“ปังๆๆ”
ในทางเข้าตรอกเงียบสงัด เสียงทุบประตูดังกังวานขึ้นชัดเจน
นานอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จึงมีเสียงเบาอย่างขลาดกลัวดังขึ้น “ผู้ใด?”
“นี่เป็บ้านของหลู่โหย่วมู่หรือไม่?” เจินจูผ่อนคลายเส้นเสียง กล่าวถามด้วยความอ่อนโยน
“…ใช่ แต่ตอนนี้ท่านพ่อข้าไม่อยู่บ้าน” อาจเป็เพราะเสียงอ่อนโยนของเจินจูที่ดังขึ้น เสียงบอบบางที่อยู่ภายในประตูใหญ่ที่ทั้งเก่าและชำรุดจึงใกล้เข้ามาเล็กน้อย
“คือว่า ท่านพ่อของเ้าเป็ลมไประหว่างทาง พวกข้าพาเขากลับมาส่ง” ไม่รู้ว่าเด็กข้างในโตหรือเด็กกว่านาง เลยไม่กล้าเรียกขานไม่ดีออกไป
“หา…” ภายในประตูร้องเสียงตื่นตระหนก ตามด้วยเสียงดึงสลักเปิดประตู
เด็กสาวคนหนึ่งตัวผอมลีบยื่นตัวออกมา นางสวมเสื้อหนาวบุนวมลายดอกและมีรอยปะชุน
“ท่านพ่อ? ท่านเป็อะไรไปเ้าคะ?” เห็นผู้ชายที่อยู่บนหลังของหูฉางหลิน เด็กสาวก็รีบร้อนเดินเข้ามาข้างหน้าดึงแขนของเขา ความกังวลและความตื่นตระหนกเต็มใบหน้า น้ำตาราวกับจะไหลล้นออกมา
“ไม่ได้เป็อะไร ท่านพ่อของเ้าแค่เป็ลมไป ข้างนอกหนาวเกินไปนัก พาเขาเข้าไปในบ้านก่อนเถิด” เด็กสาวใบหน้าเล็กซีดเหลืองเหมือนเทียนไขหวาดกลัวจนริมฝีปากสั่นระริก หูฉางหลินเลยกล่าวปลอบโยนออกมาทันที
สายตาของเด็กสาวเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่ตื่นตระหนกก็ไม่ปาน เมื่อมองประเมินพวกเขาอยู่สองสามทีก็เห็นว่าสองคนไม่ใช่คนไม่ดี จึงเบี่ยงกายหลบและให้พวกเขาเข้ามาในบ้าน
รอจนเข้าประตูใหญ่มาแล้ว เด็กสาวจึงปิดประตูแ่าทันที
เจินจูตามอยู่ข้างหลังพวกเขา เฝ้าระมัดระวังซ้ายขวาอยู่สองสามที บ้านสกุลหลู่ไม่ใหญ่ ข้างล่างชายคามีท่อนไม้ขนาดต่างกันกระจายกองบนพื้น ประตูห้องโถงเปิดอยู่ เมื่อเดินเข้าไปจึงพบว่าในห้องโถงใหญ่อะไรอย่างนี้ นอกจากโต๊ะทานข้าวหนึ่งตัวกับม้านั่งสองสามตัวก็ไม่มีสิ่งของชิ้นใหญ่อื่นอีก มุมกำแพงบางแห่งเหมือนว่ามีร่องรอยของเครื่องเรือนที่ถูกเคลื่อนย้ายหายไป
เจินจูเลิกคิ้วขึ้น นี่บ้านสกุลหลู่ท่าทางถูกย้ายข้าวของไปจนว่างเปล่า
ภายในบ้านได้อาศัยแสงเทียนขมุกขมัว เด็กสาวนำทางพวกเขาเข้าไปยังห้องฝั่งตะวันออก
“แค่กๆ ซิ่วซิ่ว เป็ท่านพ่อเ้ากลับมาแล้วหรือ?” เสียงแหบของคนชราพร้อมกับเสียงไอตามติดกันมาเป็พักๆ
“…ท่านย่า เป็ท่านพ่อกลับมาเ้าค่ะ” เด็กสาวเลิกม่านประตูเปิดให้หูฉางหลินเข้ามาในห้อง
“…อ่า นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ? โหย่วมู่! ทำไมให้คนแบกกลับมาได้? ให้ตายสิ… แค่กๆๆ ให้คนตีมาอีกแล้ว? …ไม่ใช่ว่าคุยกันดีแล้วหรือว่าจะยืดเวลาออกไประยะหนึ่งก่อน? ทำไมถึงโดนตีมาอีกได้เล่า! แค่กๆๆ ไอ้สารเลวพวกนี้ จิตใจเน่าเฟะขอให้ฟ้าผ่า…” ฟู่เหรินผมสีดอกเลาทั่วทั้งศีรษะที่นั่งอยู่บนเตียง ลุกขึ้นเดินซวนเซมาทางหูฉางหลิน
“…คือ ป้าสะใภ้… วางน้องชายหลู่ลงบนเตียงนอนให้ดีก่อนเถิด หนาวแข็งมาครึ่งค่อนวันแล้ว” หูฉางหลินหมุนกายวางหลู่โหย่วมู่ที่อยู่บนหลังลงเบาๆ
“…เอ๋? …โอ้ ดี วางนี่! วางนี่!” ฟู่เหรินชราเลิกผ้านวมบนเตียงที่ค่อนข้างเก่าให้เปิดออก เคลื่อนหลู่โหย่วมู่ด้วยความระมัดระวัง
หลู่ซิ่วซิ่วเด็กสาวตัวผอมลีบถอดรองเท้าของหลู่โหย่วมู่วางให้เรียบร้อย แล้วเอ่ยปากถามอย่างหวาดหลัว “…ท่านลุงท่านนี้ ท่านพ่อข้าถูกคนตีเข้าหรือ?”
“…เอ่อ นี่ ข้าก็ไม่รู้จริงๆ” หูฉางหลินเกาศีรษะ “คือ พวกข้าเดินชมโคมไฟกลับมา ท่านพ่อของเ้าก็วิ่งออกมาจากตรอกเล็กๆ ชนเข้ากับหลานชายคนเล็กของครอบครัวข้า แล้วก็หกล้มสลบไป แต่ข้าดูร่างกายเขาแล้วเหมือนว่าจะไม่มีร่องรอยฟกช้ำเลยนะ”
“ไอ๊หยา บาปบุญนัก อ่า... แค่กๆๆ ร่างกายพ่อเ้ายังไม่ทันรักษาให้หายดี เพื่อหาอาหารมาเลี้ยงสองปากเลยวิ่งไปร้านธัญพืชเพื่อแบกหามข้าวสาร ร่างกายของเขายังจะสามารถรับความทรมานเช่นนั้นไหวได้อย่างไรกัน แค่กๆๆ ไอ๊หยา บุตรชายที่น่าสงสารของข้า” ฟู่เหรินชราตีต้นขาของตนเองร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง
หลู่ซิ่วซิ่วนั่งอยู่ด้านข้างที่ฟังอยู่ก็ดึงชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
เจินจูมองอยู่อดมุมปากกระตุกไม่ได้ คนผู้นี้ยังนอนมีชีวิตอยู่ดีๆ ทำไมต่างก็ร้องเสียงดังปานจะขาดใจเช่นนี้ได้ เอาเถิดอาจเป็สภาพจิตใจของนางแข็งกร้าวเกินไป เลยร้องไห้ยากกระมัง อย่างไรเสียภายนอกนางเป็เพียงเด็กสาวอายุน้อย แต่ที่อาศัยอยู่ข้างในร่างนี้กลับเป็สตรีอายุเยอะแล้ว
หูฉางหลินยืนอยู่ด้านข้างด้วยความอึดอัดใจ มองมาทางเจินจูอย่างทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
เจินจูเม้มริมฝีปาก กำลังคิดว่าต้องเร่งเดินทางกลับบ้านก็ไม่เสียเวลาอยู่อีก ดึงหลู่ซิ่วซิ่วที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่เข้ามาทันที “คือ น้องสาวหลู่ อย่าร้องไห้เลย ในบ้านมีน้ำร้อนหรือไม่? ให้ท่านอาหลู่ดื่มน้ำร้อนอบอุ่นร่างกายสักแก้ว ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวเขาก็จะฟื้นขึ้นมาแล้ว”
“มี ในห้องครัวมีน้ำร้อน ข้า... ข้าจะไปเอามาเดี๋ยวนี้” หลู่ซิ่วซิ่วเช็ดน้ำตาและวิ่งออกไปทันที
“ท่านย่าสกุลหลู่ อย่าร้องไห้เลย ท่านยังไออยู่ ร้องไห้อีกมิได้นะเ้าคะ!” ฟู่เหรินชราร้องไห้ไปพลางไอไปพลาง เจินจูมองแล้วทนไม่ได้จริงๆ
“แค่กๆๆ ล้วนเป็ข้าที่ไม่มีประโยชน์ทำให้บุตรชายมีภาระ หากไม่ใช่ว่าเป็ห่วงพวกเขาพ่อลูก แค่กๆ ข้าควรไปพบบิดาของโหย่วมู่นานแล้ว!” ฟู่เหรินชราทุบตีหน้าอกร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ เสียงร้องก็ยิ่งแหลมขึ้น
“…” หญิงชราผู้นี้เหตุใดยิ่งกล่าวปลอบยิ่งร้องกัน เจินจูอดเส้นดำเต็มศีรษะไม่ได้
โชคดีที่ไม่นานหลู่ซิ่วซิ่วก็ยกน้ำร้อนหนึ่งถ้วยใหญ่เข้ามา
“น้องสาวหลู่ ถ้วยนี่ใหญ่เกินไป ป้อนเข้าปากไม่ง่ายนัก ที่บ้านมีช้อนหรือไม่?” เจินจูเดินมาข้างหน้ายกถ้วยไปถือไว้อย่างเป็ธรรมชาติ
“มีๆ ข้าจะไปหยิบมา” หลู่ซิ่วซิ่วหมุนกายเข้าไปห้องครัวอีกครั้งโดยมิรอช้า
ฉวยโอกาสที่ปากถ้วยกว้าง เจินจูเติมน้ำแร่จิติญญาลงไปในถ้วยไม่น้อย แม้เป็เพียงคนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญ แต่ครอบครัวสกุลหลู่นี้ฐานะการเงินดูแล้วลำบากมากนัก ข้างบนมีมารดาชราที่เดินเหินไม่สะดวก ข้างล่างมีบุตรสาวที่ยังไม่เป็ผู้ใหญ่ ตัวหลู่โหย่วมู่เองก็มีโรคภัยไข้เจ็บอีก หากหลู่โหย่วมู่ล้มลง คาดว่าครอบครัวสกุลหลู่คงต้องจบเห่แล้ว
ช่วยชีวิตหลู่โหย่วมู่หนึ่งคน จะสามารถปกป้องครอบครัวสกุลหลู่ได้สามคน เจินจูคิดว่าคุ้มค่าอยู่มาก
หูฉางหลินประคองหลู่โหย่วมู่ขึ้นมากึ่งนั่ง ให้แม่นางหลู่ซิ่วซิ่วถือช้อนไม้ป้อนน้ำเข้าไป หนึ่งอึกสองอึก ไม่รู้ว่าหลู่โหย่วมู่กระหายน้ำอย่างมากหรือไม่ จึงดื่มน้ำไปมากกว่าครึ่งถ้วย
หลังจากนั้นไม่นานเขาจึงผ่อนลมหายใจช้าๆ แล้วเปิดเปลือกตาขึ้น
“ท่านพ่อ!”
“โหย่วมู่!”
พอเขาลืมตาขึ้นสองย่าหลานก็โผเข้ามาตรงหน้าอย่างน้ำตาคลอทันที
“…ท่านแม่! ซิ่วซิ่ว! ทำไมถึงร้องไห้ขึ้นเล่า?” หลู่โหย่วมู่มองสองดวงหน้าที่ั์ตามีน้ำตาคลอระริก อดงงงวยไม่ได้
“ลูกชาย เ้าอย่าไปแบกหามกระสอบข้าวอีกเลย แค่ก... ร่างกายเ้าแต่เดิมก็ไม่ดีอยู่แล้ว คราวนี้เป็ลมไปบนถนนใหญ่ โชคดีที่มีผู้จิตใจดีท่านนี้แบกเ้ากลับมา ไม่เช่นนั้นอากาศหนาวมากเพียงนี้คงนอนอยู่บนพื้นทั้งคืน เ้าก็จะหนาวจนแข็งตายไปแล้ว แค่กๆ เ้าต้องขอบคุณผู้มีจิตใจดีท่านนี้นะ!” ฟู่เหรินชราเช็ดน้ำตาแล้วประสานมือทำท่าโค้งกายอย่างมีมารยาทให้หูฉางหลิน
“โอ้... ไม่ๆ เื่นี้ผู้ใดพบเข้าล้วนต้องทำเช่นนี้” หูฉางหลินถอยหลังไปสองก้าวทันทีทันใด
หลู่โหย่วมู่เพิ่งฟื้น ยังไม่เข้าใจความชัดเจนของสถานการณ์อยู่เล็กน้อย วันนี้เขาไปร้านธัญพืชเพื่อแบกหามข้าวสาร ่นี้ปลายปีกำลังจะผ่านไป กรรมกรที่ทำงานประจำกลับบ้านเกิดไปฉลองปีใหม่ก็เตรียมตัวจะกลับมาทำงาน วันนี้เขาแบกหามไปไม่ถึงสิบถุง เถ้าแก่ร้านธัญพืชก็บอกเขาว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาอีกแล้ว
หลู่โหย่วมู่พูดไม่ออก ข้อศอกของเขาได้รับาเ็ไม่ได้รักษาให้หายดี ตอนนี้มือขวาก็แข็งทื่อทำให้ไม่มีแรง เคลื่อนไหวไม่สะดวก งานช่างไม้ที่ละเอียดและถี่ถ้วนก็ทำไม่ได้แล้ว แต่ชีวิตความเป็อยู่ยังต้องดำเนินต่อไป คนชราและบุตรยังต้องฝากความหวังไว้ที่เขา ได้รับาเ็และยังมีหนี้สินติดค้างอยู่ไม่น้อย วันนี้ทั้งวันเขาจึงอยู่ข้างนอกหางานที่ตนเองสามารถทำได้ แต่มือพิการเช่นนี้ผู้ใดจะให้เขาทำงานกันล่ะ?
เพื่อประหยัดเงินเล็กน้อย เขาเลยไม่ทานข้าวกลางวัน อาศัยโจ๊กผักหนึ่งถ้วยในตอนเช้าทนมาถึงตอนเย็น คิดจะกลับมาทานข้าวที่บ้านเล็กน้อย ผู้ใดจะรู้ว่าตอนเขาออกมาจากในตรอกจะปะทะเข้ากับคน เขาล้มลงไปกับพื้นก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว
หลู่โหย่วมู่วิงเวียนศีรษะและหนักอึ้งอยู่ทั้งวัน ข่มกลั้นความรู้สึกไม่สบายของร่างกายไว้มาตลอด รวมกับความหิวโหยมาครึ่งค่อนวันอีก พอหกล้มจึงสลบไป เขาย่อมรู้สาเหตุของตนเองอยู่แก่ใจ
แต่จะว่าไปแล้วก็ประหลาดนัก เขาฟื้นขึ้นมาครั้งนี้กลับมีสติรู้สึกผ่อนคลายร่างกายทั่วทั้งร่างมีความสบายขึ้น แม้แต่แขนขวาตรงข้อศอกที่แข็งทื่อและเ็ปก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
หรือว่าพอล้มเป็ลมไปก็มีข้อดีเช่นนี้? หลู่โหย่วมู่หามูลเหตุไม่ได้และสับสนเล็กน้อย
เขาดิ้นรนลงมาบนพื้นและโค้งกายคำนับกล่าวขอบคุณจากใจจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า หูฉางหลินรีบพยุงเขาขึ้นให้นั่งลงดีๆ ทันที
เจินจูถือโอกาสเอาน้ำครึ่งถ้วยที่เหลืออยู่ไม่มาก ส่งไปให้หญิงชราสกุลหลู่ ฟู่เหรินชราร้องไห้เสียงดังอยู่ครึ่งค่อนวัน ลำคอคงจะกระหายอยู่นานแล้วจึงดื่มลงไปจนหมดเกลี้ยง
สองฝ่ายแลกเปลี่ยนชื่อแซ่กันและกัน แล้วคุยเรื่อยเปื่อยอยู่สองสามประโยค หูฉางหลินก็มองสีท้องฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ กลุ่มหูฉางกุ้ยยังรอพวกเขาอยู่จึงเอ่ยอำลาออกมา
หลู่โหย่วมู่รู้ว่าพวกเขายังต้องเร่งเดินทางกลับบ้านจึงไม่ได้รั้งไว้นานอีก หยัดกายขึ้นแล้วส่งพวกเขาออกจากประตูไป “วันนี้ขอบคุณพี่ชายสกุลหูมากแล้ว ถ้าไม่เป็การรังเกียจ วันหน้ามีเวลาค่อยมาดื่มน้ำร่ำสุราบ้านน้องชายเป็อย่างไร?”
“ได้ๆ หากมีเวลาว่างต้องมาดื่มน้ำร่ำสุราบ้านน้องชายหลู่แน่นอน” หูฉางหลินยิ้มแล้วกล่าว เขามีความประทับใจต่อหลู่โหย่วมู่ไม่น้อย แม้ตอนนี้เขาจะดูตกอับชีวิตลำบากยากแค้น แต่ถึงอย่างไรคนเขาก็เป็ช่างไม้ ในสายตาของหูฉางหลิน คนที่มีทักษะความสามารถเช่นนี้ติดตัว ไม่ช้าก็เร็วความเป็อยู่จะสามารถผ่านไปได้ แต่เขายังไม่เคยรู้ถึงสาเหตุการาเ็ที่มือของหลู่โหย่วมู่ ตอนที่ได้รับาเ็ไม่เพียงล้มลงไปและข้อศอกหักเท่านั้นแต่ยังต้นขาร้าวอีกด้วย ศีรษะก็ถูกก้อนหินกระแทกเป็รูใหญ่ อีกนิดเดียวจะไปพบพญายมอยู่แล้ว อาการป่วยหนักครั้งหนึ่งนี้ ต้องนอนอยู่บนเตียงมาสี่ห้าเดือน คนผู้นี้จึงนับได้ว่ารักษากลับมาได้
แต่ข้อศอกแขนนั้น เพราะไม่ได้เคลื่อนไหวมานานจึงเปลี่ยนเป็แข็งทื่อและไร้เรี่ยวแรง แม้ข้อศอกจะดูท่าว่าหายดีแล้ว แต่ก็ไม่คล่องแคล่วและไรเรี่ยวแรง ไม่สามารถงอและยืดตรงได้ งานช่างไม้นี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว
เจินจูแอบมองข้อศอกของหลู่โหย่วมู่อยู่หลายที น่าจะเป็กระดูกแตกร้าว
นางค่อนข้างเข้าใจกระดูกแตกร้าวตรงส่วนข้อศอกเช่นนี้อยู่มาก เมื่อก่อนเพื่อนสาวร่วมงานของนางคนหนึ่งก็าเ็เช่นนี้ ไม่นานตำแหน่งกระดูกที่หักก็หายสนิทดี แต่เป็การยากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาเคลื่อนไหวเป็ปกติในภายหลัง ตอนเพื่อนร่วมงานสาวฝึกฟื้นฟู เจ็บจนผีร้องไห้สุนัขป่าโหยหวน [1] เลยล่ะ ทำให้นางจดจำได้ไปครึ่งค่อนชีวิตเลยทีเดียว
ในกรณีที่ข้อศอกได้รับาเ็ การฝึกฟื้นฟูในภายหลังจึงสำคัญมาก เพราะมือของหลู่โหย่วมู่ถูกยืดเวลาออกมานานเกินไป ส่วนข้อศอกเลยแข็งทื่อและกระดูกก็ยึดติดกัน อันที่จริงแล้วต้องให้เขาฝึกฟื้นฟูส่วนข้อศอกมากขึ้นหน่อย
กลอกตาหนึ่งรอบ แล้วพิจารณาเล็กน้อย เจินจูยิ้มและเอ่ยปากกล่าว “ท่านอาหลู่ เดิมทีบ้านท่านเป็ช่างไม้นี่! ดีมากเลย ่นี้บ้านข้ากำลังปลูกบ้าน ที่บ้าน้าเครื่องเรือนไม่น้อย ไม่เช่นนั้นพวกเราสั่งทำเครื่องเรือนกับบ้านท่านได้พอดีเลยเ้าค่ะ?”
“…”
หลู่โหย่วมู่หดมือขวาเข้ามาโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนใบหน้ามีความขมฝาดประดับอยู่หลายส่วน “อาหลู่ก็อยากทำเครื่องเรือนให้พวกเ้า แต่น่าเสียดายที่อาหลู่ไม่มีประโยชน์ มือาเ็ขยับไม่ไหว พวกเ้าคงต้องไปหาคนอื่นทำให้แล้วล่ะ”
“ท่านอาหลู่ ข้าได้ยินว่าคนที่าเ็ตรงนี้ ยิ่งต้องใช้งานเคลื่อนไหวมากๆ มันถึงจะสามารถดีขึ้นได้ ท่านไม่ต้องกลัวเจ็บ เคลื่อนไหวและออกแรงมากหน่อย ยิ่งท่านเก็บมันไว้อย่างระมัดระวัง มันจะยิ่งแข็งทื่อ เพราะอย่างนั้นท่านต้องกลับมาทำงานไม้ใหม่แล้ว บางทีมืออาจจะกลับมาดีได้เร็วขึ้นนะเ้าคะ” ยุคนี้มีการฝึกที่เรียกว่าฟื้นฟูที่ไหนกัน หากมือและเท้าหักแล้วไปหาหมอที่มีความรู้และชำนาญในการรักษาหน่อยยังจะกลับมาปกติได้ แต่หากว่าวิชาแพทย์ไม่ดีพอล่ะก็ กระดูกต่อกลับมาบิดเบี้ยวก็เป็เื่ธรรมดา
เชิงอรรถ
[1] ผีร้องไห้สุนัขป่าโหยหวน หมายถึง การแหกปากร้องไห้โหยหวน