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพฟู่เคยล่าอสรพิษพันปีตัวหนึ่ง อยู่ในบึงพิษทางใต้สามวันสามคืนโดยไม่ได้หลับตานอนพัก ที่นั่นอากาศร้อนจัด น้ำและเสบียงที่นำไปด้วยก็เน่าเสียอย่างรวดเร็ว ของในพื้นที่แถวนั้นส่วนใหญ่ก็มีพิษ...ความลำบากแบบนั้นยังทนได้ แค่ยืนเฝ้าในสภาพอากาศแบบนี้ สำหรับทหารคนสนิทคงเป็แค่เื่เล็กน้อยกระมัง...”
หวาชิงเสวี่ยใแทบพูดไม่ออก “อสรพิษพันปี?! เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเป็สัตว์ปีศาจไปแล้วหรือ!!!”
หลี่จิ่งหนานเห็นท่าทางตื่นใของนาง ก็หัวเราะเยาะ “เ้านี่ช่างโง่จริงๆ คำเล่าลือจะเชื่อหมดได้อย่างไร? อสรพิษนั้นมีอยู่จริง เขี้ยวพิษที่ส่งเข้าวังมีขนาดเท่าฝ่ามือ ได้ยินคนจากสำนักหมอหลวงบอกว่า ต่อให้อสรพิษตัวนั้นจะไม่ได้อายุถึงพันปี แต่อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีอายุสักห้าหกร้อยปีแน่นอน”
“อสรพิษอายุห้าหกร้อยปี...” หวาชิงเสวี่ยรู้สึกขนลุกซู่ ไม่ได้สนใจที่ถูกเด็กแปดขวบเรียกว่าโง่ คิดในใจว่าคนที่สามารถฆ่าอสรพิษอายุห้าหกร้อยปีได้ จะต้องมีรูปร่างหน้าตาเป็อย่างไร...